ท่านพุทธทาสในความทรงจำของผม
กรุณา กุศลาสัย
ปาฐกถาพุทธทาสภิกขุมหาเถระ ครั้งที่ ๕
แสดง ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม
อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี สยามภาคใต้
เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๑
ก |
ราบสวัสดีพระเดชพระคุณท่านอาจารย์โพธิ์ พระเดชพระคุณพระเถรานุเถระทุกท่าน และสวัสดีพี่น้องญาติธรรม ที่ได้เมตตาสละเวลามาฟังผมเล่าเรื่องเก่าในวันนี้
ผมต้องขอสารภาพว่า ผมรู้สึกตื่นเต้นมากในวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ นี่ก็เกือบ สองทุ่มแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นแล้ว ที่ว่าตื่นเต้นนั้นเพราะว่า ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ท่าน พ่อ ของเรา คือท่านอาจารย์พุทธทาสนี้ยังอยู่ ยังอยู่ที่นี่ จะเป็นด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ เหมือนกับท่านยังฟัง ยังเห็นเรามาชุมนุมกันในวันนี้ เหมือนกับเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่
คุณเมตตาได้แนะนำผมต่อพระเดชพระคุณ และแก่ญาติธรรมทั้งหลายว่า ผมมีเรื่องเก่า ๆ ที่จะมาเล่าให้ฟัง ครับ เรื่องของผมนั้น อยากจะพูดว่า เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ไปแล้ว เพราะว่าได้เกิดขึ้นตั้ง ๖๐ กว่าปีแล้ว คุณเมตตาได้แนะนำผมว่าเวลานี้ผมอายุย่างเข้า ๗๘ ปี ผมปีวอกครับ แต่ก่อนที่ผมจะเข้าเรื่องนะครับ ผมขอประทานโทษ ดูโน้ตที่ผมได้เขียนมาไว้หน่อยนะครับ
ผมต้องขอขอบคุณนะครับ ที่ได้รับเกียรติให้มาพูดในวันนี้ เป็น ปาฐกถาพุทธทาสภิกขุมหาเถระ ครั้งที่ ๕ ผมเห็นรายนามเจ้าภาพ ซึ่งจัดให้มีงาน สัปดาห์พุทธทาสรำลึก ขึ้นนี้ ก็รู้สึกปลื้มใจเหลือเกิน คือมีเจ้าภาพถึง ๘ ราย ด้วยกัน ผมขอทบทวนความทรงจำของพระคุณเจ้า พระเถรานุเถระ และพี่น้องโดยธรรมนะครับว่ามีใครบ้าง มี ๘ สถาบัน ด้วยกันนะครับ
สำหรับผมนั้นที่มาปรากฏตัวที่นี่ได้ก็เพราะว่า เจ้าภาพรายหนึ่ง ได้แก่ มูลนิธิโกมลคีมทอง ซึ่งหัวหน้าทีม คุณฐิติมา คุณติรานนท์ ก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่เหมือนกัน เมื่อตอนเย็นได้พบกันนะครับ ผมมาที่นี่ได้ก็ด้วยความเมตตาของมูลนิธินี้ คืออุตส่าห์เมตตาให้เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิไปรับผมถึงบ้าน บ้านผมอยู่พรานนก ธนบุรีนะครับ พาไปส่งรถไฟ หาที่นงที่นั่งอะไรซึ่งจองแล้วให้เสร็จ แล้วก็เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อเช้า ก็ยังมีเจ้าหน้าที่อุตส่าห์ไปรับผมที่สถานีรถไฟ นี่เป็นเจ้าภาพหนึ่งนะครับ และต่อจากนั้นก็มี สวนโมกขพลาราม, ธรรมทานมูลนิธิ นะครับ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พบกับอาจารย์บัญชา พงษ์พานิช เมื่อตะกี้นี้ ท่านอุตส่าห์มาฟัง มาร่วมงานเราด้วย นี่ก็เป็นเจ้าภาพอีกรายหนึ่ง ต่อไปก็คือ สวนสร้างสรรค์นาคร-บวรรัตน์ นี่ชื่อเพราะมาก แล้วก็ เสมสิกขาลัย นอกนั้นก็มี คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา เรียกย่อว่า ศ.