
พระดุษฎี เมธงฺกุโร
เกริ่นนำ
ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นพระมหาเถระที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปและฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้มีชีวิตชีวา
สามารถแก้ปัญหาและอำนวยประโยชน์แก่ชาวโลก โดยอาศัยการกลับไปหา "ต้นฉบับ"
คือพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกเป็นแนวทาง และทดลองปฏิบัติจริง
โดยดำเนินชีวิตอยู่ในป่าใกล้เคียงกับชีวิตพระอริยสาวกในครั้งพุทธกาล
เพื่อเข้าถึงความรู้สึกส่วนลึกและบรรยากาศของการเข้าถึงธรรม
และพยายามประยุกต์และประกาศธรรม นำสิ่งที่ค้นพบมาจำแนกแจกแจงให้เหมาะกับยุคสมัย
มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ คือทดลองพิสูจน์ได้ ช่วยตอบปัญหาชีวิตแก่ปัจเจกบุคคล
และยังเป็นแนวทางที่ช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาให้สังคมดังมีหนังสือชุด "ธรรมโฆษณ์"
ที่ท่านใช้โฆษณาธรรม ให้คนเห็นคุณค่าของธรรมะที่ประเสริฐยิ่งกว่าสินค้าใด ๆ
ที่เป็นวัตถุปัจจัยปรนเปรอกาย หากธรรมะเป็นอาหารใจ เป็นยาใจ
และเป็นหลักใจที่จำเป็นที่สุดแก่โลกและชีวิต
เมื่อสำรวจดูผลงานของท่านอาจารย์พุทธทาส
เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์แล้ว พบว่า
ผลงานที่กล่าวถึงพระพุทธ และพระธรรม มีมากและชัดเจนเป็นระบบ
แต่ส่วนเกี่ยวกับพระสงฆ์ยังกระจัดกระจาย
ควรจะได้ศึกษาและนำมาสู่การถกเถียงพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนที่เกี่ยวกับ
พระพุทธเจ้า นั้น นอกจากรวบรวมเลือกคัดพระไตรปิฎกออกเป็นชุด "พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์"
แล้ว ท่านยังแปล เรียบเรียง และบรรยายเรื่อง พุทธจริยา, พระพุทธคุณบรรยาย,
พระพุทธคุณที่บันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์, พุทธประวัติสำหรับยุวชน,
พุทธประวัติสำหรับคนหนุ่มสาว (มหาภิเนษกรมณ์) รวมทั้งเขียนหนังสือเป็นหลักสูตรให้คณะสงฆ์
ถวายลิขสิทธิ์แก่มหามกุฎราชวิทยาลัย ในเรื่อง พุทธประวัติเชิงวิจารณ์ อันเป็นเหตุให้ท่านต้องเดินทางไปอินเดีย
ศึกษาดูงานโบราณคดีและประวัติศาสตร์อินเดียครั้งพุทธกาล
เพื่อให้รู้เห็นของจริงที่ตนเองจะเขียนขึ้น
เชื่อว่าท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นผู้ที่รู้จักเข้าใจและรักษาพระพุทธเจ้ามากที่สุดท่านหนึ่ง
จนถึงกับเปลี่ยนนามของท่านว่า "พุทธทาส"
เพื่อประกาศธรรมะและอุทิศกายรับใช้พระพุทธองค์จนสุดชีวิต
ในส่วนที่เกี่ยวกับ พระธรรม
นั้น ท่านพุทธทาสมีคุณูปการที่โดดเด่นประการหนึ่ง
ในการอรรถาธิบายทำให้การศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นไปตามลำดับ
มีขั้นตอนเป็นระบบและประสานเชื่อมโยงกันอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เข้าใจว่า
โลกียธรรมกับโลกุตตรธรรม
ที่แท้จริงก็มุ่งหมายพัฒนามนุษย์ให้มีความสุขและความถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ
มิได้ขัดแย้ง หรือแยกขาดจากกันอย่างที่นักปราชญ์ทางโลกชอบคิด
ศีลธรรมต้องมีรากฐานบนปรมัตถธรรมจึงจะเป็นศีลธรรมที่ขจัดทุกข์ได้อย่างถูกต้องยั่งยืน
