รำลึก "พุทธทาสภิกขุ"
ผ่านการศึกษาคณะสงฆ์และสังคมไทย
สัมภาษณ์
พระศรีปริยัติโมลี (สมชัย กุสลจิตฺโต)
รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และกรรมการกลุ่มเสขิยธรรม
โดยกองบรรณาธิการ "เสขิยธรรม"
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ เวลา ๑๗.๒๐ น.
เสขิยธรรม : มีความคิดเห็นอย่างไรกับการศึกษาด้วยตนเองในลักษณะของท่านอาจารย์พุทธทาส
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ในปัจจุบัน
พระศรีปริยัติโมลี : ความจริงเรื่องการศึกษามันเป็นเรื่องการฝึกฝนอบรมพัฒนาคนและการพัฒนาตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าหากคนที่จะศึกษาจะพัฒนานี่เขารู้ เช่น จะหาความรู้เขาก็จะรู้จักแหล่งความรู้ จะฝึกพัฒนาตนเองเขาก็รู้ว่าวิธีการจะพัฒนาตนเองให้เก่งให้ดีขึ้นจะพัฒนาอย่างไร ก็สามารถทำได้เอง ก็สามารถพัฒนาได้ แล้วพัฒนาได้เต็มศักยภาพที่ตัวเองอยากจะทำ ไม่ต้องไปติดกรอบ ติดระบบ ติดพิธีกรรม
ทีนี้คนทั่วไปจะมีสติปัญญาเข้าใจขนาดนั้นนี่มันก็อาจจะมีน้อย เราเลยต้องมีสถาบันการศึกษา
มีโรงเรียน มีวิทยาลัย มีมหาวิทยาลัย ซึ่งดู ๆ แล้วจนถึงขณะนี้
ผมมองว่าสถาบันการศึกษามันไม่ได้บอก หรือเรียกว่าถ้าเทียบส่วนได้กับส่วนเสีย ผมยังมองว่าประเทศชาติสูญเสียกับเรื่องสถาบันการศึกษามากกว่าได้
คือเสียทั้งในแง่ของการลงทุน ซึ่งถ้าเทียบกับงบประมาณ แต่ละปีที่เราลงทุนเพื่อการศึกษานี่สองแสนกว่าล้าน
ถ้าคิดก็ประมาณยี่สิบกว่าเปอร์เซ็น ผมก็มองว่าเงินที่ลงทุนไปนี่ได้ผลกลับมามันไม่คุ้ม
ไม่คุ้มที่ว่าเราได้คนจบการศึกษามาเขาไม่มีสติปัญญา มองในแง่สติปัญญาที่แท้จริง เขาไม่ค่อยมี..ไม่ถึง และมองในแง่ที่จะเป็นคนที่ดีมีศีลธรรมมีอุดมการณ์นี่ มันก็ไม่พอ
อย่างวิกฤตการณ์ในปัจจุบันเราจะเห็นว่า ประเทศเราพบความวิกฤตต่าง ๆ
เป็นเพราะคนที่ศึกษาไม่ถึงที่ มันมีปัญหาเพราะคนที่ได้รับการยอมรับว่ามีความรู้แล้วไม่มีความรู้จริง
ไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีศีลธรรมจริง นอกจากนั้นก็ยังเอารัดเอาเปรียบเขาอีกใช่ไหม เพราะว่าเอาเงินของคนส่วนใหญ่มาให้คนชั้นกลาง
มาให้คนที่จะช่วยตัวเองได้แล้ว กลับเป็นว่าคนยากจนกว่า คนที่โอกาสน้อยกว่ากลับต้องมาหนุน
ต้องมาสนับสนุนคนที่มีโอกาสมีฐานะเศรษฐกิจดีกว่า นี่มองในแง่ของการศึกษาของชาวบ้านทั่วไป
ในอนาคตนี่ผมว่าน่าจะต้องเปลี่ยนแล้ว สถาบันการศึกษาต้องได้รับการตรวจสอบ
ต้องรื้อฟื้นกันมาก ต้องสังคายนากันมาก ผมว่าสังคมน่าจะไม่ยอมให้ใครที่เอารัดเอาเปรียบ
หรือคนที่ได้เปรียบอยู่แล้วเอาเปรียบต่อไป หรือยอมคนที่อยู่ในระบบ เอาพิธีกรรมหรือเอาเครื่องแบบอะไรทั้งหลาย
เอารูปแบบเครื่องแบบมาแสดงว่าเป็นคนมีความรู้ แล้วก็จะได้โอกาสดีกว่าคนที่ไม่มีเครื่องแบบไม่มีปริญญา
ผมว่าต่อไปโลกจะต้องเปลี่ยน
ทีนี้มองกลับมาที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พุทธทาส ผมเองอยู่มหาวิทยาลัยสงฆ์ผมก็มองตลอดเวลานะ
ว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ถูกกระแสหลัก หรือการศึกษาแบบหลัก
เข้ามาครอบหรือเข้ามาปิดกั้นหรือเบียดบัง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การศึกษาของสงฆ์มันไม่ค่อยตรงนัก
ที่มันไม่ค่อยตรงนักก็เพราะว่า พระที่มาเรียนมันเป็นค่านิยมของสังคมด้วย ว่าเราไม่ใช่บวชเพื่อเรียนเพื่อพระศาสนา
พระส่วนใหญ่นี่บวชเพื่อว่าต้องการจะเรียนแบบที่ชาวบ้านเรียน แต่ว่าโชคร้ายที่สถานะทางเศรษฐกิจไม่พอที่จะเรียนได้
โชคร้ายที่เกิดในบ้านเมืองนี้ ที่รัฐบาลแทบจะไม่ต้องทำอะไร ให้ประชาชนดิ้นรนเอาเอง
ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาก็จะต้องสนับสนุน ให้คนของเขาได้ศึกษาได้เล่าเรียนเท่าที่ความต้องการที่จะศึกษาเล่าเรียน