พ.พ. นี่เป็นเจ้าภาพที่ ๗ แล้วก็ หนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ซึ่งเป็นเจ้าภาพรายสุดท้ายที่ ๘ ทั้งหมด ๘ สถาบัน นี่นะครับ ที่ร่วมกันจัดงานให้แก่ท่านอาจารย์ของเรา นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว ผมมาคิดว่า ถ้าเผื่อท่านอาจารย์ของเราบารมีไม่มากถึงเพียงนี้ละก็ จะหาเจ้าภาพร่วมงานกันตั้ง ๘ เจ้าภาพนี่ ไม่ง่ายเลยครับ
ผมเรียนให้ทราบแล้วว่า วันนี้ที่ผมมาปรากฏตัวที่นี่ อยากจะฟื้นความหลัง ความหลังที่ผมให้ชื่อว่า ท่านพุทธทาสในความทรงจำของผม ความทรงจำนี้เกิดขึ้น ๖๐ กว่าปีแล้ว คือเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ ปีที่ท่านอาจารย์มาก่อตั้งคณะธรรมทานที่นี่ ที่ไชยานี่นะครับ ก่อนหน้านั้นท่านอาจารย์พุทธทาส ไปอยู่ที่วัดปทุมคงคาเป็นเวลาเล็กน้อย ท่านเบื่อกรุงเทพฯ ท่านก็เลยมาอยู่ที่นี่ แล้วก็มาตั้งคณะธรรมทาน ซึ่งต่อมามีบารมีเหลือล้น จนกระทั่งเราญาติพี่น้องโดยธรรมทั้งหลายได้มาพบปะกันที่นี่ ผมคิดว่าถ้าไม่มีท่านอาจารย์แล้ว เราคงจะไม่ได้มีโอกาสมาพบ มาสังสรรค์กัน เหมือนพี่น้องโดยธรรมอย่างนี้หรอกครับ
ท่านพระคุณเจ้าและท่านพี่น้องญาติธรรมทั้งหลายคงจะแปลกใจนะครับว่า ผมไปยังไงมายังไงถึงไปมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอาจารย์พุทธทาสได้ ผมจะขอเล่าย่อ ๆ
สำหรับบรรดาพระคุณเจ้าและญาติธรรม ซึ่งมีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปแล้ว คงจะเคยได้ยินแล้วนะครับว่า เมื่อปี ๒๔๗๖ ปีที่ท่านอาจารย์มาตั้ง คณะธรรมทาน ที่นี่ ในปีเดียวกันนั้นสำหรับผู้ที่สนใจประวัติของศาสนาพุทธในเมืองเรา คงจำกันได้ว่า มีพระฝรั่งชาติอิตาลีชื่อ โลกนาถ คำว่าโลกนาถนี่ดูเหมือนพระเถรานุเถระหลายองค์ของไทยเรา ไม่ค่อยพอใจที่พระฝรั่งองค์นี้ มาบังอาจตั้งฉายาของท่านว่าโลกนาถ โลกนาถ แปลว่า เป็นนาถะ เป็นนายของโลก ดูเหมือนคำนี้จะใช้สำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น โดยเหตุนี้พวกเราหลายคน ทั้งคฤหัสถ์ และทั้งพระ รู้สึกจะไม่พอใจนัก ที่พระโลกนาถ-พระฝรั่งมาตั้งชื่อนี้ พระฝรั่งชาติอิตาลีนี้นะครับ ชาติอิตาลีก็จริง แต่ไปเกิดในอเมริกา อเมริกานี้เป็นแผ่นดินทอง คนฝรั่งหรือคนต่างชาติไปขุดทองที่นั่นแยะ ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ ครอบครัวของพระโลกนาถไปอยู่ที่อเมริกา พระโลกนาถก็เกิดในอเมริกา เกิดในอเมริกาถือสัญชาติอเมริกัน และก็ได้ศึกษาแบบคนที่มีการศึกษาดีทั่ว ๆ ไปในอเมริกา พระโลกนาถเรียนทางวิทยาศาสตร์ สำเร็จได้ปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย Columbia ด้วยความสนใจทางศาสนา ท่านก็หันมาศึกษาศาสนาพุทธ ผมจะขอเล่าย่อ ๆ นะครับ เพราะเรื่องนี้ยาว ถ้าจะให้พูดกันละก็ พูดได้นานทีเดียว ทั้งเรื่องพระโลกนาถก็ดี และผมมารู้จักกับท่านอาจารย์พุทธทาสได้ยังไงก็ดี เรื่องยาวมาก ผมจะรวบรัดนิดหน่อย เพราะว่าท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ (พระทวีศักดิ์ จิรธมฺโม) บอกว่า หลังจากผมพูดแล้ว คงจะมีการให้โอกาสตั้งคำถาม-คำตอบกันบ้าง สำหรับท่านพระเถรานุเถระ หรือญาติพี่น้องทั้งหลายที่คงอยากจะทราบ