ไม่เป็นการเห็นแก่ตัวหรือตีความเข้าข้างตัวตามใจของบุคคล ผลงานในชุด "ธรรมโฆษณ์"
ส่วนใหญ่ท่านจะอธิบายธรรมะ ๔ ความหมายคือ
๑. ธรรมะคือ ธรรมชาติ
๒. ธรรมะคือ กฎของธรรมชาติ
๓. ธรรมะคือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
๔. ธรรมะคือ ผลอันเกิดขึ้นจากการทำหน้าที่นั้น
นอกจากอธิบายธรรมะเพื่อความดับทุกข์ส่วนบุคคลแล้ว
ท่านยังได้ประยุกต์ธรรมะไปใช้กับสังคมในวงการต่าง ๆ เช่น ธรรมะกับการศึกษา
การแพทย์ เศรษฐกิจ การเมือง สังคมและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อาทิเช่น ตุลากาลิกธรรม
มหิดลธรรม บรมธรรม ฆราวาสธรรม เตกิจฉกธรรม อริยศีลธรรม เยาวชนกับศีลธรรม
ศีลธรรมกับมนุษย์โลก เมื่อธรรมครองโลกธรรมะกับการเมือง สันติภาพของโลก
รวมทั้งความเข้าใจระหว่างศาสนา
ซึ่งท่านถือว่าทุกศาสนามีหน้าที่ช่วยคนให้เข้าถึงสันติธรรมและบรมธรรมด้วยกัน
ดังเรื่อง ไกวัลยธรรม และใจความสำคัญแห่งคริสตธรรมที่พุทธบริษัทควรทราบ
หนังสือและคำบรรยายชุด
ธรรมโฆษณ์ ทุกเล่ม ท่านถือเป็นหลักสูตรนักธรรมชั้นพิเศษ
เพื่อเพิ่มพูนความรู้จากพื้นฐานนักธรรมตรี โท เอก
ที่เป็นหลักสูตรหรือแบบเรียนของคณะสงฆ์
เพื่อให้มีคำตอบและแนวทางสำหรับการประยุกต์ธรรมให้นำโลกและช่วยโลกได้อย่างแท้จริง
สำหรับส่วนที่เกี่ยวกับพระสงฆ์นั้น
ท่านก็มีส่วนสำคัญในการปฏิรูปคณะสงฆ์จากภายนอกศูนย์อำนาจ กล่าวคือ
กิจการของสวนโมกขพลารามทั้งหมด รวมทั้งการออกหนังสือวารสาร พุทธสาสนา
ของคณะธรรมทาน ก็เป็นไปเพื่อรื้อฟื้นการศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่ศาสนา
เพื่อต้อนรับยุคกึ่งพุทธกาล บทความในพุทธศาสนายุคแรกที่ท่านเขียนเองเป็นส่วนใหญ่
ได้รวมพิมพ์เป็นหนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ, ชุมชนเรื่องสั้น, ชุมนุมเรื่องยาว
ของธรรมทานมูลนิธิ
เป็นแหล่งที่สะท้อนสภาพคณะสงฆ์และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเป็นอย่างดี
รวมทั้งการที่ท่านพยายามรวบรวมและเรียบเรียงพระไตรปิฎกเป็นชุด จากพระโอษฐ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ซึ่งเป็นคำชมและคำขนาบพระสงฆ์โดยตรง
ให้ประชาชนทราบว่าพระดีและพระไม่ดีดูอย่างไร
ท่านพุทธทาสนับเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจในการบวชแก่คนรุ่นใหม่อย่างสำคัญ
ดังงานอมตะชิ้นแรกของท่านคือ ตามรอยพระอรหันต์ และคำสอนผู้บวชพรรษาเดียว
ที่แพร่หลายและจัดว่าเป็นคำบรรยายที่สอนพระบวชใหม่ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งจนแม้ปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังมีคำบรรยาย อบรมพระธรรมทูต ในแบบฉบับที่ท่านเห็นว่าต้องมีพร้อม
ทั้งวิชชาและจรณะ ตลอดจนสร้างเครื่องมือในการสอนธรรมะอย่างหลากหลาย อาทิ
การแปลบทสวดมนต์ บาลีเป็นไทยฉบับสวนโมกข์ การอธิบายภาพปริศนาธรรม
และภาพล้อคนในโรงมหรสพทางวิญญาณ ตลอดจนการใช้สื่อสมัยใหม่ เช่นสไลด์ ภาพยนตร์
แม้จนดนตรี เพลงพื้นบ้าน คำประพันธ์และศิลปกรรมต่าง ๆ เช่นรูปปั้นพระโพธิสัตว์