หรือศักยภาพที่เขาจะพึงมี อย่างน้อยๆ จบปริญญาตรี ดังนั้นเมื่อพระมาจากเบื้องหลังมาจากแรงจูงใจแรงบัลดาลใจอย่างนี้
ท่านก็เรียนแบบ... คือถึงจะอยู่ในเครื่องแบบของพระภิกษุสามเณรแต่ความคิดก็เหมือนกับคนไทยทั่วไป
ก็รับค่านิยมของสังคมไทยเหมือนกับชาวบ้านทั่ว ๆ ไป
ฉะนั้นเมื่อมาเรียนท่านจึงเรียกร้องที่จะเรียนในวิชาอื่นๆ
ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนา ท่านเรียกร้องที่จะเรียนวิชาแบบชาวบ้าน เรียนเศรษฐศาสตร์ เรียนรัฐศาสตร์
เรียนนิเทศศาสตร์ เดี๋ยวนี้ถ้ามหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่สนองตรงนี้ก็ไม่ได้ เพราะมหาวิทยาลัยข้างนอกก็มาแย่งพระไปเรียนเสียเยอะแล้ว
(หัวเราะเบา ๆ) เราอาจจะไม่รู้ว่าทั้งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงใหญ่
ๆ ทั้งสถาบันราชภัฏก็พยายามไปเปิดศูนย์ที่นั่นที่นี่ ตั้งศูนย์วิทยบริการที่นั่นที่นี่
เปิดขยายห้องเรียนที่นั่นที่นี่ แล้วรับเอาพระเข้าไปเรียน
ตรงนี้มันเป็นทั้งคุณทั้งโทษแก่พระสงฆ์และพระพุทธศาสนา
ดังนั้น ในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็ดี ในมหามกุฎราชวิทยาลัยก็ดี มันอยู่ในภาวะที่ต้องประนีประนอมกันมาก
ประนีประนอมที่ว่า ถ้าเราเคร่งครัดให้พระศึกษาเรื่องพุทธศาสนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ นี่เราก็หาพระมาเรียนจริง
ๆ ไม่ได้
คณะพุทธศาสตร์เป็นคณะที่พระไม่อยากเรียนที่สุด เป็นคณะที่หนีที่สุด
บาลีก็บอกว่าเรียนมาแล้ว นักธรรมก็บอกว่าเรียนมาแล้ว เพราะฉะนั้นในตัวมหาวิทยาลัยสงฆ์เองนี่ผมก็คุยกันล่าสุด
ก็คิดว่าการศึกษาในระบบมหาวิทยาลัยสงฆ์ระบบบาลีนักธรรมต้องรื้อฟื้นปรับปรุงใหม่ ถ้าจะอยู่อย่างนี้นี่มันก็..เรียกว่าลงทุนไปแล้วไม่ได้บุคลากรที่จะมาสืบทอดพระศาสนา
นี่อย่างเราพูดถึงหนังสือเล่มนี้ (หนังสือที่คณะพุทธบริษัทจัดทำขึ้น
เพื่อทำความเข้าใจกรณีที่มีการกล่าวร้าย-จาบจ้วงต่อพระธรรมปิฎก
โดยพระสังฆาธิการบางรูปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-บก.)
มีองค์สององค์นะบอกว่า เรียนจบพุทธศาสตร์บัณฑิตย์
แต่ว่าไม่รู้จักท่านเจ้าคุณประยุทธ ไม่รู้จักท่านเจ้าคุณธรรมปิฎก
จึงบอกให้ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร อะไรทั้งหลายนี้มันฟ้องว่าระบบการศึกษาของเรานี่มันยังหย่อนยานมาก
เดี๋ยวนี้มีปัญหาเรื่องพระศาสนา เรื่องที่จะสอบถามเอาความถูกต้อง ชี้ถูกชี้ผิดในทางพระพุทธศาสนา
พระในมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ไม่ได้ออกมาชี้แนะ ไม่ได้ออกมาแสดงทัศนะ
เป็นตัวฟ้องว่ามันอาจจะต้องมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง
ก็ยังคิดกันอยู่ ว่ามันน่าจะมีวิทยาลัยเล็ก ๆ
ที่จัดการศึกษาแบบอยู่ด้วยกันฝึกฝนอบรมด้วยกัน ฝึกให้เกิดอุดมการณ์
ฝึกเรื่องของระเบียบวินัย เรื่องของศีล เรื่องอาจาระ ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
ฝึกภาษา ฝึกการวิเคราะห์สังคม ฝึกเรื่องวิชาที่จะให้เข้าใจโลกเข้าใจสังคม
แล้วเตรียมพระเหล่านี้ เพื่อให้เป็นพระผู้นำ เป็นพระระดับคีย์ ระดับเสนาธิการ
ผมว่าถ้าคิดตรงนี้ได้พระศาสนาก็จะมีความหวัง ถ้าหากเอาเฉพาะระบบที่เป็นอยู่ไม่ว่าจะบาลี,
นักธรรมหรือมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ผมว่ามันไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน
เคยจะหลุดมาบ้างก็คล้าย ๆ ว่าโตเอง อย่างเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมปิฎกท่านก็โตเอง แล้วหลายรูปที่รอดมาก็โตเอง
