เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    10 อันดับของสังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด
    ายการ "จุดเปลี่ยน" เมื่อวันเสาร์ที่ 14 และ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา (ช่อง 9 เวลา 13.00 น.)

    ออกอากาศเรื่อง "10 อันดับของสังฆทาน ที่ทำแล้วพระท่านจะได้ประโยชน์มากที่สุด"
    อันเนื่องมาจากมีการสำรวจของในถังสังฆทานสำเร็จรูป (ถังเหลือง) ที่เห็นวางขายกันอยู่ทั่วไป
    พบว่า กว่า 50 % เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานจริงไม่ได้ เช่น ผ้าจีวรสั้นและบางจนแทบ
    จะเป็นผ้าซีทรู

    ใบชาเหม็นผงซักฟอกที่วางมาข้างๆ (กลายเป็นใบชารสโอโม่) กระดาษชำระหยาบและมีกลิ่นเหม็น
    แปรงสีฟันแข็งจนพระค่อนประเทศเป็นโรคเหงือกอักเสบ, สบู่ แชมพู ที่ถวายมีกลิ่นหอมแรง
    และผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้พระผิดศีลต้องปลงอาบัติกันทุกวัน
    (มีศีลข้อหนึ่งห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม ไม่แน่ใจว่าศีลข้อที่ 6,7 หรือ 8 นี่แหละค่ะ)
    เครื่องชงดื่มมักหมดอายุ ถ่านไฟฉายหมดอายุ แบตเยิ้ม ฯลฯ หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ คือถัง
    ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้แป๊บเดียวก็ฉีก แตก พัง เป็นต้นค่ะ

    รายการจุดเปลี่ยนจึงได้ไปสอบถามพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง แล้วจัดอันดับสิ่งของสังฆทาน
    ตามความจำเป็นในการใช้งาน รวม 10 อันดับ ซึ่งเรียงจากจำเป็นมากสุดไปน้อยที่สุดได้ ดังนี้

    1. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ
    เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่างๆ ช่วยจำ
    บางรูปท่านเป็นเหรัญญิกดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้
    พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอนค่ะ
    อันดับ 1 จึงตกเป็นของ "เครื่องเขียน" ไปอย่างพลิกความคาดหมาย


    2. ใบมีดโกนตราขนนก (Feather) หรือยี่ห้อยินเลส
    เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน แต่ใบมีดยี่ห้ออื่น พระใช้โกนผมแล้วเลือดสาด !!!
    ท่านจึงใช้ได้แค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น อนึ่ง ใบมีดตราขนนกจะคมกว่ายินเลส ใช้ในการโกนครั้งแรก
    ส่วนยินเลสจะใช้เก็บความเรียบร้อยอีกครั้ง หากท่านใดถวายใบมีด ก็ได้ชื่อว่า
    ช่วยไม่ให้พระต้องเสียเลือดเนื้อทุกวันโกน ข้าพเจ้าเห็นว่าได้บุญดีกว่าให้ยาอีกนะท่าน

    3. ผ้าไตรจีวร ที่มีความยาวพอที่จะนุ่งห่มได้ มีความหนาพอเหมาะสม เพราะผ้าที่ติดมากับถังเหลือง มันทั้งสั้น ทั้งเต่อ ทั้งบาง ทำให้พระท่านลำบากใจเวลาสวมใส่
    ขาดความมั่นใจ และเสียภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ ผู้ใดถวายผ้าไตรจีวร จึงได้อานิสงส์มากนัก
    นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เตรียมผ้าอาบน้ำฝนไปถวายพระกันเถอะนะคะ


    4. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสาร หรือที่ให้ความรู้ด้านอื่นๆ
    เนื่องจากพระสงฆ์ มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่แตกฉาน
    ทั้งทางธรรม และรู้ทันข่าวสารบ้านเมือง เพื่อจะได้สาธก ยกตัวอย่างให้ชาวบ้านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
    การถวายหนังสือเหล่านี้ จึงถือเป็นต้นทุนแห่งธรรมทาน ให้พระท่านได้นำไปต่อยอด
    กระจายสู่ผู้คนได้อีกมาก ทั้งยังถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง แถมได้ผลตอบแทนสูง
    น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง

    5. รองเท้า
    (ยกเว้นพระนิกายธรรมยุตต์นะจ๊ะ สังเกตให้ดีล่ะว่าวัดที่เราไป พระท่านใส่รองเท้ากันหรือเปล่า)
    พระท่านต้องเดินบิณฑบาตร, ธุดงค์, ไปเรียนหนังสือ, ไปกิจนิมนต์ตามที่ต่างๆ,
    บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวน สิ่งที่ต้องรับภาระหนักก็คือ "รองเท้า"
    ที่มักจะขาด เสียหาย อยู่บ่อยๆ นั่นเอง รองเท้าจึงถือเป็นอีก item หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างสูง

    6. ยาหลักๆ ที่จำเป็น
    ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร
    ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนอง
    ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง ใช้ ......

    7. ผ้าขนหนูสีสุภาพ ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้
    เพราะผ้าขนหนูที่ติดมากับถังเหลืองมักหยาบ เล็ก และคุณภาพต่ำ จนเอามาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง

    8. ชุดคอมพิวเตอร์
    อู้วววว ไฮโซไปนิดนึง แต่ถ้าใครรวบรวมเงินได้เป็นกอบเป็นกำอย่างกฐิน ผ้าป่า
    ก็น่าพิจารณาถวายคอมพิวเตอร์แด่วัดที่ขาดแคลน ..
    ถ้าเป็นวัดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงจะดีมากๆ ค่ะ(แอบห่วง กลัวเป็นต้นเหตุของข่าวพระนักแชท)

    9. น้ำยาเช็ดพื้น
    เหอ... งงไปเลย พระท่านจะเอาน้ำยาเช็ดพื้นไปทำอะไร ?? เฉลย ก็เอาไปผสมน้ำ
    ถูกุฏิ ศาลา อุโบสถ ไงจ๊ะ เพราะนอกจากจะช่วยผ่อนแรงในการทำความสะอาด สลายคราบแล้ว
    บางยี่ห้อยังช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในมูลนกพิราบ ฉี่หมา ฉี่แมว ฉี่หนู เห็บ หมัด ของหมาวัดได้อีกด้วย
    (เอ...แล้วถ้าพระ "ฆ่า" เชื้อโรคนี่จะผิดศีลข้อปาณาฯ มั้ยคะคุณ ??)

    10. แชมพู
    อ๊ากกกกก !!! พระท่านไม่มีผมแล้วจะเอาแชมพูไปทำไมเนี่ย
    แถมยังฮอตฮิตติดท็อปเท็นของที่มีประโยชน์อีกด้วย
    แซงหน้าไมโล โอวัลติน ชาเขียว ขิงผง สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทิชชู่ ฯลฯ
    ที่เห็นสลอนอยู่ในถังเหลืองซะด้วยซี คืองี้ เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย
    ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตรง
    แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม
    ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น
    สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล
    สังเกตง่ายๆ ที่ฉลากจะมีคำว่า "Scalp" เป็นสำคัญ ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นพวก
    แชมพูขจัดรังแค อย่างคลินิค, แพนทีน, Head & Shoulder, ไนโซรัล เป็นต้น
    แต่น่าเศร้าใจ ที่ไม่มีใครถวายแชมพู พระท่านจึงจำต้องใช้สบู่แก้ขัด
    ซึ่งทำให้ยิ่งคันหัว ศีรษะแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้นจึงขอท่านโปรดจำไว้
    ว่าเราควรซื้อแชมพูไปถวายพระ แต่ก็เลือกสูตรกันนิดนึงนะคะ ให้เป็นสูตรดูแลหนังศีรษะ
    เพราะถ้าเกิดเราเลือกสูตร "เพื่อผมนิ่มสลวยดำเงางาม" ไปถวายท่าน...
    ท่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราแซวได้ค่ะ

    การทำสังฆทาน นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแล้ว
    อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์
    เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธ

    หวังว่าข้อมูลนี้คงจะเป็นประโยชน์ ทั้งกับท่านพุทธศาสนิกชนที่มีจิตกุศลต้องการทำสังฆทาน
    และกับพระภิกษุสามเณร ผู้รับสังฆทาน ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก
    และเป็นผู้ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาของเราต่อไป

    *********************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    คำปรารถของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
    การเดินธรรมยาตราครั้งที่ ๔ มุมไบ-อชันตา ประเทศอินเดีย
    ระหว่างวันที่ ๘ มกราคม-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
    ...ดำริโดย...หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ


    คำปรารถของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
    “เราจะเดินธรรมยาตราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะเราเดินจนครบแล้วทุกที่”

    ลำดับเหตุการณ์...เดินธรรมยาตราครั้งสุดท้าย

    ๗ มกราคม ๒๕๕๕
    หลวง พ่อออกเดินทางจากเยอรมัน ภายหลังฟื้นจากอาการอาพาธหนักด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ ที่วัดสังฆทานไทย-เยอรมัน กรุงเบอร์ลิน ได้ไม่นาน

    ๘ มกราคม ๒๕๕๕
    หลวง พ่อเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลาประมาณ ๐๘.๐๐ น. เช้า เข้าพักผ่อนที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปอินเดียในเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ท่านมีอาการอ่อนเพลีย ใบหน้าซีด เดินช้าลง แต่ยังยิ้มรับและทักทายญาติโยมจำนวนมากมายที่มาส่งท่านยังสนามบิน

    ๙ มกราคม ๒๕๕๕
    เวลา ๐๒.๐๐ น. ถึงสนามบินที่มุมไบ หลวงพ่อดูอ่อนเพลียมากขึ้น ท่านเล่าว่า “พอเครื่องบินขึ้น มันดึงท่านวูบไปเลย จนเครื่องแตะพื้นจึงรู้สึกตัว”

    ท่าน ยังหน้าซีดและดูอ่อนเพลียมาก แต่ยังเมตตาเดินตรวจเยี่ยมญาติโยมด้วยความเป็นห่วงว่า สัมภาระที่นำมาครบหรือไม่ ระหว่างที่รอสัมภาระ ท่านขอนั่งบนรถเข็นของที่อยู่ข้างโคนเสาในสนามบิน ขอน้ำดื่ม ก้มหน้า และสูดยาดมตลอดเวลา รอจนทุกคนพร้อม ท่านจึงออกเดิน แต่รถจอดห่างตัวอาคารมากท่านบอกว่า

    “โอ้โห ! วิบากเราหนักนะ”

    ถึง ที่รถจอด ท่านเดินดูว่าคณะขนของเรียบร้อยหรือยัง เมื่อเดินไม่ไหว ขอนั่งอยู่ที่บนรถเข็นของ ดมยาตลอดเวลา พระนิมนต์ท่านให้ขึ้นไปนั่งรอในรถที่จัดมาให้หลวงพ่อเป็นพิเศษถึงสองครั้ง ท่านจึงยอมไปแล้วหันมาบอกว่า “ช่วยกันดูแลให้เรียบร้อยนะ”

    คณะถึงที่พักที่เจดีย์นาราสถูปา มุมไบ ในเวลา ๐๔.๐๐ น. หลวงพ่อจึงเข้าพักในเต็นท์

    ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕
    เช้า...ท่าน ฉันข้าวต้ม ปลาเค็ม และงาคั่วตำที่เค็มจนขม บ่าย...หลวงพ่อมีภาวะหายใจลำบากจากน้ำท่วมปอด ด้วยท่านเป็นโรคหัวใจและโรคไตอยู่เดิมแล้ว ท่านกล่าวกับพระอุปัฏฐากที่อยู่ในเต็นท์ว่า

    “ผมเริ่มหนักแล้ว กระวนกระวายที่่ท้อง อึดอัด ผมหายใจไม่ค่อยออก”

