๑๐๐ ปี พุทธทาส ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๔๙-๒๕๔๙
อรศรี งามวิทยาพงศ์
เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย (คพส.)
http://www.budnet.info
b_netmail@yahoo.com

พุทธทาสกับอำนาจในสังคมสมัยใหม่

"อำนาจเงิน"

 

มี
 

เรื่องเล่าอยู่ในหนังสือ “เกร็ดธรรมะจากเกร็ดชีวิตของพุทธทาสภิกขุ” ว่ามีภริยาของผู้มีอำนาจวาสนาในสมัยที่ท่านอาจารย์พุทธทาสยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง ไปสวนโมกข์พร้อมผู้ติดตาม และเข้าไปกราบท่านอาจารย์พร้อมกับถามว่า จำเธอได้หรือไม่ ท่านอาจารย์ตอบตามตรง แบบสั้น ๆ เรียบ ๆ แล้วก็นิ่งเฉยตามปกติของท่านว่า “จำไม่ได้” ผลคือสตรีผู้นั้นโกรธ ลุกกลับออกมา พร้อมพูดกับผู้ติดตามว่า เธอได้ถวายเงินทำบุญบำรุงวัดไปเป็นจำนวนมากเมื่อคราวพบกันครั้งแรก (ควรจะจำเธอได้นี่นา) แถมทิ้งท้ายเสียงดังพอที่คนอยู่ละแวกหน้ากุฏิจะได้ยินว่า ในเมื่อจำไม่ได้ คราวนี้จะไม่ถวายแล้ว โดยนัยคือ การจำความสำคัญของเธอไม่ได้ ทำให้ท่านอาจารย์อดได้เงินทำบุญจากเธอผู้นั้น

แม้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะชวนให้ “ขำกลิ้ง” ในวิธีคิดของสตรีผู้นั้น แก่ผู้ฟังที่รู้จักธรรมะและวัตรปฏิบัติของท่านอาจารย์พุทธทาส แต่เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เราเห็นว่า คนในสังคมปัจจุบัน มักคิดและเชื่อมั่นว่า “เงิน” เป็นอำนาจซึ่งทำให้คนทั่วไปต้องสยบยอม เอาใจอย่างปราศจากข้อแม้ ไม่เข้าใจว่า แท้ที่จริงนั้น เงินมีอำนาจอยู่บนฐานความคิดความเชื่อบางอย่าง ดังนั้น ผู้ที่ปฏิเสธหรือมิได้สมาทานความเชื่อดังกล่าว เงินจึงมีความหมายน้อยและมีอย่างจำกัดขอบเขตด้วย ในกรณีของท่านอาจารย์พุทธทาสที่เล่ามานั้น อำนาจเงินมีความหมายน้อยอย่างยิ่ง เพราะความสุขของท่าน ไม่ต้องใช้เงินซื้อและมีความหมายอันกว้างขวาง หลายมิติ มิได้ผูกติดอยู่กับเงื่อนไขทางวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว คือ เมื่อมีปัจจัยสี่เพียงพอแก่การยังชีวิต มิให้ลำบากขาดแคลนแล้ว ท่านก็แสวงหา สร้าง และมีความสุขอันละเอียดประณีตจากการพัฒนาจิตวิญญาณ ด้วยการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ศึกษาเรียนรู้กฎแห่งธรรมชาติ เพื่อจะมีความสุขอย่างอิสระ โดยอาศัยปัจจัยภายนอกไม่ว่าเงินหรือวัตถุอื่นให้น้อยที่สุด ตามคติของชาวพุทธ แล้วปันส่วนที่เกินให้แก่ผู้อื่น อีกทั้งกิจการภายในวัดเอง ก็มิได้ตั้งอยู่บนฐานคิดของการใช้เงินเป็นหลัก หากขยายตัวไปตามปัจจัยที่มีอยู่ จึงไม่มีการเรี่ยไร ตั้งกล่องบริจาค ฯลฯ การไม่ให้ความสำคัญกับหาเงินหรือเติบโตบนเงื่อนไขพึ่งพาเงินใครนี้ ทำให้ไม่มีผู้ใดมีอำนาจพิเศษ ไม่ว่าเศรษฐี ตาสีตาสา นักศึกษา พระลูกชาวบ้าน ฯลฯ มาพบท่านอาจารย์ได้ตลอดเวลาหน้ากุฏิ