หินสลักพุทธประวัติ สวนหิน ตลอดจนสระนาฬิเกร์ เป็นต้น
เป็นสื่อการสอนที่ได้ผลมากบ้างน้อยบ้าง
จนในที่สุดท่านเห็นว่าอุปกรณ์การเผยแผ่เพียงอย่างเดียวที่ประหยัดได้ผลดีที่สุดและจำเป็นที่สุด
ก็คือการทำตัวของผู้เผยแผ่เอง ให้เป็นนิทรรศการเคลื่อนที่
แสดงสารัตถะและผลจากการปฏิบัติธรรม ให้ผู้พบเห็นได้ประจักษ์แจ้งโดยตรง ด้วยการ
สอนให้จำ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัส

สังฆะมี ๓ ระดับ
หากสรุปความคิดของท่านพุทธทาสเกี่ยวกับสังฆะ
ซึ่งหมายถึงหมู่ กลุ่ม ชุมชน อาจจำแนกได้เป็น ๓ ระดับ ดังนี้
๑. สังฆะ
ในความหมายอย่างกว้างที่สุด ท่านเห็นว่า วิถีของสากลจักรวาล โลก
ธรรมชาติแวดล้อมและสรรพสิ่ง ต้องอยู่รวมกันอย่างเป็น สหกรณ์
คือพึ่งพาอาศัยกันและเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน จึงอยู่ร่วมกันได้ดีมาโดยตลอด
ซึ่งเป็นรากฐานของแนวคิดเรื่องธัมมิกสังคมนิยม ของท่าน ซึ่งบัดนี้ ดร.โดนัลด์ เค
สแวเรอร์ และนักวิชาการรุ่นหลัง ๆ ได้รวบรวมพิมพ์บทบรรยายและบทวิเคราะห์เรื่อง "ธัมมิกสังคมนิยม"
นี้ออกมาแล้วหลายเล่ม
๒. สังฆะ
ในความหมายของวิถีชีวิตของความเป็นอยู่ของหมู่พระภิกษุสงฆ์ หรือชีวิตในวัด
ซึ่งเน้นหลักการ "กินอยู่ง่าย ใคร่ครวญสูง" "อยู่อย่างต่ำ กระทำเพื่อผู้อื่น"
"ทำงานเต็มความสามารถ ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น เจียดส่วนเกินให้ผู้อื่นที่ต้องการ"
ซึ่งเป็นหลักการเป็นอยู่อย่างขูดเกลากิเลส ลดละอัตตา
สามารถนำชีวิตให้มีค่าสูงสุดและเข้าถึงพุทธธรรมได้โดยสะดวก ท่านถึงกับท้าทายว่า
"คอมมิวนิสต์เข้ามา พุทธศาสนาก็ยังอยู่ได้" (ในความหมายว่า แก่นแท้พุทธศาสนาคือ
ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อตอบโต้รัฐบาลที่ปลุกระดมว่า "คอมมิวนิสต์มา ศาสนาหมด"
โดยไปถือเปลือกนอกเป็นหลัก ดังท่านกล่าวว่า
"คอมมิวนิสต์ไม่อาจทำลายหัวใจของพุทธศาสนาคือพระธรรมได้
พระธรรมอยู่ในหัวใจมนุษย์ ไม่ใช่เปลือก เช่น โบสถ์ วิหาร
หากพระธรรมที่อยู่ในหัวใจมนุษย์หมดไปเมื่อไร เมื่อนั้นและวินาศ
อย่างแท้จริงสิ้นเชิงของมนุษย์" และท่านย้ำว่า
"ชาวพุทธนี่แหละจะทำลายพุทธศาสนาเสียเอง เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ธรรมวินัยหรือศาสนานี้ จะอยู่หรือสูญสิ้นไปก็เพราะการกระทำของพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ถ้าเรามาทำกันผิด ๆ สอนกันผิด ๆ พูดกันผิด ๆ
ปฏิบัติกันผิด ๆ ได้รับผลมาผิด ๆ นั่นแหละศาสนาหมดแล้ว ทั้งที่คอมมิวนิสต์ไม่ทันมา
ศาสนาก็หมดแล้ว
. การไม่มีธรรมะ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความเป็นมนุษย์
มันน่ากลัวกว่าคอมมิวนิสต์
. อบายมุขทุกชนิด ความโง่ความหลงในความสุขทางวัตถุ
ทางเนื้อหนัง ทางกามารมณ์ ที่กำลังมากขึ้นทุกที่ ๆ
นี่แหละเลวร้ายกว่าคอมมิวนิสต์
"
"คอมมิวนิสต์เขาอ้างตัวเองอย่างยิ่งว่า
เขาเกิดขึ้นมาในโลก เพื่อทำให้โลกนี้มีสันติสุข
ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็มีอุดมคติตามแบบของคอมมิวนิสต์ แล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นผล
.