ซึ่งถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ถ้าหลุดมาโตเองนี่ กับปริมาณ หรือ Input ที่เราใส่เข้าไปแล้วมันออกมาเป็นผลผลิตนี่มันน้อย เทียบกับปริมาณนี่มันน่าเป็นห่วงตรงนี้
เป็นเรื่องที่ต้องคิดกันให้ละเอียดถึงวิสัยทัศน์ ถึงยุทธศาสตร์ที่จะรักษาพระศาสนา ที่จะสร้างบุคลากรระดับเสนาธิการพระเข้ามา
ไม่งั้นเราจะได้แบบที่เป็นอยู่ มันมีข้อจำกัดหลายอย่างอย่าง ของมหาจุฬาฯ นี่ได้ขนาดนี้ถ้ามองกลับไปดูที่พื้นฐานนี่เราไม่มีอะไรเลย
เริ่มจากไม่มีอะไร ไม่มีที่ตั้งไม่มีงบประมาณ รัฐบาลไม่เคยดูแลใช่ไหม มิหนำซ้ำพ่อเราคือฝ่ายคณะสงฆ์นี่ก็ไม่รับรองมาตั้งแต่แรก
เป็นการดิ้นรนพยายามจะให้เข้มแข็งขึ้น ช่วยเหลือขึ้น พี่ช่วยน้อง น้องช่วยพี่มาเรื่อย
ๆ เรียกว่าพยายามขนาดนี้แล้ว ก็พยายามพอสมควรแล้วจึงได้ขนาดนี้
ถ้ามองในแง่จำกัดเดิมนี่เราก็คิดว่ามันก็ได้มาอยู่ แต่มันน่าจะไม่พอในการจะรักษาพระศาสนาไปในอนาคต
อย่างท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุก็ดี ท่านอาจารย์เจ้าคุณประยุทธ..พระธรรมปิฎกก็ดี เราจะเห็นว่าท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ท่านเข้าใจสังคม
เข้าใจโลกใช่ไหม เข้าใจการเมืองใช่ไหม เข้าใจเรื่องการเมืองเรื่องเศรษฐกิจใช่ไหม ที่ท่านพูดถึงเรื่องธัมมิกสังคมนิยม
เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสิ่งแวดล้อม นี่ท่านพูดไว้หมด
นี่คือมันเป็นผลจากการที่ท่านแสวงหาด้วยตัวเอง
อย่างภาษาต่างประเทศ ท่านเจ้าคุณประยุทธก็ดีท่านอาจารย์พุทธทาสก็ดี
ท่านไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศเลย แต่ท่านแปลหนังสือได้ แต่พระเราที่เรียนทั้งเรียนในระบบมหาวิทยาลัยสงฆ์เรียนในระบบบาลีนักธรรม
เรายังขาดความเข้าใจสังคมเข้าใจโลก การรู้ภาษาต่างประเทศดี การรู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมนี่มันยังไม่มี
รวมไปจนถึงการจะสร้างจิตใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน จิตใจแสวงหา หรือสร้างความเป็นนักอุดมคติ
ว่าถ้าทำอะไรต้องทำจริง เรียกว่าเอาชีวิตเข้าแลก ทุ่มเททั้งชีวิต มันยังไม่มี
ผมก็พูดเรื่อย พูดไปก็อาจจะไม่ค่อยสอดคล้องกับครูบาอาจารย์บางรูปในมหาจุฬาฯเหมือนกัน
(หัวเราะเบา ๆ) เขาบอกว่าระบบการศึกษาของสงฆ์
มันจะต้องเป็น เป็นผู้นำ การที่เราจะเป็นผู้นำได้นี่เราจะต้องเป็นตัวของตัวเอง
แล้วเราจะต้องทวนกระแส...
อย่างมหาวิทยาลัยข้างนอกนี่เขาจะเน้น.. ถ้าพูดถึงมหาวิทยาลัยต้องพูดถึงตึกใหญ่
ๆ ใช่ไหมครับ ตึกใหญ่ ๆ เทคโนโลยีราคาแพง ๆ มหาวิทยาลัยหนึ่งจะสร้างกันขึ้นมาก็ต้องลงทุนกันเป็นหลาย
ๆ พันล้าน เป็นหมื่นล้าน แล้วก็ใช้พลังงานเยอะมาก
เรียกว่าดูความเป็นมหาวิทยาลัยกันดูที่กายภาพ ดูที่ตึกเทคโนโลยี ดูที่เงินทอง
ดูที่บริเวณสถานที่เราดูกันตรงนี้ และเราก็แข่งกันตรงนี้
ผมก็เคยพูดว่ามหาวิทยาลัยพุทธนี่มันต้องกลับมาสู่เล็ก ๆ (Small is
beautiful) และต้องกลับมาอยู่ที่เรื่องของวัด ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องของวัด
ผมว่าเราหลงทางใช่ไหมครับ ระบบการศึกษาของพุทธก็คือระบบวัดใช่ไหม ศีล สมาธิ
ปัญญาต้องเริ่มที่วัด วัดก็คืออารามต้องร่มรื่น ต้องสัปปายะ ต้องเล็ก ๆ
ไม่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติมาก เพราะอยู่กับธรรมชาติอยู่กับสิ่งแวดล้อมอะไรให้ได้
นี่ต้องมาตรงนี้ ถ้าเราไปตามเขาเราหลงทาง
ผมยังมองว่าระบบการศึกษาเมืองไทยที่เราเอามาจากยุโรปนี่ คิดว่าหลงทางหลายเรื่อง
รวมทั้งเรื่องการปฏิเสธวัดด้วย อย่างจุฬาฯ ก็ทำหอประชุมเป็นคล้าย ๆ วัด เพราะว่า ร.๖ ท่านเลิกสร้างวัด ท่านก็ไปสร้างมหาวิทยาลัย
แต่ว่าท่านเอาแต่สถาปัตยกรรมไปท่านไม่ได้เอาจิตวิญญาณไป ใช่ไหม?