กล่าวโดยย่อก็คือ พระโลกนาถเมื่อเรียนอย่างทางโลกสำเร็จแล้ว เป็นบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์แล้ว ก็สนใจทางศาสนาพุทธ มีศรัทธาแก่กล้ามาก มาบวชเป็นพระภิกษุเหมือนพระสงฆ์องค์เจ้าที่เราเห็นในเมืองไทยเรานี่ มาบวชที่พม่า บวชที่พม่าแล้วพระโลกนาถมีศรัทธาแก่กล้ามาก อยากจะให้ศาสนาพุทธที่ท่านถือว่าเยี่ยม เป็นคู่มือมนุษย์ เป็นอะไรก็แล้วแต่ของมนุษยชาติที่จะขาดไม่ได้นี้ อยากจะให้เผยแพร่ไปยังพวกฝรั่ง แล้วก็ด้วยความรู้สึกอยากจะเผยแพร่ศาสนาพุทธให้ไปเป็นที่รู้จักทางยุโรปและอเมริกานี้ ท่านจึงมีโครงการที่จะนำพระภิกษุสามเณรชาติต่าง ๆ ในเอเชียที่ถือศาสนาพุทธ ไปฝึกอบรม ไปเรียนวิชาธรรมทูตที่อินเดีย และก็ด้วยความประสงค์อันนี้ ท่านจึงมาเมืองไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านทำมาในพม่า อันเป็นประเทศที่ท่านบวช ทำ หมายถึงจัดให้นักศึกษาพระหนุ่มเณรน้อยพม่าไปศึกษาที่อินเดีย ทำที่พม่าก่อน แล้วก็มาที่สองที่ประเทศไทย ประเทศต่อไปนั้นจะเป็นศรีลังกา ท่านตั้งใจจะไปเขมรด้วย แต่ว่าโครงการเขมรนี้ได้เลิกล้มไป
การที่ท่านมุ่งมาทางประเทศที่นับถือศาสนาพุทธแบบ เถรวาท ก็เพราะว่า ท่านเห็นว่าพุทธศาสนาแบบเถรวาท เป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ ซึ่งคงทนต่อการพิสูจน์ สมควรที่จะให้พวกฝรั่งรู้ แม้ว่าใครก็ตาม ที่เก่งกาจทางศาสนาคริสต์หรือศาสนาอื่นเพียงใดก็ตาม ศาสนาพุทธจะสามารถสู้ได้เสมอและจะชนะด้วย ด้วยความรู้สึกอันจริงใจนี้ ท่านมาเมืองไทย ท่านใช้คำว่า ภิกษุสามเณรใจสิงห์ Lion-hearted Bhikkhus and Samaneras ท่านมาเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นปีเดียวกันกับที่ท่านอาจารย์พุทธทาสมาตั้งคณะธรรมทานอย่างที่เรียนให้ทราบแล้ว และเป็นปีเดียวกันกับที่นิตยสารราย ๓ เดือนคือ พุทธสาสนา ซึ่งเดี๋ยวนี้มีโฉมหน้าใหม่แล้ว ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี ๒๔๗๖
เป็นการบังเอิญที่ประหลาดมาก พระโลกนาถมาในปีนั้น ท่านอาจารย์ตั้งคณะธรรมทานในปีนั้น ออกหนังสือราย ๓ เดือน ชื่อ พุทธสาสนา ในปีนั้น
พระโลกนาถมาพักอยู่ที่วัดบวรฯ (บวรนิเวศวิหาร, กรุงเทพฯ) และถ้าผมจำไม่ผิด ท่านอาจารย์พุทธทาส บวชแล้ว มาจากวัดปทุมคงคาแล้ว มาอยู่ที่นี่ พอได้ข่าวพระโลกนาถมา ท่านก็ขึ้นกรุงเทพฯ ไปพบกับพระโลกนาถ ตอนนั้นท่านอาจารย์ของเรา จะอายุประมาณ ๒๗-๒๘ พรรษายังไม่ถึง ๑๐ ก็ไปพบกับพระโลกนาถ ที่กรุงเทพฯ