เรามีธรรมะในพุทธศาสนาที่ดีกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่แล้ว"
(จากประมวลธรรมท่านพุทธทาส หน้า ๒๐๖)
๓. สังฆะ ในความหมายถึง
"การคณะสงฆ์ไทย" ซึ่งมีแบบแผนการปกครองการจัดการศึกษา การเผยแพร่ และสาธารณูปการ
ที่ต้องจัดให้ได้ผลดี มีประสิทธิภาพคุ้มค่าและยั่งยืนนาน ทั้งเหมาะสมกับยุคสมัย
สอดคล้องกับพระธรรมวินัยนั้น
ท่านอาจารย์พุทธทาสในฐานะนักคิดนักเขียน
ได้เสนอแนะเกี่ยวกับสภาพการศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ไว้ในบทความชุด
"ระดับการปฏิบัติธรรมในประเทศสยาม" (พ.ศ.๒๔๗๗) ชี้ให้เห็นว่า
คุณภาพของพระสำคัญกว่าปริมาณหรือจำนวน
และเรียกร้องให้ญาติโยมสนใจการปฏิบัติของพระสงฆ์ด้วย
ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเล่าเรียนเท่านั้น แม้การศึกษาส่วนปริยัติ
ท่านก็ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและทันสมัยของศาสนศึกษาของเราว่ากระทำกันอย่างเพียงพอหรือไม่
หากมีความรู้ที่ถูกต้องเพียงพอ
ก็จะช่วยให้การประพฤติปฏิบัติตัวของพระสงฆ์ดียิ่งขึ้น
ข้อนี้มีความสำคัญเป็นความเจริญและความเสื่อมของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ที่ญาติโยมก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย
ในส่วนเบ็ดเตล็ดปลีกย่อย
แต่เป็นเรื่องที่ชวนถกเถียงจนทะเลาะแตกแยกกันได้ เช่น เรื่องนิกาย สีจีวร
บรรพชิตกับการใช้ของสวยงาม ของแพง ๆ (ปัจจุบันเช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ)
พิธีการทำศพของชาวพุทธ อย่างธรรมปาละ ซึ่งประหยัดและได้คุณค่าทางธรรมะ
รวมไปถึงความห่วงใยสามเณรในฐานะที่เป็นศาสนทายาท
ซึ่งดูจะไม่ได้รับความเอาใจใส่เท่าที่ควร ท่านให้ให้แนวทางสร้างความภูมิใจในตัวเอง
นับถือตัวเองของเยาวชน ซึ่งข้อนี้น่าจะเป็นประโยชน์
แก่การประยุกต์ใช้ได้กับเยาวชนทั่วไปในปัจจุบันด้วย
โดยที่ปัญหาสามเณรในปัจจุบันดูจะยิ่งแย่หนักลงไปกว่าก่อนเสียอีก
ทั้งปริมาณและคุณภาพ
ทั้งนี้เพราะเราไม่แยกแยะและทำหลักสูตรให้เหมาะกับวัยของเด็กหรือพื้นฐานของผู้บวช
ซึ่งบัดนี้ควรสนใจว่าระยะเวลาการบวชสั้นลงเพียง ๓ เดือน (ผู้ทำงานลาบวช) หรือ ๑
เดือน (ปิดเรียนภาคฤดูร้อน)
หรือน้อยกว่านั้นเรายังไม่มีหลักสูตรที่เหมาะสมเพียงพอซึ่งเราควรปรับปรุงต่อไปดังท่านได้ทำเรื่อง
"ศึกษาธรรมอย่างถูกวิธี" (หรือธรรมวิภาคนวกภูมิ) เป็นแนวทางไว้แล้ว
ท่านอาจารย์พุทธทาส
เป็นนักการศึกษาคนสำคัญที่สร้างองค์ความรู้ทางพุทธศาสนาไว้มาก
ทั้งจากการค้นคว้ารวบรวมจากพระไตรปิฎก และคัมภีร์ต่างศาสนาต่างนิกาย
นำมาแปลและเรียบเรียง เปิดหูเปิดตาเปิดใจชาวพุทธไทยอย่างน่ายกย่องยิ่ง
ประสานกับความรู้จากการปฏิบัติส่วนตนประจำวัน ดังในอนุทินปฏิบัติธรรมในวัยหนุ่ม
ตลอดจนการพยายามเป็นอยู่อย่างใกล้ชิดธรรมชาติ ตามอย่างพระอริยสาวกในครั้งพุทธกาล
และการปฏิบัติงานเผยแผ่สั่งสอนผู้อื่นหลายสิบปี (รวมทั้งงานนำพัฒนาท้องถิ่น
จนท่านสรุปประสบการณ์เหล่านี้ว่าไม่คุ้มค่าความเสียสละมาบวช
จนเป็นเหตุให้มุ่งทำงานชี้แจงหัวใจพุทธศาสนา
เน้นให้การศึกษาแก่ชนในวงกว้างเป็นหลัก) จะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด
หากท่านอาจารย์พุทธทาสได้ทำหน้าที่คิดอ่านวางหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์โดยตรง?