และห้องประชุมของท่านก็ไม่ใช่สถานที่จะบ่มเพาะเรื่องศีลธรรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมหาวิทยาลัยในต่างประเทศนี่
ถ้าเราไปสังเกตเห็นนะ ล่าสุดนี่ผมไป San Francisco ไปเยี่ยมที่
Stanford ซึ่งถือว่าเป็น Top Ten ไปแล้วจะเห็นเลยนะครับ
คนสร้างมหาวิทยาลัยนี่เป็นชาวนานะ แต่สิ่งที่เขาสร้างใหญ่โตมาก
เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยมาก ที่สำคัญก็คือ เขาเริ่มด้วย Church ก่อน และก็ Church นี่ใช้จริง ๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกอบรมเด็กจริง
ๆ
ผมยังมองว่าเราก้าวมาผิด เราสร้างมหาวิทยาลัยสร้างสถาบันการศึกษานี่เราปฏิเสธเรื่องจิตวิญญาณหมด
ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหน เห็นมีมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่สร้างวัด? ครั้งหลังสุดที่ผมไปที่ศรีปทุม
ผมไปพูดประเด็นนี้ให้ท่านที่ปรึกษาอธิการบดีท่านพลเอกเสรี พุกกะมาน ท่านเป็นสามีของอธิการบดี
พอผมพูดแล้วก็มีการเสวนากัน วันหลังเจอกันนี่ผมยังดีใจ (ถ้าท่านทำจริง)
ท่านบอกว่า "ที่ท่านเจ้าคุณพูดนะเรื่องสร้างโบสถ์นี่
(โบสถ์หมายถึงว่าโบสถ์พุทธใหญ่ๆ ให้เป็นที่ฝึกอบรมจริง)
ท่านอธิการบดีเห็นด้วยแล้ว สั่งให้ศิลปากรมาออกแบบสร้างโบสถ์ในมหาวิทยาลัยศรีปทุม"
นี่ผมว่าจุดอย่างนี้นักการศึกษาเมืองไทยเรามองข้ามมาตลอด
เสขิยธรรม : ท่านเจ้าคุณอาจารย์เห็นว่า
โครงสร้างของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะกลับไปสู่การฝึกตนในระบบ ศีล
สมาธิ ปัญญาหรือครับ***
พระศรีปริยัติโมลี : ของเรานี่อุดมการณ์กับความเป็นจริงนี่มันอาจจะไกลกัน ก็คงเหมือน ๆ กับพระที่บวช แล้วก็บอกว่า เอ๊ะ! อุดมการณ์เราต้องบวชเพื่อพ้นทุกข์ เพื่อสลัดไปจากทุกข์ "สัพพทุกขนิส สรณะ นิพพานะ" ปรากฏว่าสังคมมันยาน มันหย่อนยานหมด ระบบอุปัชฌาย์อาจารย์ ระบบถือนิสัยก็หย่อนยานหมด ในวัดเรานี่ก็ไม่เป็นจริง เราบวชตามประเพณีบ้างอะไรบ้าง ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็มีลักษณะอย่างนี้ เขาจะผลิตพุทธศาสตร์บัณฑิต ศาสนบัณฑิตให้มีความรู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนใฝ่สร้างสรรค์ มีอุดมการณ์นี่ รู้โลกรู้ธรรมอะไร เขาพูดอย่างนี้นะ (หัวเราะเบา ๆ ) พูดอยู่ตรงนี้
แต่วิธีการจะเข้าไปสู่ตรงนี้นี่ผมว่ามันมีเงื่อนไขเยอะ นอกจากที่พูดว่าท่านไม่ได้ตั้งใจมาเรียนเพื่อรู้พระศาสนาจริง
ๆ เพื่อฝึกฝนเองจริง ๆ ท่านมาเรียนเพราะว่าอยากจะไปเรียนในมหาวิทยาลัยโลกแต่ว่าไม่มีโอกาสไป
ท่านด้อยโอกาส นี่ส่วนหนึ่ง
และตัวมหาวิทยาลัยเองก็มีปัญหาเรื่องการบริหารการจัดการ,
การที่พระต้องนั่งรถมาในที่ไกล ๆ กว่าจะมาถึงก็เลยเวลาเข้าไปแล้ว,
เข้ามาก็จะต้องเร่งรีบบรรยายกันเพราะมันมีหลักสูตรบังคับอยู่ว่าจะต้องบรรยายอย่างนี้ๆ
แล้วก็ต่อไป จะต้องมีประเมินผลมีสอบ มันก็จะไปเน้นหนักเรื่องหัวสมองเรื่องความจำ ถูกบังคับด้วยหลักสูตร
ด้วยกระบวนการการประเมินผลอะไรต่างๆ มาเจอกันแป๊บหนึ่งก็ยังไม่ทันได้พูด
ยังไม่ได้ถ่ายทอดอะไรเท่าไหร่เลย มิหนำซ้ำยังถูกบังคับด้วยคุณภาพความพร้อมของนักเรียนซึ่งมาด้วยความหลากหลาย
ทั้งสามเณรเล็ก ๆ ก็มี หลวงพ่ออายุ ๗๐ ก็มีมาเรียน
ความแตกต่างทางวัยก็ดี ถูกบังคับหรือถูกจำกัดด้วยครูบาอาจารย์ก็ดี ครูบาอาจารย์ที่มาพูดมาถ่ายทอดนี่มีทิศทางหรืออุดมการณ์ไหม
เพราะว่ามีทั้งพระทั้งโยม บางทีฆราวาสจะพูดแต่เรื่องแบบฆราวาสไป
ฆราวาสก็จิตใจเป็นฆราวาสไป ลักษณะนี้ ต้องพูดว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นข้อจำกัดที่ยากจะปรับเปลี่ยนเหมือนกัน
เพราะว่าส่วนหนึ่งมันเป็นระบบราชการ ถึงแม้มันจะไม่เป็นราชการทั้งหมดก็จริง แต่ว่ามันมี
พ.ร.บ. มีระบบการบริหารที่เป็นราชการ
อย่างเราพูดอาจใส่ความเขามากไปก็ได้(หัวเราะเบา ๆ) หลายเรื่องที่เข้าสู่ระบบราชการแล้วมันเละหมด
ผมเคยพูดประเด็นนี้กับทางฝ่ายพศล. (องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก)
เขา บอกว่ามหาวิทยาลัยพุทธโลกที่เขาตั้งเมื่อปีนี้
และตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้มแข็ง ..อย่าหวังได้เงินนะ! อย่าหวังได้เงิน! อย่าไปเรียกร้องขอให้มี พ.ร.บ. รับรอง ถ้าไม่เช่นนั้นจะถูกคุม