    หลวง พ่อปลดอังสะออก ขยับเปลี่ยนท่าเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น ทั้งก้ม ทั้งบิดตัว เงยหน้าไปมา พระอุปัฏฐากพยายามเช็ดตัวและโบกพัดให้คลายร้อน แล้วเรียนถามท่านว่า “จะให้ช่วยทำอะไร” หลวงพ่อตอบว่า “ขอผมทำสมาธิพักนึง อย่าให้ใครมายุ่ง”

    แล้วหลวงพ่อก็นอนตะแคงข้างซ้าย งอตัวเอามือหนุนศรีษะ พระอุปัฏฐากออกไปจากเต็นท์ประมาณ ๔๕ นาที จึงกลับมาเรียก “หลวงพ่อครับๆ” ๒ ครั้ง เว้นห่างกัน ๑๐ นาที ครั้งที่ ๓ หลวงพ่อจึงร้อง “อือ” แล้วพลิกตัวกลับมา อากาศข้างนอกร้อนมาก หลวงพ่อพลิกตัวบ่อย พระอุปัฎฐากต้องพัดตลอดเวลา

    ตกเย็น...พระเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานเรียนหลวงพ่อว่า “พรุ่งนี้จะออกเดินเพราะชาวพุทธระหว่างทาง เขารู้กำหนดการเดินและเตรียมการต้อนรับ”

    หลวงพ่อตอบว่า “ถ้าให้ผมเดินพรุ่งนี้ก็ไปได้ แต่จะไม่เจอผมอีกเลย”

    แล้ว หลวงพ่อก็ขอเลื่อนการเดินทางอีก ๒ วัน ช่วงค่ำ...หลวงพ่อออกมาหน้าเต็นท์เพื่อต้อนรับญาติโยมชาวอินเดีย ซึ่งพาครอบครัวมากราบสักการะอย่างต่อเนื่อง ถวายข้าวของและเงินรูปี หลวงพ่อก็ยิ้มแล้วให้พร พวกเขามารอทำวัตร นั่งสมาธิพร้อมกับคณะชาวไทย โดยมีหลวงพ่อนั่งเป็นประธานที่หน้าเต็นท์ทั้งที่ท่านอาพาธหนัก คืนนั้น...ท่านมีอาการที่น่าเป็นห่วงมาก คงเนื่องจากภาวะน้ำท่วมปอดจนเกิดอาการหายใจไม่ออก

    ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕
    หลวง พ่อนอนพักทั้งวัน บ่ายๆ จนตกเย็นชาวอินเดียก็หลั่งไหลเข้ามากราบสักการะหลวงพ่ออย่างมากมาย หลวงพ่อก็เมตตาเช่นเดิม แต่หลวงพ่อดูอ่อนแรงมากขึ้น พูดเสียงเบาลง

    ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕
    คณะสงฆ์ได้รับกิจนิมนต์ไปรับสังฆทานที่ Global Vipassana Mumbai จากท่านโคเอก้าและภรรยา แต่หลวงพ่อขอพัก ช่วงบ่ายอากาศร้อน พระอุปัฏฐากพาหลวงพ่อไปนอนพัก ณ ที่ใกล้เจดีย์ใต้ปะรำพิธี อากาศเย็นสบาย หลวงพ่อนอนพักตั้งแต่ ๑๓.๐๐ น. จนถึง ๑๖.๓๐ น. ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วถามว่า “ผมหลับไปนานเท่าไร”

    พระอุปัฏฐากตอบว่า “๓ ชั่วโมงกว่าครับ”

    “โอ้โห ! เราหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ นี่หลายปีมานี้ผมเพิ่งได้นอนถึง ๓ ชั่วโมงครึ่ง” พอได้ฟังแล้วแทบน้ำตาไหล นอน ๓ ชั่วโมงครึ่ง คือ มากสำหรับท่าน วันนั้น...ท่านพักผ่อนได้เต็มที่เพราะปลอดทั้งคนและว่างจากกิจ อาการที่แน่นหายใจไม่ออกเริ่มทุเลาจนหายไป ตกเย็น...หลวงพ่อออกเดิน ท่านมีอาการเดินเซเล็กน้อย ท่านขอไปรับลมและสูดอากาศชายทะเล ท่านพูดเสียงเบามากขึ้นและร่างกายยังคงดูอ่อนเพลีย