อย่างน้อยการท่องจำแบบตายตัว โดยไม่เปิดให้มีความคิดเห็นต่างออกไป
อันเป็นเหตุให้ท่านอาจารย์ยุติการเรียนเปรียญธรรมเพียง ๓ ประโยค
เมื่อความเห็นไม่ตรงกับกรรมการตรวจข้อสอบ
และเชื่อมั่นในการค้นคว้าหาความรู้เองจากต้นแหล่งโดยตรงมากกว่า
ท่านไม่เคยตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เขียนหลักสูตรที่ใช้กันมานับสิบปี
(หรือบัดนี้นับร้อยปีแล้ว) โดยที่เห็นว่าท่านผู้รจนาตำราเหล่านั้นทำได้ดีแล้ว
เท่าที่เหตุปัจจัยในเวลานั้นอำนวย แต่ผู้สืบทอดงานมากลับยึดคัมภีร์อย่างตายตัว
โดยไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของการประยุกต์ธรรมให้สมสมัย
เหมาะแก่ผู้รับและผู้ใช้จริงในสังคมต่างหากที่ควรพิจารณาตัวเองให้มาก
งานด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาของท่านพุทธทาสนั้น
อาจกล่าวได้ว่าท่านประสบความสำเร็จในการจุดความสนใจให้คนรุ่นใหม่หันมาหาพุทธธรรม
ในฐานะที่เป็นทางแก้ปัญหาชีวิต และควรนำไปประยุกต์ในสังคมทุกระดับทุกวงการ
โดยย้ำว่า โลกต้องไม่แยกจากธรรม โลกียะต้องไปด้วยกันกับโลกุตตระ
เพราะช่วยลดละอัตตาไปโดยลำดับ
และแม้ความคิดของท่านจะเป็นที่น่าสนใจของชาวต่างประเทศมาก
แต่ท่านก็ยังเห็นว่าควรให้ชาวต่างประเทศสอนกันเองจะได้ผลดีกว่าส่งพระไทยไปสอนในต่างประเทศ
เพราะความจำกัดเรื่องภาษา วัฒนธรรมและกำลังคน
หากพระไทยควรปักหลักมั่นสอนอยู่ที่เมืองไทย แก่ชาวไทยและต่างประเทศ
ที่พร้อมและสนใจเสาะแสวงธรรม จึงเดินทางมาศึกษาปฏิบัติหรือบวชเรียนจริงจัง
ด้วยเห็นความทุกข์หรือปัญหาอย่างชัดเจนแล้ว การสอนก็จะได้ผลดียิ่งกว่า
(ดังบทความที่ท่านอธิบายไว้ใน "ทำไมไม่ไปกับพระโลกนาถ" ในชุมนุมข้อคิดอิสระ
พ.ศ.๒๔๗๖) และแนวนโยบายการดำเนินงานของสวนโมกข์นานาชาติในระยะต่อมา
อนึ่ง ควรกล่าวด้วยว่า
เมื่อท่านได้รับแต่งตั้งเป็น "เผยแผ่จังหวัดสุราษฏร์ธานี"
และโดยคำสั่งของคณะตรวจการภาค ๘ ให้ท่านจัดทำ
"เค้าโครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสำหรับสมัยปัจจุบัน (โดยสังเขป)" เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๖
ท่านได้ใช้ประสบการณ์งานเผยแผ่ธรรมะที่ผ่านมากว่า ๑๐ ปี
เรียบเรียงเสนออย่างเป็นระบบ ละเอียดลออ และน่าสนใจนำไปใช้อย่างยิ่ง
คำปรารภเหตุความจำเป็นและจูงใจในการเผยแผ่อย่างถูกหลักเกณฑ์เข้าสู่เป้าหมายของการพัฒนาคน
สร้างความกระตือรือร้นและแรงใจแก่ผู้ปฏิบัติ ท่านจำแนกประเภทการเผยแผ่
ทั้งโดยวิธีปฏิบัติ ปริยัติ และปฏิเวธ จำแนกผู้รับการสอนโดยเหตุการณ์ โดยวัย
โดยหน้าที่การงานอย่างละเอียดถึง ๒๔ ประเภท
ทางแห่งความสำเร็จบุคคลองค์กรและทุนรอนที่ต้องใช้เพื่อทำงานให้ได้ผล
และแม้เหตุจะล่วงไปกว่ากึ่งศตวรรษแล้ว เราก็ยังทำได้ไม่ถึงเสี้ยวส่วนที่ท่านคิดไว้
นอกจากองค์การทั้ง ๔ คือการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ และการสาธารณูปการแล้ว
ท่านยังเสนอให้ตั้งองค์การสมณธรรมเพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้งานได้ผลยิ่งขึ้น (ปัจจุบัน