ข้อสำคัญก็คือต้องหาคนมาทำงานให้ได้ ออก Project ออกโครงการ
ออกเรื่องหลักสูตรที่จะพัฒนา เรื่องจะวิจัยอะไรกันก็ว่าไป จะต้องทำโดยฐานของพระพุทธศาสนาโดยปัญญาของพุทธ
โดยให้ประชาชนสนับสนุน คือ ถ้าเราทำงานเป็นประโยชน์จริง ๆ นี่
คิดว่าเงินมันเข้ามาได้ แต่อย่าไปหวังอยากได้เงินเยอะ
เพราะว่าได้เงินมามากก็มีปัญหา อย่างที่หลายแห่งเป็นๆ กันอยู่
เสขิยธรรม : ทางเลือกของการศึกษาคณะสงฆ์น่าจะมีรูปแบบและแนวทางอย่างไร
พระศรีปริยัติโมลี : คณะสงฆ์ต้องปรับใหม่ ทั้งระบบบาลี-นักธรรม ผมรู้ว่ามันแข็งในแง่ที่มีความรู้ในเรื่องภาษา ความรู้เรื่องไวยากรณ์ รู้ภาษา เป็นการเรียนแบบเป็นภาษาศาสตร์ เป็นภาษา ๆ หนึ่ง..อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ค่อยได้สังเคราะห์ความรู้ในแง่เป็นองค์รวมของความรู้ที่เชื่อมต่อกัน อะไรทำนองนี้ผมว่ามันยังไม่มี และก็ไม่มีเวลาพอที่จะไปแนะนำ ไปบอก หรือเมื่อสังเคราะห์องค์ความรู้ไม่ได้เพราะว่าการสังเคราะห์องค์ความรู้มันยังเป็นประเด็นรองลงไป สิ่งที่มันละเอียดไปกว่าสังเคราะห์องค์ความรู้ ก็คือ อุดมคติ อุดมการณ์ หรือ การสร้างศาสนทายาท สร้างอุดมคติเพื่อที่จะสืบทอดพระศาสนา
เพราะฉะนั้นอาจจะพูดได้ว่า ระบบบาลีนักธรรมไม่มีเวลาที่จะพูดกันในเรื่องนี้
เพราะการจัดระบบการศึกษานี้ไม่ได้มีการจัดฝึกอบรมครู ไม่มีการพัฒนาหลักสูตร-พัฒนาครู ไม่ได้สัมมนากันว่าเป้าหมายการศึกษาจัดขึ้นเพื่ออะไร
ท่านก็จะมองว่าให้แปลได้ ตอบได้ จากนั้นก็เลื่อนชั้นขึ้นไป พระทั้งหลายก็จะรู้
จะจำได้แปลได้ แต่จะไม่แม่นในเรื่องการตอบ เรื่องการสังเคราะห์องค์ความรู้ และเรื่องที่จะศึกษาเพื่อรู้
เรียนเพื่อความรู้ เรียนเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนานี่ ถือว่าเบาบางมาก
ดังนั้นในส่วนบาลีนักธรรมก็คงจะต้องปรับ
ดังนั้น ทางออกนี่เป็นการศึกษาทางเลือก ผมว่าต้องมาคิดกัน แน่นอน..เรื่องของบาลีต้องมีเรียน แต่มันน่าจะไม่ต้องเรียนให้ยากอย่างนี้ นอกจากว่ามีบางรูปบางองค์ที่ท่านรักจริง
ๆ จะส่งเสริมให้เรียนเป็น Scholar ไปเลย ไปเรียนให้เป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ไปเลย
อาจจะมีบางส่วนแล้วในส่วนของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็มีประโยชน์ในบางเรื่อง ผมว่าน่าจะต้องคัดวิชาบางวิชามา
แต่วันนั้นคุยกันครั้งหนึ่งแล้วว่า ไม่ใช่มาแล้วบรรยายนะ
เพราะว่าเรื่องการบรรยายถ่ายทอดความจำนี้ มันน่าจะลดลงไป หรือว่าน่าจะไม่ใช่จุดเน้นอีกแล้ว
เพราะมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะเป็นเรื่องของบรรยายอยู่แล้ว มันน่าจะเป็นเรื่องของการฝึกฝนตัวเองให้เป็นที่ปรึกษา
เป็นแหล่งข้อมูล ฝึกฝน และก็มีเวลาไตร่ตรอง มีเวลาชี้แนะ มีเวลาที่จะป้อน หรือมีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันในระบบอุปัชฌาย์อาจารย์ที่พึ่งพิงกัน
ระบบกัลยาณมิตรที่เป็นที่ปรึกษากันได้ เป็นที่พึ่งพิงกันได้ เหมือนพ่อเหมือนลูกที่อยู่ด้วยกัน
และ เหมือนเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน ผมว่าปรับลงมาได้ เพื่อความคล่องตัว หรือเพื่อให้การดำเนินการนี้มันคล่องไป
ทั้งนี้ ในความเห็นของผมขณะนี้..เราคงไม่จะปฏิเสธเรื่องการให้
Degree ให้อะไร เพื่อเป็นความหวัง แต่เราจะไม่เน้นตรงนี้
เราถือว่านี่เป็นผลพลอยได้ สิ่งที่เราต้องเน้นและปลูกฝัง คือปลูกฝังอุดมการณ์และความรู้สึกนึกคิดของพระของเณรที่อยู่ด้วยกันนี่
ต้องมุ่งเพื่อพัฒนาตัวเองเพื่อรับใช้พระศาสนาให้มีความมั่นใจ
ผมมองอย่างนี้ว่า ระบบการศึกษาที่เราเน้นปริญญานี่เรามักจะเน้นว่าเรียนไปเพื่อมีอาชีพ
อย่างน้อยเรียนไปเพื่อมีงานทำ เรียนไปเพื่อเป็นเจ้าคนนายคน (หัวเราะเบาๆ)
เราพูดตลอดเวลาว่าการศึกษาคือ คนต้องมีงานทำ นั่นก็คือหมายถึงอาชีพ
ฉะนั้นระบบการศึกษาของเรานี่ ถ้าพูดถึงอาชีพนี่
เรายังไม่ได้ถามเลยอาชีพนี่มันเป็นมิจฉาชีพหรือสัมมาชีพ ผมเองยังไม่เคยพูดในนี้ใช่ไหม
มิจฉาชีพหรือสัมมาชีพเรายังไม่เคยพูด เพราะฉะนั้นเราจึงมีพวกไปขายยาบ้ายาม้า
พวกที่ทุจริตคิดไม่ดีเยอะแยะเลย พวกเขาก็มีอาชีพเหมือนกัน
ถ้าหากอาชีพนั้นเป็นสัมมาชีพก็ยังไม่พออยู่ดี เพราะถ้าระบบการศึกษาของเรานี่
มรรคมีองค์ ๘ นี่มันต้องไปทั้ง ๘ องค์ มันต้องไปทั้ง ๘ องค์