    ๑๓ มกราคม ๒๕๕๕
    เช้า...คณะสงฆ์ออกไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวพุทธ หลวงพ่อยังคงพักอยู่ที่เตนท์และบอกกับคณะว่า “ต้องเริ่มออกเดินในวันพรุ่งนี้เพราะเจ้าของที่โบราณสถานเขาไล่”

    ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕
    หลวง พ่อออกบิณฑบาตแต่เช้า เดินนำคณะ ด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบ ชาวบ้านรอใส่บาตรตามทางจนถ่ายบาตรแทบไม่ทัน ระยะทางบิณฑบาตประมาณ ๔ กิโลเมตร เป็นการเตรียมความพร้อมการเดินของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่ออาพาธมาหลายวันแล้ว เมื่อถึงในตัวเมืองจึงฉันอาหารและพักค้างคืน บรรดาชาวบ้านเข้ามารุมล้อมหลวงพ่อ เพื่อถวายของสักการบูชาอย่างมากมาย ตั้งแต่บ่ายจนมืดค่ำ หลวงพ่อดูอ่อนเพลียมาก อากาศก็ร้อนเพราะเป็นลานสนามออกกำลังไม่มีร่ม หลวงพ่ออาพาธครานี้เจียนตาย แต่ท่านทำหน้าที่ผู้นำอย่างอาจหาญ และเมตตาต่อทุกคนอย่างเสมอหน้า ผู้คนที่เข้ามากราบขอพรหลวงพ่อไม่รู้เลยว่า...ขณะที่ท่านยิ้มรับพูดคุยและ ให้พรนั้น ท่านกำลังอาพาธหนัก ตกค่ำ...พวกชาวพุทธพากันมาสวดมนต์นั่งสมาธิโดยมีหลวงพ่อเป็นประธานในการสวด มนต์และแสดงพระธรรมเทศนา โดยมีแม่ชีดานีเป็นผู้แปลให้กับหมู่ญาติชาวอินเดีย

    ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕
    หลวง พ่อและคณะออกเดิน ท่านเหมือนปกติ แต่ก็เดินช้ากว่าการเดินเมื่อ ๓ ครั้งแรก เดินไป...พักไป เมื่อเดินเข้าไปในเมือง เหมือนเกิดจลาจลย่อยๆ ถนนแน่นขนัดด้วยคนต้อนรับที่ใส่ชุดขาว มาโปรยดอกไม้ทั้งสองข้างทาง มีชาวพุทธนับหมื่นคนอยู่บนถนนเห็นเป็นระยะทางไกลนับกิโล พวกเขาเหล่านั้นเดินตามหลวงพ่อ พร้อมกับนำสิ่งของ ข้าวสารและน้ำมาถวายกันอย่างมากมาย หลวงพ่อท่านเมตตาให้เขาเหล่านั้นเข้ากราบจนดึก

    วันต่อมา...ด้วยหลวง พ่อท่านประสงค์ที่จะเดินทางขึ้นเขา แต่การเดินทางครั้งนี้นับว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่านมาก เนื่องจากท่านมีภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และปัญหาทางไต...

    ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕
    หลวงพ่อประสงค์เดินขึ้นไปยังถ้ำบนเขาปลาวาฬเพื่อไปพักค้างคืน แต่ทางขึ้นนเขานั้นชันมาก เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่พระถังซำจั๋งเคยเดินทางมาก่อน คณะเดินทางถึงที่พักบนเขาเมื่อเวลาประมาณบ่าย ๒ โมง ท่านเรียกช่างภาพมา เพื่อให้ถ่ายรูปท่านหน้าเขาปลาวาฬ มีพระคุณเจ้าขอเข้าไปถ่ายรูปด้วย แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า “เดี๋ยวขอถ่ายเดี่ยว เอาให้ชัดๆ นะ ขยายใหญ่ไว้หน้าศพเรา”

    ที่ในถ้ำ...มีโยมแอบเข้าไปกราบท่านในขณะที่ท่านพักผ่อนและกำลังมีอาการอาพาธ ท่านเมตตาให้ธรรมะกับโยมคนนั้นว่า “ให้เข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ ให้เชื่อมั่นในความดี”