นอกจากไม่พัฒนาแล้ว เรายังรวบอำนาจไว้ที่บุคคลเดียวทำหน้าที่ทุกอย่าง
แถมยังอ่อนเปลี้ยเสียขาเป็นอัมพาตไปทุกองค์การอย่างน่า อิดหนาระอาใจในความหวงอำนาจ
และขาดความรับผิดชอบหน้าที่ของตน ๆ อย่างดีพอ)
การที่คณะสงฆ์อ่อนแอ
และการพระศาสนารวนเร เป็นเหตุให้ต้องมีการปฏิรูปและฟื้นฟูอย่างจริงจังเร่งด่วน
ควรกล่าวด้วยว่า การที่นายนรินทร์ (กลึง)
บวชลูกสาวเป็นสามเณรีและวิพากษ์วิจารณ์จ้วงจาบพระสงฆ์
เป็นแรงผลักดันส่วนหนึ่งที่ทำให้อาจารย์พุทธทาสจากวัดปทุมคงคามาก่อตั้งคณะธรรมทานขึ้น
และแม้จะมีสวนโมกข์ขึ้นอย่างยากลำบากด้วยเป็นของใหม่ และทวนกระแส
แต่ท่านก็ไม่แยกตัวออกจากคณะสงฆ์เพื่อตั้งนิกายใหม่ให้เกิดการแตกแยกหนักขึ้นไปอีก
เพราะภารกิจของท่านคือการเพิ่มพูนกำลังแก่พระศาสนาดังนั้นท่านจึงเรียกร้องให้ปรับปรุงส่วนที่อ่อนแอ
แก้ไขส่วนที่ด้อย ยกส่วนที่ต้อยต่ำให้สูงขึ้นแทนการแยกพวกออกไป (หรือกำจัดจุดอ่อน)
ปัญหาถกเถียงเรื่องสามเณรีและภิกษุณีจะมีได้หรือไม่ในเมืองไทย
ดูจะเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันต่อไปอีกนาน
เมื่อไม่มีทางยุติเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย การที่จะมีแม่ชีบิณฑบาต
ตั้งสำนักสอนธรรมะ ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือการที่ท่านอาจารย์พุทธทาสริเริ่ม
"ธรรมมาตา" ขึ้นทดแทนภิกษุณี
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ปฏิบัติธรรมและสั่งสอนผู้หญิงกันเองได้โดยสะดวก
ก็เป็นทางเลือกที่น่าพิจารณา เว้นแต่คณะสงฆ์ไทยจะยังคงยึดมั่นอยู่แต่มติของตน
ไม่ยอมรับ เอื้อเฟื้อ
หรือแม้แต่หาทางออกที่ดีแก่ผู้ใฝ่ใจในการบวชจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาที่แก้ได้ยากขึ้นเรื่อยในอนาคต
ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนว่า หากมีพระต่างนิกายมาเยี่ยมเยือน
ให้เอื้อเฟื้อต้อนรับให้ดีที่สุด จะเป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่าย
และไม่ต้องสร้างวัดแข่งกัน ด้วยเหตุของความไม่สะดวก หรือการแบ่งแยกนิกาย
ซึ่งเป็นความสูญเปล่า ความขัดแย้งและความยากลำบากโดยไม่จำเป็น
คณะสงฆ์ไทยยังมีเรื่องสมณศักดิ์
และความเป็นพระราชาคณะ อันเป็นที่ใฝ่ฝันต้องการของพระภิกษุไม่น้อย
โดยที่ผู้พิจารณาถือเอาเกณฑ์จากผลงานการก่อสร้างหรือหาเงินเก่งทั้งเพื่อถวายในหลวงในฐานะเป็น
"คณะพระราชา" หรือเพื่อช่วยชาติโดยเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง
แทนการสั่งสอนหรือปลูกฝังสัมมาทิฏฐิเป็นงานหลักแล้ว
การคณะสงฆ์คงคลอนแคลนเบียดเบียนญาติโยมและมีการวิ่งเต้น
เลวร้ายไม่แพ้ระบบราชการนั่นเอง
ไม่จำต้องพูดถึงลาภสักการะที่จะพึงได้เป็นส่วนแบ่งอันไม่ชอบธรรม
คล้ายการคอรัปชั่นเชิงนโยบายของฝ่ายโลกก็ได้ ควรที่จะลดการสาธารณูปการที่ไม่ได้การ
และหันมาสร้างคนที่เป็นศาสนทายาท เพื่อรักษาพระศาสนาที่ตัวแก่นแท้
ตะเกียงที่ไร้ไส้และน้ำมัน
แต่ไม่อาจส่องสว่างนั้น
มีคุณค่าไว้อวดและเป็นภาระดูแลรักษาสิ้นเปลืองที่คุ้มค่าเวลาและทรัพยากรหรือไม่?