การศึกษามันก็ต้องไปให้ครบ ไม่ใช่ไปเน้นอาชีพอย่างเดียว
เตรียมความพร้อมหรือฝึกให้พร้อม ผมมองแล้วมันอาจจะอุดมคติ ผมมองว่าถ้าฝึกตรงนี้แล้วผู้มีการศึกษาจะมีความมั่นใจที่จะดำรงชีวิตโดยไม่ต้องไป
เรียนไปเพื่อหางาน แต่เรียนไปแล้วงานจะมาหาเรา หรืออยู่ที่ไหนเราก็สร้างงานได้ทำนองนี้
สมมุติว่าพระท่านอยู่ไป อยู่ไปแล้วฝึกมานี้ อาจจะมีบางรูปบางองค์ที่หลุดไป แต่เราก็ถือว่าท่านเหล่านั้นยังมีความรู้ความสามารถที่จะช่วยงานพระศาสนาได้
และขณะเดียวกันถ้าเราสร้าง Self-confidence ตรงนี้ได้นี่
ผมว่านั่นเป็นความสำเร็จ เป็นความสำเร็จที่ไม่ต้องหางานทำแต่งานมาหาเรา ผมว่าเราคงจะพูดตรงนี้และทำตรงนี้ให้มันหนักแน่นให้มันเป็นรูปธรรม
เสขิยธรรม : ภายใต้โครงสร้างคณะสงฆ์ปัจจุบันเราจะทำให้เกิดบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้
เช่น ความเป็นกัลยาณมิตร ความร่มรื่นของอาราม ความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับพุทธบริษัท
ตลอดจนความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับชุมชนขึ้นมาได้อย่างไร
พระศรีปริยัติโมลี : ผมว่าตอนนี้มันเป็นจุดที่เพิ่งคิดกัน เคยคุยกันมารอบหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ละเอียดเท่าไหร่ ในความคิดของผมเห็นว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.สงฆ์ ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญอันหนึ่งที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่าการศึกษาอย่างนี้นี่ถ้าเราได้รับการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เราคิดใหม่ขึ้นมา มันต้องเป็นระบบการศึกษาที่สงฆ์ยอมรับ ว่าเป็นการเตรียมบุคลากร เพื่อคณะสงฆ์ นั่นหมายถึงว่าจะต้องเป็นพระผู้นำเป็นเสนาธิการเลย
ฉะนั้น ตรงนี้นี่คณะสงฆ์เองก็จะต้องเข้ามาดูแล ต้องมาอนุมัติ
ต้องเห็นดีเห็นชอบด้วย หมายถึงว่าเมื่อเราทำได้อย่างนี้นี่
พระเหล่านี้ที่เราฝึกออกไปจะต้องเข้าไปบริหาร ไปสืบทอดพระพุทธศาสนาก็ไปบริหารงานพระสงฆ์
เพราะฉะนั้นตรงนี้นี่ผมว่าต้องเป็นโครงการ คณะสงฆ์ต้องรับและก็ต้องทุ่มเทมา เพราะว่ามันเป็นความอยู่รอดของพระศาสนา
แล้วผมยังมองว่ามันไม่ใช่แค่พระศาสนาเท่านั้น มันน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ประเทศเราเข้มแข็ง
ถ้าเรามีพระที่มีความพร้อมอย่างนี้ รู้เข้าใจอย่างนี้และมีอุดมคติที่จะอุทิศตนเพื่อพระศาสนาเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
ทีนี้ปัญหา เอาล่ะคณะสงฆ์รับไม่รับก็คงมีความยากอยู่อันหนึ่งเหมือนกันนะครับ
ถ้า พ.ร.บ.สงฆ์มามีพระรุ่นหนุ่มมาบริหารก็น่าจะง่ายขึ้น
คิดว่าน่าจะคุยกันง่ายขึ้น
ประเด็นต่อมาก็คือ เรื่องของสถานที่ และครูบาอาจารย์ มีความสำคัญ
มีความจำเป็น สถานที่เนี่ยมันก็คงจะต้องเป็นป่าเป็นเขาที่อยู่กันเป็นชุมชน และที่สำคัญก็คือกัลยาณมิตรครูบาอาจารย์
ผมเองก็เคยคุยกันมาว่าสำคัญมาก เพราะคนที่จะไปฝึกเขาเนี่ยมันจะต้องฝึกตัวเองให้ได้ให้เป็นตัวอย่างได้ก่อน
และก็เมื่อเราทำฝึกตัวเองได้เราทำเป็นตัวอย่างได้จะง่ายต่อการ ดำเนินการศึกษาส่วนหนึ่ง
ตัวอย่างท่านหลวงพ่อพุทธทาสท่านทำนี่ท่านก็ต้องมีอุปการคุณมาก แต่ดูเหมือนในความเห็นของผมว่า
เพราะความเป็นการศึกษาทางเลือกของท่าน หรือการให้เสรีภาพในการแสวงหาด้วยตัวเองอย่างมาก
นี่ดูเหมือนว่าขบวนการมันไม่ค่อยต่อเนื่อง หรือว่าเราไม่ค่อยได้ศิษย์ที่เรียกว่า เป็นกลุ่มเป็นก้อน
และซึ่งมีปริมาณที่จะพอนับได้ว่ามีจำนวนเท่านี้เท่านี้ ที่จะอยู่สืบทอดพระศาสนา
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ท่านให้ทุกคนพยายามจะพัฒนาตัวเองและฝึกตนเองขึ้นมา เพราะอาจมีความพร้อมโดยพื้นฐานก็ต่างกัน
การฝึกฝนอบรมก็ต่างกัน และท่านก็ไม่ได้ตั้งกรอบไว้
ว่าเมื่ออยู่สวนโมกข์แล้วต้องอ่านหนังสือเล่มนี้นะ ต้องฝึกอย่างนี้นะ
ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการโตเองด้วยเช่นกัน
ถ้าเรามีมหาวิทยาลัย มีสถาบันทางเลือก ผมยังมองว่า
น่าจะได้กลุ่มพระที่จบมาเป็นกลุ่มก้อน มีปริมาณที่เห็นได้และก็มีคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน
และก็จะมีการสืบทอด อันนี้ก็จะเป็นจุดหนึ่งที่ผมมองว่ามันไม่ใช่ยุคเราหรือว่าเราต้องทำคนเดียว