ฝ่ายปักษ์ใต้ของเมืองไทยเรา มีพระอีก ๒ รูป ซึ่งเดี๋ยวนี้ยังอยู่ในความทรงจำของผมดี ได้ไปหาพระโลกนาถ ไปไต่ถามว่า ท่านมีโครงการยังไง จะไปเผยแผ่ศาสนา จะเอาพระภิกษุสามเณรไทยไป อบรมศึกษายังไง จะได้เป็นธรรมทูตต่อไป ก็ไปพบพระโลกนาถที่วัดบวรฯ ที่ผมเอ่ยถึง ๒ ท่านหลังนี้ คือท่านหลวงพ่อปัญญานันทะ ปัจจุบันมีสมณศักดิ์เป็น พระธรรมโกศาจารย์ นี้องค์หนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้ท่านก็อายุ ๘๐ กว่าแล้ว และองค์ที่สองคือท่าน บ.ช.เขมาภิรัต (มรณภาพแล้ว) ชาวจังหวัดหลังสวน ชุมพร ๒ องค์นี้ผมจำได้ดี นอกนั้นยังมีพระเณรจากปักษ์ใต้อีกหลายองค์ คณะพระโลกนาถรวมแล้วเมื่อออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอยุธยา ไปลพบุรี มีประมาณ ๑๐๐ กว่ารูปครับ ในจำนวนนี้ที่ผมจำได้แม่น ๆ ก็คือท่านปัญญาฯ และท่าน บ.ช.ฯ
ท่านปัญญาฯ เดิมท่านชื่อ มหาปั่น ฉายาท่าน ปทุมุตฺตโร เป็นนักเทศน์ตั้งแต่ไปกับพระโลกนาถแล้ว ส่วนท่าน บ.ช.ฯ นี่ชื่อคฤหัสถ์ ท่านชื่อบุญชวน บุญชวน เขมาภิรโต ตอนหลังเป็น พระราชญาณกวี เป็นนักเขียน อยู่หลังสวน ชุมพร เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่เคยไปมาหาสู่กันทั้ง ๓ องค์นี้ คือท่านพุทธทาส ท่าน บ.ช.เขมาภิรัต และท่านปัญญาฯ ไปเยี่ยมพระโลกนาถที่วัดบวรฯ ที่กรุงเทพฯ และเมื่อได้พูดจาไต่ถามอะไรกันเรียบร้อยแล้ว ท่าน บ.ช.ฯ กับท่านปัญญาฯ ก็มีจิตศรัทธาร่วมไปกับคณะพระโลกนาถ
ส่วนท่านอาจารย์พุทธทาสนั้น ได้ยินว่าพระโลกนาถชวนเหมือนกัน บอกไปด้วยกันมั้ย ไปรับใช้ศาสนา ตอนนั้นท่านยังไม่ได้ใช้ชื่อพุทธทาสนะ ท่านชื่อ มหาเงื่อม อินฺทปญฺโ พุทธทาสนี่ ท่านมาตั้งทีหลังครับ ผมได้ทราบว่าท่านอาจารย์พุทธทาสตอบว่า อย่าให้ไปเลย เพราะผม คือท่านพุทธทาส มีงานที่จะต้องทำในเมืองไทย และเป็นงานที่กำลังเริ่มใหม่ด้วย เป็นงานคณะธรรมทานที่นี่แหละ
สรุปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก็เลื่อมใสกับโครงการของพระโลกนาถไม่น้อยเหมือนกัน ท่านพุทธทาสก็ไม่ได้ไป ก็ไปแต่ท่านปัญญาฯ กับ ท่าน บ.ช.เขมาภิรัต
คณะพระโลกนาถเมื่อประกาศโฆษณาที่วัดบวรฯ ก็มีพระเณรไทยไปสมัครเป็นสมาชิก เรียก คณะมหาจาริก นะครับ ภาษาอังกฤษเขาเรียก Expedition เมื่อออกจากกรุงเทพฯ นั้น ได้ทราบว่ามีสมาชิกประมาณ ๑๐๐ รูป เป็นพระเณรนะครับ พระโลกนาถไม่รับคฤหัสถ์ใครจะไปก็ต้องขออนุญาตทางบ้านหรือ ผู้ปกครองบวชเป็นพระเณรไป ถึงจะไปได้ คณะพระโลกนาถออก เดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณกลางเดือนมกราคม ๒๔๗๖ ออกจากวัดบวรฯ เดินด้วยเท้ามุ่งหน้าไปทางอยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ แล้วก็ขึ้นเหนือไป
พระคุณเจ้าและญาติธรรมคงจะสงสัยว่า คำว่า เดินด้วยเท้า คณะพระโลกนาถนั้นมีระเบียบหลายอย่างซึ่งเข้มงวดมากในการปฏิบัติ ท่านถือ ธุดงควัตร เป็นต้นว่าฉันหนเดียว ต้องอยู่โคนต้นไม้ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ มีข้อปฏิบัติอย่างนี้หลายข้อ ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวด ยังไงก็ตาม คณะพระโลกนาถก็ออกเดินทางไปอยุธยา ลพบุรี แล้วก็นครสวรรค์