อำนาจเงินนั้น ทำงานและมีพลังบนฐานความเชื่อเกี่ยวกับ “ความสุข” ของบุคคล คือมีอิทธิพลต่อผู้ที่เชื่อว่า เงินเป็น “คำตอบสุดท้าย” หรือเป็นคำตอบเดียวของ “ความสุข” หมายความว่าต้องมีเงินจึงมีความสุข ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีความสุข เมื่อ “ความสุข” ถูกสรุปด้านเดียวแบบหยาบ ๆ จากคนในสังคมสมัยใหม่โดยไม่ต้องถามไม่ต้องคิดดังนี้ เงินจึงมีอำนาจมหาศาลเหนือผู้คนทุกวงการในปัจจุบัน เพราะมนุษย์ล้วนปรารถนา “ความสุข” และแสวงหาความสุขตามความเชื่อนั้น และดูว่าจะมีพลังมากกว่าอำนาจอาวุธ–เผด็จการทหาร ซึ่งใช้ความกลัวเป็นตัวบังคับข่มขู่ให้คนทำตามด้วย การต่อต้านอำนาจอย่างหลังนี้เกิดขึ้นได้ง่าย แต่อำนาจเงินใช้ “ความสุข”เป็นตัวล่อ ตัวหลอก การสยบยอมต่ออำนาจเงินและอำนาจอื่นที่พ่วงตามมากับเงิน จึงมักเป็นไปด้วยความสมัครใจ เต็มใจ อำนาจเงินจึงสามารถกวาดซื้อทุกอย่างที่ขวางทางได้โดยไม่ยากในทุกวงการ แม้ในวงการที่มีหลักการยุติธรรม ความดีงามเป็นหัวใจ ไม่ว่าตุลาการ ตำรวจ แพทย์ ครู ผู้บวช รวมไปถึงการซื้ออุดมการณ์ใส่ลิ้นชัก

อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจของเงินในสังคมสมัยใหม่ ก็มิได้ครอบครองเหนือบุคคลและกลุ่มคนทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จนไร้ความหวัง ที่จะไปพ้นจากสังคมที่อำนาจเงินเป็นใหญ่ หากเข้าใจว่าสังคมที่ว่านี้ เกิดและเติบโตได้มากภายใต้อุดมการณ์เศรษฐกิจแบบ “จำเริญเติบโต” (growth) คือมุ่งการเพิ่มและขยายรายได้ (เงิน) ไม่ว่าในระดับปัจเจกบุคคลหรือของรัฐ การพัฒนาของรัฐที่ผ่านมากว่า ๔๐ ปี ได้สร้างมายาคติทำให้การมีชีวิตรอด ไม่ว่าในเมืองหรือชนบทมีอยู่ทางเดียว คือปัจเจกบุคคลจะต้องหาเงินให้มาก ๆ แล้วเอาเงินไปบันดาล “สุข” อันหมายถึง ความสุขทางวัตถุ ด้วยสูตร “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” (ซึ่งเวลาต่อมาเปลี่ยนไปเป็นว่า งานไม่ต้องทำก็มีเงินได้ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ได้เงิน) ความสุขในรูปแบบอื่น ๆ ที่เคยมีอยู่ในสังคมไทย เช่น ความสุขจากการมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้กัน ความอบอุ่นในครอบครัว–ชุมชน การสร้างสรรค์งานศิลปะ ฯลฯ ได้ถูกทำลายราบด้วยสูตร “ความสุข” ของรัฐ ซึ่งเป็นนายหน้าให้แก่ทุนนิยมโลกและวัฒนธรรมบริโภคนิยม–วัตถุนิยม สร้างตลาดซื้อขาย “ความสุข” ที่ต้องใช้เงินซื้อทั้งสิ้น คนเป็นอันมากเชื่อและวิ่งล่าหาความรวยเพื่อมาสร้างความสุขตามสูตรของรัฐ จนกระทั่งสูญสิ้นไร่นา ป่าเขาถูกทำลาย ครอบครัวแตกแยกเพราะพ่อแม่เอาแต่หาเงิน อบายมุข ยาเสพติด คอร์รัปชั่น ฯลฯ ล้วนขยายตัวบนพื้นฐานความแร้นแค้นและความโลภอยากรวย

ความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม และความทุกข์ในชีวิตปัจจุบัน จึงผูกโยงอยู่กับโลกทัศน์และค่านิยมเกี่ยวกับชีวิตและความสุขของบุคคลในสังคมด้วย การจะลดทอนอำนาจเงินและอำนาจรัฐในสังคมไทย ทางหนึ่งคือการส่งเสริมและเปิดทางให้ชุมชนได้นิยามและสร้าง “ความสุข–ความเจริญ” ตามแบบของตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนรัฐ เพราะตราบใดที่ยังต้องวิ่งไล่ตามสูตรการพัฒนาของรัฐ (การตลาด) ก็จะยิ่งจนและอำนาจเงินก็จะยิ่งแผ่อิทธิพลมากยิ่งขึ้นบนความยากจนนั้น ในส่วนของปัจเจกบุคคล การต่อสู้กับอำนาจเงิน แท้จริงก็คือ การต่อสู้กับความโลภภายในใจของเราเอง ซึ่งจุดติดง่ายท่ามกลางแรงโฆษณา “ความสุข” ที่ชี้นำแต่ความสุขแบบหยาบ ๆ จะสู้ชนะหรือแพ้ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตนเองที่จะใช้เงินบันดาลสุขแต่เพียงพอดี ที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักการสร้างและมีความสุขในมิติอื่นด้วย การดูวิถีชีวิตและความสุขของกัลยาณมิตรเช่น ท่านอาจารย์พุทธทาส ก็เป็นทางหนึ่งของการสร้างกำลังใจ และความรู้เท่าทันในการต่อสู้กับอำนาจเงิน

แน่นอนว่า ผู้มีชีวิตครองเรือน คงทำเหมือนบรรพชิตมิได้ทั้งหมด แต่คฤหัสถ์ก็สามารถมีความสุขจากวิถีชีวิตที่ “ไม่รวย” ได้เช่นกัน ดูดังชีวิตของ อ.ป๋วยและอีกหลาย ๆ ท่านเป็นตัวอย่าง หรือให้ใกล้เข้ามาอีก ก็ดูความสุขของเด็ก ๆ เมื่อเขาจับกลุ่มเล่นกัน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากโดยไม่ต้องใช้เงินสักบาท.

 

 

 

 

งยังจำกันได้ว่า แพทย์นี่เองที่ทำให้ท่านนายกฯ ซึ่งเคยถูกคนบ่นกันทั้งเมืองว่าไม่ยอมฟังใคร ไม่ว่าจะเป็นนัก… ฯลฯ ท่านเถียงหมด แต่พอแพทย์ซึ่งรักษาอาการหูอักเสบสั่งให้ท่านหยุดพูดเพื่อจะหยุดการฟัง ท่านนายกฯ ก็เชื่อโดยทันที ไม่มีโต้แย้งว่ารู้ไม่จริง รู้แต่ทฤษฎี แล้วก็แพทย์อีกนั่นแหละที่ข่าวบอกว่า "อนุญาต" ให้ท่านผู้นำของเราเดินทางไปจีนได้ ท่านจึงได้ไป

          อำนาจของแพทย์มาจากการที่คนทั้งหลายเชื่อว่า เป็น "ผู้รู้" ในสิ่งที่ผู้อื่นส่วนใหญ่ไม่รู้ และความรู้นั้นสามารถดลบันดาลให้มนุษย์พ้นทุกข์จากโรคภัยอันทรมานทั้งกายและใจได้ เป็นอาชีพเดียวที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ตั้งแต่ก่อนเกิดต่อเนื่องไปจนถึงหลังตาย ในสังคมสมัยใหม่ แพทย์ยิ่งขยายอำนาจออกไปอีก จากบทบาทของการเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ มาสู่การมีอำนาจจากการเป็นผู้กำกับการเกิด การเอาชนะความตาย และเป็น "ผู้จัดการใหญ่" ให้ร่างกายมนุษย์มีรูปลักษณ์และคุณสมบัติตามที่เจ้าของต้องการ เช่น ไม่อ้วน ไม่แก่ ผิวขาว จมูกโด่ง เตะปี๊บดัง ฉลาด จำเก่ง อารมณ์ดี ฯลฯ บทบาทและอำนาจของแพทย์ จึงเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของคนในสังคมสมัยใหม่ทุกชั้น มากยิ่งกว่าอำนาจใด ๆ โดยถูกตั้งคำถาม ตรวจสอบ สงสัยน้อยที่สุดด้วย เพราะคนส่วนมากเชื่อกันว่า แพทย์คือผู้รู้ดีที่สุดในเรื่องจัดการกับชีวิตให้ปกติสุขและเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ (ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งที่…)