แต่ว่ามันจะต้องมีการสืบทอดคนที่คิดอย่างเราต่อไป ยุคเราคิดได้อย่างนี้แล้วอีกยุครองลงไปน้องเราจะคิดได้อย่างนี้
น้องต่อไปก็คิดอย่างมีระบบ สืบทอดทำต่อไป โดยการสนับสนุนขององค์กรสงฆ์ โดยรัฐบาลหรืออะไรก็ตาม
ที่มันน่าจะไม่เป็นเรื่องเดือดร้อนนักในเรื่องที่จะต้องหาทุนหารอน หรืออะไรก็ตาม ให้ได้เห็นความร่วมมือกัน
หรือรัฐบาลน่าจะลงไปหนุนเต็มที่
อย่างพม่าเขามีมหาวิทยาลัย รัฐบาลเขาสนับสนุนเต็มที่ รัฐบาลให้ข้าวให้น้ำ..ให้ทุกอย่าง รัฐบาลให้เต็มที่เลยเพราะรัฐบาลก็คงเห็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ของพม่านี่เขาเรียนจริง
ๆ อาจจะไปเน้นหนักในเรื่องคำภีร์เรื่องอะไรก็ตามแต่เป็นการเรียนเพื่อรักษาพระศาสนาจริง
ๆ
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีมหาวิทยาลัยทางเลือกอย่างนี้ ถ้าเป็นการรักษาพระศาสนาจริงๆ
เป็นการฝึกคนให้มีอุดมการณ์อุดมคติจริงๆ เป็นประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติจริงๆ
ผมว่ามันน่าจะไม่ลำบากเรื่องการหาแหล่งสนับสนุน หรืองบจากรัฐบาลช่วยหนุน
ส่วนชาวบ้านนั้นถ้าหากเราฝึกพระเราให้เป็นพระที่แท้จริง ผมยังมองว่าพระที่แท้จริง
พระที่เราอยากเห็นอย่างนี้นี่ จะต้องเป็นพระที่ติดดิน พระต้องติดดินต้องรับใช้ชาวบ้านได้อยู่กับคนยากคนจนได้
เราไม่ได้ฝึกพระเพื่อให้ขึ้นหอคอย ผมมองว่านั่นไม่ใช่วิถีทางของพุทธ ดังนั้น ถ้าหากเราเน้นหนักมาตรงนี้นี่ผมว่าการสัมพันธ์กับชาวบ้านไม่น่าจะมีปัญหา
เราพร้อมที่จะส่งท่านและท่านก็พร้อมที่จะทำงานกับใครก็ได้ ชุมชนไหนก็ได้ จะทุกข์จะยากจะจนอย่างไรก็อยู่ได้
ยังมองกันว่านอกจากจะเป็นพระผู้นำแล้ว ก็จะเป็นการผลิตพระธรรมทูต
ซึ่งเรายังอ่อนแอมากนะ บนเขาเราก็ไม่ค่อยสู้ใช่ไหม ที่ยากจนเป็นสลัมก็ไม่ค่อยสู้ ไปต่างประเทศก็มักจะไปที่สบาย
ๆ ทั้งนี้เราก็ไม่โทษท่านทั้งหมด เพราะว่าเรายังไม่มีโครงสร้างแบบครบวงจรที่จะฝึกให้ท่านมีความมั่นใจสูงสุด
หรือมีการรับผิดชอบเรื่องค่าเดินทาง, เรื่องสวัสดิการ,
เรื่องสุขภาพพลานามัยของท่าน รวมทั้งยอมรับท่านด้วย
ว่าท่านไปทำงานให้คณะสงฆ์ ตอนนี้พระธรรมทูตนี่คณะสงฆ์รู้สึกจะไม่รับว่าท่านไปทำงานให้คณะสงฆ์
แล้วก็ยังไม่มีส่วนไหนเลยที่ Support ท่านจริงจัง
บางทีก็ไปตาย..ก็ตายฟรี ๆ เคยมีโยมแม่พระต้องมาร้องไห้กับผม "เอ..ทำไมลูกดิฉันนี่ ทั้งที่ในครอบครัวมีการศึกษาอยู่คนเดียว
หวังจะพึ่ง นี่เอานาไปจำนำได้เงินมาให้ลูกสามหมื่นให้ลูกไปอเมริกา
ตอนนี้นี่พ่อก็ไม่สบาย นาก็แล้งทำไม่ได้ ลูกก็มาตายอีก อย่างนี้แล้วดิฉันจะไปพึ่งใคร
ถ้าลูกคนอื่นเขานี่ถ้าเขาไปทหาร ไปกองทัพ ไปรบไปอะไรนี่ ตายเขามีธงชาติคลุม คลุมร่างกลับมา
มีเงินบำนาญ มีเงินปลอบใจ ลูกดิฉันไปธรรมทูตไปตายฟรี ไม่รู้ว่าตายเองหรือว่าใครฆ่าตาย"
นี่คือความว้าเหว่ ความว้าเหว่ที่เรายังไม่เป็นระบบ
เราคิดตรงนี้เราคิดเผื่อไปตรงนั้นด้วย ท่านจะต้องไปทำงานให้กับคณะสงฆ์
เป็นงานคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ต้องยอมรับว่าเป็นงานของท่าน จะให้กำลังใจอย่างไร
จะมีระบบอย่างไร จะยกย่องก็ยกย่องไป ไม่ใช่ไปโยนภาระให้วัดให้ต้นสังกัด แต่ว่านี่คิดเผื่อไปตรงโน้นด้วย
ถึงพระธรรมทูตทั้งในทั้งต่างประเทศด้วย
พวกนี้ก็ส่วนหนึ่ง เมื่อมีประสบการณ์แล้วก็จะกลับมาเป็นมันสมองหรือเป็นฝ่ายเสธ.เป็นอะไร มันน่าจะต้องมีหลายส่วน บางท่านอาจจะไม่ต้องปรากฏตัวหรือออกหน้า ไม่ต้องไปแสดงเป็นนักเทศน์
อาจจะเป็นพวกฝ่ายลึก ๆ อาจจะเป็นพวกฝ่ายข่าว ฝ่ายวิจัย ฝ่ายวางแผน
แต่เราจะต้องได้คนที่ถึงระดับจริง ๆ จึงจะเป็นที่ไว้ใจ
นี่ก็คิดกัน แล้วก็ขายความคิดไปก่อน ว่าเราจะมองแต่ชีวิตของอาจารย์พุทธทาส
มองแต่ชีวิตของท่านเจ้าคุณประยุทธเจ้าคุณธรรมปิฎกในยุคนี้ไม่ได้ เราต้องเริ่มคิดเริ่มทำเพื่อยุคหลังด้วย
คิดเผื่อเขา... ถ้าเราไม่คิดไม่ทำนี่เราจะให้ใครมาคิดมาทำอีก
มันอาจจะช้าไป ส่วนทำแล้วได้แค่ไหนอย่างไรนี่เราต้องมาร่วมกันสืบทอด
และรุ่นน้องมาก็ว่ากันไป พูดไปแล้วก็คิดเผื่อนะครับ เผื่อว่าถ้าเรามีการปรับปรุง พ.ร.บ.สงฆ์จริง ๆ มันยังมีหลายเรื่องหลายราวที่ต้องทำตรงนี้
น่าจะเป็นหัวใจที่เราจะมีพระในอุดมคติ
เราก็เห็นแล้วว่าท่านอาจารย์พุทธทาสรูปเดียวก็ทำให้สังฆมณฑลสั่นสะเทือนได้ไช่ไหม?