![]() |
สามเณรกรุณา กุศลาสัย
|
ผมเป็นคนนครสวรรค์ เกิดที่ปากน้ำโพ ผมอายุได้ ๑๓ ปี ผมปีวอกครับ ถ้าคิดตาม พ.ศ. ก็ ๒๔๖๓ (๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓) ผมยังอยู่โรงเรียน เป็นเด็กกำพร้าครับ พ่อแม่ผมตาย ตั้งแต่ผมยังเล็ก ๆ เมื่อตอนที่พระโลกนาถไปถึง ผมยังอยู่โรงเรียน โดยอาศัยญาติพี่น้องเขาส่งเสียให้เรียน แต่ว่าในใจจริง ๆ รู้สึกว้าเหว่มาก เหมือนเรือที่ไม่มีนายท้าย พระโลกนาถไปถึงนครสวรรค์มีพระเณร ไปด้วยประมาณร้อยรูป ก็ไปพักที่วัดตลิ่งชันหรือวัดพรหมจริยาวาส
ผมก็มาคิดดูว่า เราพี่น้องก็มีจริงแต่เราก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่มีใครมาเหลียวแลเราเหมือนมีพ่อแม่อยู่หรอก
สำหรับเรื่องที่เป็นประวัติส่วนตัวของผมนั้น ขอประทานโทษ รายละเอียดมีอยู่ในหนังสือที่ชื่อว่า ชีวิตที่เลือกไม่ได้ ผมเกิดที่ไหน ลำบากยังไง พ่อแม่อยู่ยังไง มีอยู่ในนั้นหมด หนังสือเล่มนี้รู้สึกจะไปได้ดี วันนี้ผมก็เอามาฝากคุณเมตตาเล่มหนึ่ง อยู่ในหนังสือกองข้างหน้านี่ เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมเขียนผมแปล ประมาณ ๓๐-๔๐ เล่ม ผมเอามามอบให้กองตำราของคณะธรรมทาน
ทีนี้จะขอกลับไปพูดถึงเรื่องชีวิตผม รู้สึกว่าเห็นจะอยู่เมืองไทยไม่ไหวแล้ว จึงสมัครใจไปกับพระโลกนาถ พระโลกนาถก็ให้ผมไปเอาใบรับรองจากผู้ปกครองมา
ผมอาศัยอยู่กับญาติซึ่งมีศักดิ์เป็นป้า ผมไปบอกป้า ป้าเขาก็บอก เอ็งจะไปทำไม ไปกับพระฝรั่งมังค่า เดี๋ยวไปตงไปตายข้าไม่รู้นะ อะไรทำนองนี้ ผมก็ไปหาเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนนั้นเป็นคนกำพร้าพ่อ แต่แม่เขายังอยู่ ก็ไปขอให้แม่เขาเป็นผู้รับรอง เพราะพระโลกนาถนั้นมีระเบียบว่า ถ้าใครไปกับท่าน จะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กก็ตาม ต้องมีคนรับรอง ผมก็ให้แม่ของเพื่อนเป็นผู้ปกครองอนุญาตให้ไป การไปของผมก็ขลุกขลักมาก อยู่ในหนังสือที่ผมเรียนให้ทราบไปแล้ว บวชแล้วก็ไม่มีเงินจะซื้ออัฏฐบริขาร สบง จีวร บาตรเบิด ไม่มีทั้งนั้น แต่ก็โชคดีของผมได้คนมาช่วย สรุปแล้วผมก็ไป ไปกับพระโลกนาถได้
คณะพระโลกนาถพักอยู่ที่ปากน้ำโพ นครสวรรค์สัก ๒ สัปดาห์ได้ ก็เดินทางต่อไปพิษณุโลก จากพิษณุโลกก็เข้าแม่สอด แล้วก็ผ่านตาก ระแหง เข้าป่าแม่สอด ป่าแม่สอดตอนนั้นก็ไม่เหมือนสมัยนี้ น่ากลัวมาก สิงห์สาราสัตว์แยะเหลือเกิน ผมจำได้ว่า เมื่อคณะพระโลกนาถเข้าถึงป่าแม่สอดแล้ว พระเณรมีประมาณ ๒๐๐ กว่ารูป
ผมลืมเรียนไปว่า ระหว่างทางเวลาเราพัก เป็นต้นว่าพักที่นครสวรรค์สัก ๒ สัปดาห์ หรือที่พิษณุโลกสักครึ่งเดือนอะไรนี่ พระโลกนาถก็เที่ยวไปหาสมาชิกเพิ่ม เช่น ไปเชียงใหม่ ลำปาง ก็ได้พลพรรคพระเณรเพิ่มขึ้น มารวมกันที่พิษณุโลก แล้วก็เดินทางเข้าป่าแม่สอดดังที่ได้กล่าวแล้ว