ชาวพุทธไทยที่หลงสร้างศาสนสถานอันโอฬาร
ด้วยความภูมิใจและอุ่นใจว่าได้จรรโลงรักษาพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้มั่นคงโดยไม่สนใจจะถามว่า
ในวัดกำลังปฏิบัติอะไรกันอยู่? เป็นธรรมะและเพื่อธรรมะหรือไม่?
จะต่างอะไรกับคนตาบอดหลงถือตะเกียงที่ไฟดับแล้ว
โดยหวังว่าตนเองจะปลอดภัยในยามค่ำคืน เพราะเข้าใจว่าแสงไฟ (ที่จริงดับแล้ว)
จะคุ้มครองตนเองไม่ให้ถูกชนล้มลงได้ ปัญหาสังคมที่เกิดกับเยาวชนและประชาชน
ทั้งเรื่องอบายมุข กามารมณ์ ยาเสพติด อาชญากรรม และความไร้ศีลธรรมต่าง ๆ
เป็นภารกิจของพระสงฆ์ใช่หรือไม่ ที่ต้องช่วยกู้วิกฤต สมเด็จและพระราชาคณะ
ตลอดจนสมณศักดิ์ ได้ช่วยเอื้อให้เกิดการแก้ปัญหาหรือยิ่งสร้างปัญหามากขึ้น?
มีคนถามท่านอาจารย์พุทธทาสว่า
ทำไมไม่คืนสมณศักดิ์เสียเล่า ท่านตอบว่า "ทำไมจะต้องเอาไปคืน
ในเรื่องเราไม่ได้รับมาแต่แรกแล้ว"
เรื่องยศช้างขุนนางพระอย่างนี้นับวันจะหาได้ยากยิ่ง
ดังนั้นการปลงศพท่านจึงเรียบง่าย ไม่ต้องการรบกวนใคร ๆ โดยเฉพาะเบื้องพระยุคลบาท
ยิ่งพระผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างในทางฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมากเท่าไร
พระผู้อยากใหญ่ก็ต้องเอาอย่างทำให้มากกว่าหนักกว่าอีก
ดังนั้นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจึงควรใคร่ครวญให้จงหนัก
ในการสร้างแบบอย่างให้ผู้อื่นทำตาม
ท่านอาจารย์พุทธทาสไม่ประสงค์
และไม่ถนัดอย่างยิ่งในการปกครองคณะสงฆ์ ทั้งไม่ต้องการไต่เต้าเอาทางยศศักดิ์
ท่านจึงละจากเมืองหลวง
กลับสู่บ้านเกิดหรือบ้านแม่เพื่อกอบกู้ฟื้นฟูพุทธศาสนาที่รุ่งเรืองมาแต่ยุคศรีวิชัยได้สำเร็จ
หากท่านต้องมัวประจบหรือเอาใจญาติโยมเพื่อความสำเร็จส่วนตน
ไหนเลยจะทำประโยชน์ได้กว้างขวางปานนี้
สรุป
ผู้เขียนได้มีโอกาสรับใช้ในสำนักของท่านอาจารย์พุทธทาสช่วงหนึ่งในบั้นปลายชีวิตของท่าน
แม้จะมิได้รับรู้หรือร่วมงานมาโดยตรงแต่ต้น แต่ปฏิปทา คำสอน
คำดำริและความจำนงหวังของท่านก็เป็นสิ่งที่ประทับใจ
ไม่เห็นมีสิ่งใดที่บั่นทอนศรัทธาหรือเป็นข้อกังขาให้ต้องคลางแคลงใจ
ท่านอาจารย์ถ่อมตนทุกครั้งที่พบพระดีที่น่าเคารพ
เช่นองค์ทะไลลามะและสมเด็จพระสังฆราช รังเกียจพระที่ลุ่มหลงในวัตถุนิยม
และอิดหนาระอาใจผู้มักใหญ่ใฝ่สูงเกินพอดี
ท่านตำหนิผู้แวดล้อมบางคนเสมอที่ชอบเข้าหาผู้ยิ่งใหญ่ในวงการเมืองหรือคณะสงฆ์เพื่อหาทางวิ่งเต้นว่า
"มันบ้า ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ควรไม่ควร"
แม้จะสร้างอารามที่เป็นธรรมชาติให้ผู้อื่นเอาอย่างตามเพื่อให้คนเข้าใจเรื่อง
ธัมมิกสังคมนิยม ตามกฎธรรมชาติได้โดยง่าย
ก็ดูจะมีผู้เห็นด้วยถึงกับลงมือทำตามไม่มากนัก
หนังสืออ่านประกอบเพื่อเสริมการศึกษา นักธรรมตรี โท เอก และนักธรรมพิเศษ
ก็ดูจะไม่ได้รับความสนใจใยดีจากผู้บริหารคณะสงฆ์ ในปัจจุบัน
แนวคิดเรื่องกระทรวงศีลธรรม