(หัวเราะ) เมื่อท่านพูดท่านทำ
หรือแสดงทัศนะอะไรออกมา นี่ถ้าเรามีพระอย่างนี้เป็นสิบเป็นร้อย
สถานการณ์พระพุทธศาสนานี่จะดีขึ้นเพียงใด จะแข็งแรงขึ้นเพียงใด
ผมว่าทางฝ่ายเราต้องช่วยกันคิด นอกจากผมที่อยู่มหาจุฬาฯ อยู่สองสามรูปแล้วก็อาจจะต้องระดมความคิดกันกับเสขิยธรรมบ้างว่าเราจะดำเนินการอย่างไร
เสขิยธรรม : หากระบบการศึกษาที่เหมาะสมยังไม่เกิดขึ้น ภายใต้ระบบของคณะสงฆ์และสถานการณ์ทางสังคมเช่นปัจจุบัน
พระมหาเงื่อม (พุทธทาสภิกขุ-พระธรรมโกษาจารย์)
หรือพระมหาประยุทธ (พระธรรมปิฎก) รูปที่สอง ที่สาม ที่สี่ จะมีโอกาสเกิดขึ้นมาได้หรือเปล่า เพราะในยุคของท่านทั้งสองต่างก็มีพัฒนาการมาจากโครงสร้างเดิม
พระศรีปริยัติโมลี : ก็ยังไม่เห็น.. ก็..ค่อนข้างจะมืดมนนะ เพราะอย่างเราๆ พูดปัญหาพระศาสนานี่ หลายเรื่อง หลายเรื่องเลยเป็นความห่วงใยพระศาสนา ห่วงใยคณะสงฆ์ นี่ถ้ามีรุ่นรอง ๆ ไปจะเกิด มันก็น่าจะโผล่ต้องแพลมออกมาบ้างแล้ว (หัวเราะ) นี่มันยังไม่โผล่ไม่แพลมออกมาเลย..ใช่ไหม? ส่วนมากถ้าจะไป ก็เข้าระบบกระแสหลักไปเลย คือ..ถามว่ามีโอกาสจะเกิดไหม มันก็คงจะมีแต่ว่าจะมีคุณภาพ มีผลกระทบขนาดท่านหลวงพ่อพุทธทาสไหม ขนาดพระธรรมปิฎกไหม นี่พยากรณ์ไม่ได้ เพราะตอนนี้ยังไม่เห็น
แต่ผมก็ยังมอง..อาจจะมองโลกในแง่ร้าย วันนี้ (๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕-บก.) ก็พูดที่วัดสวนแก้ว ว่าสถาบันสงฆ์ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขโดยเร็ว
แล้วพระศาสนาจะไปอย่างไรนี่ต้องคิดกัน เรียกว่าเป็นวาระแห่งชาติ ผมก็พูดท้าทายว่าพระศาสนาเป็นหัวใจ
เป็นจิตวิญญาณของชาติ แต่ยังไม่มีผู้นำประเทศคนไหนออกมาพูดเลย วิกฤตการณ์ต่าง ๆ
นี่มันออกไม่ได้หรอกถ้า เราไม่แก้วิกฤตการณ์ทางจิตวิญญาณก่อน
ดังนั้นในความเห็นของผมๆ ก็ว่า เราต้องทำเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
อย่างกว้างขวาง และจริงจัง ถ้าหากคณะสงฆ์ไม่เข้มแข็งขึ้นก็หมายถึงพุทธศาสนานี่สับสน
แล้วก็อาจจะทรุดเสื่อม จะทรุดเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ได้รับการปรับปรุง ถ้าพระศาสนาทรุดเสื่อมเสียหายไปจนกระทั่งไม่เป็นที่พึ่งของสังคมแล้ว
ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องของพระสงฆ์จะแย่ หรือพระสงฆ์จะสิ้นไปเท่านั้น ผมว่าประเทศไทยก็อยู่ไม่ได้
ผมมองอย่างนี้..ว่าประเทศเราก็อยู่ไม่ได้!
หรือถ้าเราทำได้ ในทางกลับกัน ผมยังมองว่านั่นจะเป็นความหวัง ว่าสิ่งที่จะเป็นทางออกของสังคมไทยนี่มันคือทางออกเดียวของสังคมโลกด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าเราทำตรงนี้ได้เร็ว ก็จะช่วยสังคมไทยได้ ถ้าจะรอให้รอให้เกิดท่านพุทธทาสสอง
ท่านพุทธทาสสาม โดยเราไม่สร้างเงื่อนไขเหตุปัจจัยนี่ ผมว่ามันอาจจะไม่ทันการ มันอาจจะแย่เสียก่อนแล้ว
หรือมันอาจจะล่มสลายไปเสียก่อนแล้ว