ระหว่างที่เดินทางผ่านป่าแม่สอด คณะของเรา ๒๐๐ กว่ารูปทำให้ป่าเหลืองอร่ามไปด้วยจีวรพระ ดูเหมือนสมัยนั้นเดินทางจากตาก จนกว่าจะผ่านพ้นป่าแม่สอด เข้าใจว่ากินเวลา ๓ วันหรือ ๒ คืน คืนหนึ่งผ่านหมู่บ้าน พวกเราพระเณรอยู่ใต้ต้นไม้ ชาวบ้านเขาก็ยิงเสือ น่ากลัวมาก เขายิงได้แล้วเขาเอามาถลกหนัง ตากแดด อันนี้เรื่องปลีกย่อย
คณะของเราก็เดินทางเข้าพม่า สมัยก่อนการไปพม่าก็ยังงั้นแหละ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากก็เข้าได้ อังกฤษก็ปกครองพม่าอยู่ แต่พม่ากับเราก็เป็นประเทศเมืองพุทธ ถ้าดูหน้าตาไม่พูดจากัน ก็ดูเหมือนคนไทยเรานั่นแหละ ก็เดินทางไปจนถึง ย่างกุ้ง เมืองหลวงของเขา
ที่ผมใช้คำว่า เดินด้วยเท้า นี่ก็เป็นจริงอย่างนั้นคือเดินด้วยเท้าจริง ๆ แต่ถ้ามีช่วงไหนญาติโยมเขาปวารณาหรือศรัทธาจะจัดรถราเป็นพาหนะให้ เราก็ไป แต่น้อยมาก เพราะว่าคนตั้ง ๒๐๐ นี่จะให้ญาติโยมคนไหนมาหารถหาราให้ไม่ใช่ของง่าย สรุปแล้วพวกเราก็ไปถึงพม่า ถึงเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ทองเหลืองอร่ามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพม่า พอดีเข้าพรรษา
คณะพระโลกนาถออกจากกรุงเทพฯ เดือนมกราคม รอนแรมไป ผ่านอยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก พอไปถึงย่างกุ้งก็เข้าพรรษาพอดี จะเดินทางต่อไปอินเดียไม่ได้ ก็พักเข้าพรรษา เข้าพรรษาที่เจดีย์ทองของพม่านี่ เจดีย์ชเวดากองนี่ล่ะครับ
ทีนี้ พระคุณเจ้ากับพี่น้องทั้งหลายคงจะอยากทราบว่า คณะพระโลกนาถนี่ ไปยังไงมายังไง คล้าย ๆ กับว่าไปไม่ถึงอินเดีย เพราะโครงการของพระโลกนาถตั้งใจเอาพระเณรไปถึงอินเดีย ไปสอนไปฝึกเป็นธรรมทูต
ระหว่างที่เดินทางกันนั้น ขอให้พี่น้องลองโปรดใช้จินตนาการ ดูก็แล้วกัน คน ๒๐๐ คน ไปจากทุกทิศทุกทางของเมืองไทย แล้วก็เป็นหนุ่ม ๆ ทั้งนั้น คณะที่ไปกับพระโลกนาถนั้น หลวงตาแก่ ๆ มีไม่กี่องค์ นอกนั้นเป็นพระหนุ่มเณรน้อย อายุตั้งแต่รุ่นผมนี่รุ่นเล็กที่สุด ๑๒, ๑๓ ปีขึ้นไปจนถึง ๔๐, ๔๐ ปีกว่า ๆ ทีนี้การที่เอาคนทั่วประเทศจากทุกภาคไปรวมกัน แล้วก็เดินทางร่วมกันไปอย่างนี้ จริงอยู่เป็นพระเป็นเจ้าก็จริง แต่ว่านิสัยมนุษย์มันก็ธรรมดา มีการหยอกล้อกันไป หยอกล้อกันมา ก็เกิดขัดใจกัน
ผมเป็นคนภาคกลาง เมื่อพูดถึงชาวใต้ทีไร ขอประทานโทษนะ เขาใช้คำว่าพวก ทำพรือ ชาวภาคกลางหรือชาวอิสานก็เรียกพระเณรที่มาจากภาคใต้ว่าพวก ทำพรือ แล้วก็เวลาพวกอิสานพูดอะไรพวกชาวใต้ก็ล้อบ้าง อะไรบ้าง ทั้งนี้เพราะไม่ใช่เอาผ้าเหลืองครองร่างกายแล้วจิตใจจะเป็นพระอรหันต์กันไปหมดก็หาไม่ เรื่องกระทบกระทั่ง อย่างนี้มีมากตลอดทางทีเดียว