    อีกหลายวัน...เมื่อเดินทางถึงถ้ำออโรร่า หลวงพ่อท่านหยุดเดินที่หน้าถ้ำอีกครั้ง ท่านเรียกช่างภาพให้มาถ่ายภาพอีก ๒ ภาพ คือ ภาพที่ท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้และภาพยืน ท่านขอถ่ายภาพเดี่ยวและใช้คำพูดประโยคเดิม คือ “ถ่ายให้ชัดๆ นะ จะขยายใหญ่ไว้หน้าศพ”

    หลวงพ่อให้สติในการเดินธรรมยาตราครั้งสุดท้ายนี้ว่า

    “ฝึกให้มันผ่านเวทนาให้ได้ ตั้งสติให้ดี สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...
    ไม่มีอะไรตั้งอยู่นาน ความทุกข์มันไม่ตั้งอยู่นาน...ความสุขก็ไม่ตั้งอยู่นาน เราอย่าโง่กว่ามัน
    เราอย่ามัวแต่นั่งเพ้อฝัน เอามาคิดเราก็เสียใจ ใจตีใจ ไม่มีใครมาตี ใจตีใจเราเอง
    อย่าไปยึดว่า ผัวกู เมียกู อาจารย์กู สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเป็นของกูเลย กูไปคนเดียว
    แต่ก่อนที่จะไปมันเจ็บเหลือเกินปวดเหลือเกิน เวทนาที่เกิดขึ้น
    เรามีความสามารถที่จะทนมันหรือยัง เราเห็นพ่อแม่เราก่อนตาย
    มันเจ็บมันปวดทรมานแค่ไหน เราต้องอดทนมาฝึกเอง ฝึกให้มันผ่านเวทนาให้ได้”


    หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
    เจ้าอาวาสวัดสังฆทาน บ้านบางไผ่น้อย ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี
    พระนักเผยแผ่ธรรม-พระนักปฏิบัติด้านวิปัสสนากรรมฐานชื่อดัง
    ผู้ก่อตั้งสถานีวิทยุ “สังฆทานธรรม”
    ได้ละสังขารด้วยอาการสงบแล้ว ด้วยโรคไตวายและโรคหัวใจ
    ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมกตปุญโญ (สวนธรรมกิจสุนทร)
    ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
    ซึ่งองค์หลวงพ่อท่านได้ลงไปพำนักจำพรรษาอยู่ในปีนี้
    เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลาประมาณ ๒๑.๓๙ น.
    สิริรวมอายุได้ ๖๘ ปี ๔ เดือน พรรษา ๔๘

    • หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน ละสังขารแล้ว •
    แสดงกระทู้ - หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี ละสังขารแล้ว • ลานธรรมจักร

    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อสนอง ด้วยความเคารพสูงสุดเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  3. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    รับทราบแล้ว ปฏิบัติครับพ๊ม
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    -------------------------------
    ต้องนัดวันประชุมครอบครัวสักทีี่ทีนี่นะคะ

    ;aa19
     
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    บางส่วน..เขตบุญสายหลวงปู่ประเสริฐ เขตซับปลากลั้ง ลำพญากลาง สระบุรี

    หลายจิตวิญญาณ ท่านเริ่มปักเขตบุญ เฉพาะส่วนแล้ว

    ส่วนภัยอันตรายแก่ชนทั้งหลาย... ว่ากันตามวาสนา

    ไม่คัดค้าน....ไม่ต่อต้านกล่าวร้ายใคร ไม่สนแรงเสียสี

    ไม่ต้องมาต้านเรื่องบริจาค หวังแฝงประโยชน์จากใครทั้งสิ้น แล้วอย่าคิดว่าใครจะเข้าเขตบุญเขาได้ง่ายๆ

    เพราะเขาไม่ขอใคร..เลี้ยงตนได้ มีพื้นที่จิตให้ตนเองแล้ว

    ถือว่าจบ..