          ความเชื่อของคนส่วนมากนี้ ตรงกันข้ามกับโลกทัศน์ ความเชื่อของท่านอาจารย์พุทธทาส ดังนั้น ท่านจึงเป็นคนไข้ที่ไม่มอบความวางใจให้ความรู้ของแพทย์อย่างเบ็ดเสร็จเท่าไรนัก พระอุปัฏฐากที่ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเล่าไว้ในหนังสือว่า เมื่อนำยาที่แพทย์จัดไว้ไปถวายให้ฉัน ท่านมักจะต้องถามก่อนว่า เป็นยาอะไร กินเพื่ออะไร หรือเมื่อแพทย์สั่งว่า ห้ามฉันอาหารบางประเภท เพราะจะทำให้อาการโรคเก๊าท์กำเริบ ท่านก็จะต้องทดลองก่อนว่าจริงหรือไม่ เมื่อพบว่าจริงก็จะทำตาม และเคยปรารภด้วยว่า แพทย์มักจะพูดขัดกันเอง จนไม่รู้จะเชื่อใคร แสดงว่า ท่านวิเคราะห์ตรวจสอบความรู้ของแพทย์อยู่ตลอดเวลา จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด ท่านจึงมักจะเลิกฉันยาที่แพทย์แผนปัจจุบันจัดถวายอยู่บ่อย ๆ ในโรคที่ท่านรู้จักหรือมีประสบการณ์ในการรักษามาก่อน เช่น ฉันผักบุ้งรักษาเบาหวานแทนยาที่แพทย์จัดให้ ใช้สมาธิห้ามการไหลของเลือด ฯลฯ โดยยังไม่ต้องกล่าวไปถึงอาหารเสริมสุขภาพสมัยใหม่อีกจำนวนมากที่มีผู้หวังดีนำมาถวาย แต่ท่านไม่เคยฉันเลย เพราะท่านเชื่อว่า สุขภาพที่ดีอยู่ในการดำเนินชีวิตของบุคคลผู้นั้นเป็นสำคัญ

          อย่างไรก็ตาม ท่านมิใช่ผู้ต่อต้านหรือแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับการแพทย์สมัยใหม่ หากจำกัดขอบเขตอำนาจของแพทย์ด้วยท่าทีนิ่มนวล (อ่าน "ท่านอาจารย์พุทธทาส คนไข้ที่ผมได้รู้จัก : บันทึกจากแพทย์ผู้ถวายการรักษา" / น.พ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล) มิให้เกินเลยไปจากโลกทัศน์ ความเชื่อพื้นฐานของท่านอาจารย์ ท่านจึงเป็นผู้เลือกและตัดสินใจว่า จะให้แพทย์มีอำนาจในการรักษามากน้อยเพียงใด ซึ่งท่านสามารถทำเช่นนี้ได้ มิใช่เพราะท่านอาจารย์มีความรู้ในการรักษาแบบพื้นบ้านเป็นอีกทางเลือกเท่านั้น หากที่ลึกและสำคัญไปกว่านั้น คือ รากฐานความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ว่า ชีวิตของมนุษย์นั้นปกติสุขได้จากการ "ปฏิบัติธรรม" ของบุคคลผู้นั้น มิได้เกิดจากแพทย์หรือบุคคลอื่นใด โดยคำว่า "ปฏิบัติธรรม" ในที่นี้ หมายถึงการทำหน้าที่หรือมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องไปกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ (ธรรม) ได้แก่ กินอยู่พอเพียงอย่างเหมาะสมกับวัย ระบบนิเวศ (ฤดูกาล ผลผลิต ฯลฯ) ทำงาน ออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์อันดีกับสรรพชีวิตอื่นและธรรมชาติ ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่า โรคสมัยใหม่ที่คร่าชีวิตหรือทำลายสุขภาพของคนเป็นอันมากในปัจจุบัน เกิดจากการละเลยต่อการปฏิบัติธรรมโดยนัยนี้ ไม่ว่าโรคมะเร็ง หัวใจ ไต เบาหวาน ตับแข็ง อุบัติเหตุ ฯลฯ คือกินอยู่ไม่เหมาะสม ไม่พอเพียง (จนไปก็เกิดโรค รวยไปก็เกิดโรค) เครียด ทุกข์ใจในชีวิต ประมาทและโรคจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ฯลฯ