ที่ท่านเสนอให้ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในจริยธรรมของกระทรวงต่าง ๆ
ก็ดูจะล้ำสมัยเกินไป (แต่บัดนี้เราก็มีองค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบ ฝ่ายรัฐ เช่น
ศาลปกครอง ผู้ตรวจการรัฐสภา กกต. ปปช. ฯลฯ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีผล
อะไรมากนักหากผู้ทำหน้าที่ไม่บริสุทธิ์โปร่งใสน่าศรัทธาพอ)
วัตถุนิยมที่ท่านคัดค้านก็กำลังท่วมโลกภาวะจิตทรามเพราะลุ่มหลงกามารมณ์ก็มีอยู่ทุกวงการ
ทุกเพศทุกวัย มิใยต้องเอ่ย ถึงสิ่งเสพติด
และไสยศาสตร์ที่ท่านชี้ให้เห็นพิษภัยตัวร้าย "เต่า" ตัวใหญ่ที่เป็นด้วยความโลภ
โกรธ หลง ก็ยังคงอยู่และคืบคลานต่อไป เพื่อครอบครองพุทธจักรในอนาคตอันใกล้
ชาวพุทธไทย ก็ยังฝากอนาคตพระศาสนาไว้กับคนอื่นที่เป็นลูกหลานผู้ด้อยโอกาส
ชนิดหวังพึ่งโดยที่ก็รู้อยู่ว่าพึ่งอะไรไม่ได้มากนัก
หากท่านหยั่งรู้ด้วยญาณวิถีใดว่าสิ่งที่ท่านเพียรสร้างริเริ่มนำทางและกระทำต่อเนื่องมากกว่า
๖๐ ปี มีผลน้อยนักต่อศาสนาในสังคมไทยปัจจุบัน ท่านคงปลงธรรมสังเวช
ดังที่ท่านเคยปรารภกับนายธรรมทาส พานิช ผู้น้องชายว่า อีกสิบปีหรือร้อยปีข้างหน้า
อาจจะมีรูปปั้นของท่านพร้อมเซียมซีศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานให้ผู้คนกราบไหว้ขอลาภขอพร
ซึ่งท่านไม่มีให้และไม่มีวันจะให้ก็ได้
แต่เชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ที่ท่านหว่านไว้ในใจพุทธชน
ก็จักมีโอกาสเบ่งบานกลางกระแสความวุ่นวายอลวลได้ไม่แพ้กัน
ทุกครั้งที่พระพุทธศาสนาเกิดวิกฤตศรัทธาก็เป็นโอกาสสำหรับการฟื้นฟูปฏิรูปครั้งใหญ่บัดนี้
"พุทธทาส" และ "ธรรมทาส" ที่เคยมีได้ล่วงลับไปแล้ว "อริยสังฆทาส"
ที่ดำรงตนดังหนึ่งสังฆราชา ไม่สมกับฉายาที่ขนานให้ตนก็ล่วงลับไปแล้วด้วยเช่นกัน
โดยวาทะว่าระเบียบคณะสงฆ์ใด ๆ จะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อท่านตายไปเสียก่อน
บัดนี้ดูจะยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
อาจเพราะมีอามิสทายาทและผู้ไต่เต้าเอาดีเพื่อตนรอเสวยอำนาจวาสนาดังกล่าวมากเกินไป
ทอดตาดูในใต้หล้า เห็นอยู่แต่พระธรรมราชาและธรรมราษฎร
และธรรมเสนาบางส่วนกระมังที่ยังมีความจงรักภักดี เป็นข้าพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ช่วยกันกอบกู้สถานภาพสงฆ์ไทยในโลกสมัยใหม่
อย่างอุทิศตนและรู้เท่าทันกิเลสวาสนาและปัญหาสารพัน
"พระสร้าง พระเสก พระสวด
และพระสอน" เรามีอยู่มากเกินพอดี บางทีอาจจะต้องช่วยกันบำรุงรักษา "พระสงฆ์"
ที่แท้ ซึ่งต้องการการบ่มเพาะให้เติบโตในชุมชนแห่งธรรม
เพื่อนำสังคมไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นและยั่งยืนสืบต่อไป
ตามเจตนาท่านอาจารย์พุทธทาสที่ว่า
พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย
ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบกายใจรับใช้มา
ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย.
|