เดี๋ยวนี้ผมมีอายุ ๗๘ ปี เมื่อตอนผมเป็นเด็กผมจำได้ว่า จะหาคนปักษ์ใต้ไปอยู่ทางเชียงใหม่ หรือจะหาคนเชียงใหม่ไปอยู่ทางใต้ไม่ค่อยมีหรอก บ้านใครใครอยู่ อู่ใครใครนอน เพราะการคมนาคมลำบาก เดี๋ยวนี้ชาวเหนือไปอยู่ใต้ ชาวใต้ไปอยู่เหนือ อิสานมาอยู่ทางใต้ มาทำสวนยงสวนยางเยอะแยะไปหมด ปัจจุบันหนุ่มสาวทางใต้หรือหนุ่มสาวทางอิสานหรือหนุ่มสาวทางเหนือก็ตาม พูดภาษากลาง คือภาษากรุงเทพฯ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าภาษากรุงเทพฯ จะดีกว่า ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นความจริงที่ปัจจุบันประชาชนชาวไทยโดยมากจะพูดภาษากลางได้ คือภาษากรุงเทพฯ
เรื่องกระทบกระทั่ง หยอกกันไป เย้ากันมา อะไรต่ออะไร ก็เลยเป็นสาเหตุทำให้แตกร้าวกันในระหว่างคณะพระโลกนาถ จนกระทั่งเกิดตีกันระหว่างเณรด้วยกัน เณรที่ไปนั้นส่วนใหญ่ก็อยากจะไปเรียน อยากจะไปหาความรู้
พอไปถึงพม่า พม่านั้นเป็นเมืองพุทธนะครับ พี่น้องที่เคยไปพม่าแล้วคงจะเห็นด้วยกับผม ศรัทธาในศาสนาเขาแก่กล้ามาก คำว่าศรัทธานี่ ผมวัดจากวัตถุหรือเครื่องไทยธรรมที่เขานำมาถวาย ซึ่งมีมากมายเหลือเกิน และก็เครื่องไทยธรรมเหล่านี้แหละเป็นมูลเหตุให้คณะพระโลกนาถแตกแยกกันในที่สุดที่ลานพระเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ของไทยธรรมทุกชิ้นจะเข้ากองกลาง แล้วพระโลกนาถจะแจกจ่ายไปตามพระเณร ทีนี้ไอ้การแจกจ่ายนี่ รู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นธรรม เดี๋ยวนี้ผมก็รู้สึกอย่างนั้น พระโลกนาถนั้น ท่านเป็นคนต่างประเทศ พูดไทยไม่ได้ ภาษาไทยก็ฟังไม่รู้เรื่อง ท่านก็เชื่อเณรองค์หนึ่งซึ่งพูดภาษาฝรั่งเศสได้นิดหน่อย พระโลกนาถพูดฝรั่งเศสได้ พระโลกนาถเชื่อเณรองค์นี้มาก จะแจกจ่ายของตามที่เณรองค์นั้นแนะนำ เลยเกิดความไม่เป็นธรรม ก็เลยเป็นเรื่องร้าวฉาน แตกกันใหญ่ระหว่างจำพรรษาที่เจดีย์ชเวดากองนั่นเอง
ปรากฏว่าพระเณรส่วนใหญ่ที่ไปบอกว่าไม่ไปแล้วกับพระโลกนาถ เรียกชื่อพระโลกนาถว่า โลกาวินาศ ไม่ใช่โลกนาถ เหล่านี้มันเป็นเรื่อง กิเลสของคนไม่ใช่เรื่องของพระของเณร
สมเด็จพระปกเกล้าฯ (รัชกาลที่ ๗) ก่อนจะเสด็จไปอังกฤษ ไปรักษาพระเนตร ท่านได้ถวายเงินค่าทำหนังสือเดินทางไว้ให้พระเณรที่จะไปกับพระโลกนาถ ๑๐๐ รูป ท่านคงจะทรงเห็นเหตุการณ์ไกลว่าพระเณรคงไปไม่ถึงอินเดียหรือยังไงก็คงต้องกลับ ก็ถวายเงินเอาไว้ก้อนหนึ่งอยู่กับกระทรวงการต่างประเทศ พวกพระเณรที่ไม่อยากไปอินเดียกับพระโลกนาถก็ได้เงินก้อนนี้ ดูเหมือนสมัยนั้นองค์หนึ่งได้ ๘๐ บาทเท่านั้น ใช้เดินทางกลับประเทศไทย ส่วนใหญ่กลับกันหมด
เฉพาะผมนั้น ผมได้เรียนให้ทราบแล้ว มัน หัวเดียวกระเทียมลีบ พ่อแม่ก็ไม่มี คิดแล้วว่าอยู่เมืองไทยคงเหลว คว้าน้ำเหลว แน่ ใครเขาจะมาดีกับเรา จึงตัดสินใจไปเรียนอินเดียกับพระโลกนาถ แม้พระเณรผู้ใหญ่เขาจะแตกกันตีกันยังไง ผมไม่เอา ผมบอกว่าผมต้องไปอินเดียให้ได้ อยากจะไปเรียนที่อินเดีย แล้วก็มีพระเณรหนุ่ม ๆ ประมาณ ๑๐ กว่ารูปดูเหมือนจะเป็นพระ ๕-๖ รูป นอกนั้นเป็นเณร อาสาอยู่กับพระโลกนาถ พระโลกนาถก็พาพวกเราที่เหลืออยู่ ๑๐ กว่าคน พอออกพรรษาแล้วนะ เราจำพรรษาที่พม่าปีนั้น เดินทางโดยเรือเดินทะเล ไปขึ้นที่เมืองกัลกัตตา จากพม่าไปอินเดียต้องไปเรือเดินทะเล บุกป่าไปไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นป่าทึบอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ยังอันตรายอยู่ เมื่อญี่ปุ่นบุกเข้าไปในอินเดียจากพม่าระหว่างสงครามญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นล้มตายกันแยะ เล่าโดยย่อก็คือพวกผม ๑๐ กว่าคนก็ไปถึงอินเดีย