    คนหยาบ กิเลสมาก ..ผู้มักเบียดเบียน

    ขอที่นี้...อย่าได้ช่องแก่หมู่มารเทอญ

    กินผัก.รักษาศีล บำเพ็ญจิตไปตามเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  6. surapong chot

    surapong chot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,212
    คุณtoplus99...หลวงปู่ประเสริฐ ตอนนี้อายุท่านเท่าไรแล้ว ครับ...อยากไปกราบท่านสักครั้ง บุญก็ยังไม่ถึงเลยครับ...หากเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่กลัวแล้วครับ แต่อยากทำบุญสร้างกุศลให้ได้มากๆก็เท่านั้นครับ... คุณพี่supatorn เขียนข้อความแล้วก็ยอมรับว่า เก่งครับ ผมอ่านไม่ค่อยได้มาเพราะสายตา มีปัญหา อ่านได้นิดๆหน่อยๆ ก็ต้องหยุด ไม่อย่างนั้นปวดหัวครับ...
     
  7. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    กลับมาจากไปร่ำเรียนวิทยายุทธ์ของหมอเขียวมาแล้วค่า พี่น้องครอบครัวtopluss99
    ก็ยังอยู่ในช่วงปรับธาตุขันธ์ปรับจิตปรับใจกับสารพิษในมาบตาพุดอยู่เด๊อค่า
    ห่างหายพิษไปซะนาน ต้องทำความคุ้นเคยใหม่จั๊กหน่อย
    ผู้น้อยอย่างเราเกี่ยวเก็บความรู้ใส่พุงมาเผื่อคนในครอบครัวตามกำลังเน้อ

    รอสักแป๊บบบบบ ขอจูนสิ่งที่แบกมาสักหน่อย จะค่อยๆปล่อยออกจากพุงกลมๆ
    ทำใจร่มๆเด๊อค่า ถ้าร่มไม่พอยังร้อนกายร้อนใจ

    เรามีวิธีปรับให้เย็นลง เอาไปใช้ก่อน1dose

    เอ๊าา ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลยนะ ฮึบบบบ
    หายใจเข้าทางจมูก แล้วกลั้นไว้ แล้วผ่อนออกทางปากอย่างเร็ว ฮ๊าาาาาา


    เย็นบ้างรึยัง ถ้ายัง เอาไปอีก doseเป็นdoseที่2
    หายใจเข้าทางมูก แล้วหายใจออกทางจมูกแรงเหมือนเป่าเทียนหลายๆครั้ง ฟิ๊ด ฟิ๊ด ฟิ๊ด
    ฟิ๊ด ฟิ๊ด ฟิ๊ด ฟิ๊ด ฟิ๊ด ฟิ๊ด
    (เวลาทำดูคนหน้า หลัง ข้างๆให้ดี เด๋วน้ำมูกกระจาย เค้ากระโดดหนีไม่ทัน)

    แล้วหายใจทางจมูก ปล่อยลมหายใจทางปากอย่างเร็ว ฮ๊าา
    เริ่มต้นใหม่จนจบประมาณ3รอบ แล้วหายใจเข้าออกช้าตามปกติของชีวิตที่อยากหายใจ
    ทำความรู้สึกใจว่าโล่ง เบา สบาย ตั้งแต่สมอง ไปจนทั่วร่างกายเรา


    ถ้ายังร้อนอยู่อาจพิจารณาแช่น้ำไปด้วยก็ได้ --อันนี้บอกเอง ไม่เกี่ยวกะความรู้ เอิ๊กๆdannce_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  8. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เข้ามากราบสวัสดีอาจารย์ toplus99 ด้วยคนนะขอรับ อิอิ
     
  9. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    น้องพี่โก๊ะจัง เขียนอีกนะ เดียวจะเข้ามาอ่าน(อย่าลืมพระนะ)....
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    "ครอบครัว toplus99"