          ในโลกทัศน์ของชาวพุทธ สุขภาพที่ดีของมนุษย์ จึงมิได้เกิดจากการดลบันดาลของแพทย์เป็นหลักใหญ่ หากเกิดจากการกระทำ (กรรม) ทั้งทางกาย วาจา ใจและการเรียนรู้ของบุคคลผู้นั้นต่อการกระทำของตนเองและผู้อื่น (สังคม ระบบนิเวศ) รวมทั้งอยู่ภายใต้วัฏฏะแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามกาลเวลาอันควร ความชราและความตายจึงมิใช่สิ่งน่ากลัว ที่จะต้องไปต่อสู้หรือวิ่งหนีเพราะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ด้วยความเชื่อนี้ แพทย์จึงมีอำนาจอันจำกัดขอบเขต และถูกกำกับบทบาทด้วย "ธรรม" เป็นเพียงผู้มาช่วยในภาวะที่กระบวนการตามธรรมชาติทำการเยียวยาไม่ได้-ไม่ทันการ หรือสร้างความทรมานมากและมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่เสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น (หูอักเสบของนายกฯ ก็อยู่ในกรณีนี้) แพทย์จึงมีความสำคัญอย่างแน่นอน แต่มิใช่ผู้มีอำนาจสร้างหรือชี้ขาดสุขภาพที่ดีของบุคคลโดยลำพัง หรือเป็นผู้มีอำนาจนำมนุษย์ออกจากความกลัวแก่-กลัวตาย กลัวไม่สวย ฯลฯ ได้อย่างแท้จริงและโดยสงบ

          ช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านอาจารย์พุทธทาส คือการแสดงโลกทัศน์ดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ในวัย ๘๗ พรรษาท่านปฏิเสธที่จะ "หอบสังขารหนีความตาย" ด้วยการแพทย์สมัยใหม่ และปฎิเสธวิธีการรักษาสุขภาพ หรือต่อชีวิตด้วยวิธีการอันใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ท่านเคยปรารภกับพระผู้ใกล้ชิดว่า ไม่ควรนำทรัพยากรจำนวนมากมายมารักษาท่านซึ่งอายุมากแล้วเพียงคนเดียว เพราะมีผู้ต้องการและจำเป็นใช้และควรได้ใช้มากกว่าท่านอยู่อีกมาก

          วิธีคิดทางสุขภาพแบบพุทธ จึงเชื่อมโยงไปถึงวิธีการจัดการสุขภาพ และระดับการใช้ทรัพยากร อย่างคำนึงถึงความสัมพันธ์กับสรรพชีวิตและปัจจัยอื่น ๆ ในโลกใบนี้ด้วยเสมอ ทำให้การแพทย์นำมาซึ่ง "สาธารณสุข" หรือความสุขของคนหมู่มากได้จริง เพราะทุกคน ทุกส่วน ทุกสิ่งในชีวิต สังคม ธรรมชาติเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด มิใช่ "สาธารณทุกข์" เพราะมี "ผู้รู้" และใช้อำนาจจากความรู้นั้นตัดสินใจ กำกับและจัดการอยู่โดยลำพัง เพราะ "อำนาจ" บนโลกทัศน์ที่ผิดพลาด ย่อมนำมาซึ่งการเอารัดเอาเปรียบเสมอ ทั้งในระดับชีวิต สังคม และระบบนิเวศ.