คณะพระเณรไทยประมาณ ๑๐ รูปมีผมคนหนึ่ง อายุน้อยที่สุดก็ถึงกัลกัตตา พอถึงกัลกัตตา โอ สภาพความเป็นอยู่สาหัสสากรรจ์มาก อินเดียไม่ใช่เมืองพุทธ อินเดียนับถือพระเณรในศาสนาพุทธก็จริงอยู่ แต่การเคารพนับถือของเขา ไม่เหมือนกับในเมืองพุทธเช่นไทยและพม่า สรุปว่าลำบากมาก การขบฉันลำบากมาก คณะผมนี่เมื่อได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน ๔ แห่งที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ แสดงพระธรรมจักร และก็นิพพาน ๔ แห่งนี่เรียกว่าสังเวชนียสถาน เราไปกันอย่างทุลักทุเลลำบากแสนสาหัส
ผมลืมเล่าไปว่า พอพวกเราถึงอินเดียแล้ว พระโลกนาถท่านไปลังกา ท่านจะไปนำพระมาอีกคณะหนึ่ง เหมือนพระจากเมืองไทย ท่านก็ไปลังกา ปล่อยเราอยู่อินเดียในความดูแลของพระพม่าองค์หนึ่ง คือ ดร.Jina Aung Thala ผมเรียนให้ทราบแล้วว่าก่อนที่จะนำคณะพระไทยไปอินเดีย พระโลกนาถได้นำคณะพระพม่าไปอยู่ที่อินเดียแล้ว พระไทยนี่เป็นชาติที่ ๒ พระศรีลังกาจะเป็นชาติที่ ๓ ท่านก็ไปศรีลังกา ทิ้งพวกเราไว้ ก็ไม่ทิ้งหรอก ให้เราอยู่กับพระพม่าเป็นผู้นำ เราต้องแยกทางกันเดิน กลุ่มหนึ่ง ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง แต่ไม่เกิน ๓ เราก็แยกทางกัน ที่เขาเรียกว่าเขาหิมาลัยหรือป่าหิมพานต์ ผมได้ไปเห็นมาด้วยตนเองจริง ๆ มีอากาศหนาวมาก เป็นที่อยู่ของฤๅษี มุนี ในนิทานชาดก
บรรดาพระเณร ๑๐ กว่ารูปนี้ต่างแยกกันเดินทาง แต่ว่าเรามีเป้าหมายอย่างหนึ่ง คือจะขอไปนมัสการสังเวชนียสถานให้ได้ ก็ไปกันจนสำเร็จ ไปนมัสการเสร็จแล้ว เพื่อนพระเณรไทยก็กลับเมืองไทยกัน นี่ผมเล่าย่อ ๆ ส่วนผมได้สมาคมพุทธที่เมืองสารนาถเป็นที่พักพิง คืออาศัยอยู่กับเขา สำหรับคุณเมตตาก็ดีหรือใครก็ดีที่ติดตามข่าวของศาสนาพุทธในต่างประเทศ คงจะจำได้ว่า ชาวพุทธชื่อ อนาคาริก ธรรมปาละ ได้ไปสร้างสมาคมมหาโพธิที่อินเดีย แล้วก็เอาพระเณรลังกาไปเป็นธรรมทูต ไปฝึกอบรม ผมอยู่ที่นั่น เขาก็เมตตาให้ผมอยู่ เขาเห็นผมเป็นสามเณรน้อย พ่อแม่ไม่มี ก็ได้เรียนที่นั่น นั่นคือตั้งแต่ ปี ๒๔๗๖ เพื่อนที่ไปด้วยกัน ๑๐ กว่ารูปกลับเมืองไทยหมด เหลือผมคนเดียว
ที่องค์อื่นอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ผมเก่งกาจนะ เป็นเพราะท่านเหล่านั้นหาที่อยู่ไม่ได้
ผมก็อยู่ที่สมาคมมหาโพธิ ได้เรียนหนังสือที่นั่น วิชาที่ผมเรียนคือ ภาษาพื้นเมือง เรียกว่าภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษกับภาษาสันสกฤต ทางไชยา ทางพุมเรียงนี่ ท่านพุทธทาสก็ดำเนินงานของท่านต่อไป
|