    ==============================
    "ครอบครัว toplus99" ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวอันแสนสุขค่ะ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    -------------------------------------------------
    วันนี้ท่านอาจารย์เสียงเนือยๆ ยังเหนื่อยอยู่หรือเปล่าคะ?พวกเราเป็นกําลังใจให้เสมอนะ ทุกๆอุปสรรคที่พบผ่านก็คือ"ข้อทดสอบ"และบทเรียน เขาจะมีมาเรื่อยๆแหละหลายๆแบบอย่าง จะไม่พบข้อสอบแบบ ป.๔ นะ _heart+love_
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมฐานของคนที่เกิดวันพุธ

    คำนำ

    ฟัง ดูชื่อเรื่องแล้ว บางท่านอาจจะงง มีด้วยหรือ กรรมฐานประจำวันเกิด ? เคยได้ยินแต่กรรมฐานที่เหมาะแก่ จริตต่างๆ…. แต่สำหรับกรรมฐานประจำวันเกิดนั้น ไม่เคยได้ยินจริงๆ แล้ว ในตำรา ท่านก็ไม่ได้ระบุไว้ โดยตรง หรอกครับ เป็นแต่เพียงเห็นว่า ลักษณะจริตนิสัยของคนที่เกิดในแต่ละวันนั้นเราสามารถเอาเรื่องของกรรมฐาน เข้าไปประยุกต์ใช้ได้ เพื่อบั่นทอนลักษณะนิสัยที่ไม่ดี และส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีอยู่แล้ว ให้ดียิ่งขึ้น ก็จึงได้ รวบรวม เพื่อให้เป็นแนวทางได้ศึกษากัน ถ้าประโยชน์อันใด ที่จะพึงบังเกิดมี จากบทความเรื่องนี้ก็ขอน้อมถวาย เป็นพุทธบูชา และอุทิศประโยชน์นี้ ให้แก่เพื่อนร่วมโลก ทุกรูป ทุกนาม แต่ถ้ามีข้อผิดพลาดบกพร่อง อันใด ก็ต้องขอน้อมรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว

    กรรมฐานคืออะไร
    ก่อนที่จะ ว่ากันถึงรายละเอียด ว่ากรรมฐานประจำวันเกิดในแต่ละวันนั้น มีอะไรบ้าง ? เราก็ควรจะได้มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ที่เรียกกันว่า กรรมฐานๆนั้น คืออะไรกันแน่

    กรรมฐาน มาจากคำ ๒ คำ คือคำว่า กรรม + ฐาน
    กรรม แปลว่า การกระทำก็ได้ หรือแปลว่าการงานก็ได้
    ส่วน ฐาน นั้นแปลว่า ที่ตั้ง ฉะนั้น ในเมื่อเอาคำ ๒ คำนี้ มารวมกัน แล้วแปลให้ได้ความ ก็ควรจะแปลว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงาน ทางใจ คือพูดง่ายๆ หางานให้ใจมันทำซะ อย่าปล่อยใจให้ว่างงาน ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวมันจะฟุ้งซ่านแล้วนำความรำคาญ มาสู่จิตใจ

    กรรมฐานมี ๒ ขั้น
    กรรมฐาน หรืองานทางใจนี้ ยังมีถึง ๒ ขั้น
    ขั้น แรก เป็นงานทางใจในระดับต้น ที่จะช่วยกวาดล้างอารมณ์ฟุ้งซ่านต่างๆ ให้ออกไปจากใจ ทำใจให้สงบ ประณีต ไปโดยลำดับ ซึ่งมีวิธีการฝึก อยู่หลายอย่าง หลายวิธี ซึ่งจะได้แนะนำกันต่อไป… ขั้นนี้ เราเรียกว่า ขั้นสมถกรรมฐาน หรือ สมาธิ
    พอขั้นต่อมาก็เป็นขั้นของการพัฒนาความเห็น ให้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง.. สิ่งใดไม่เที่ยง ก็เห็นโดย ความจริง ว่าไม่เที่ยง… สิ่งใดเป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ก็เห็นโดยความจริง ว่าเป็นทุกข์….สิ่งใดเป็นอนัตตา บังคับบัญชา ให้เป็นไปอย่างใจไม่ได้ ก็เห็นโดยความจริงว่าเป็นอนัตตา… การเห็นความจริงอย่างนี้ ในทุกสิ่งทุกอย่าง จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ( นิพพิทา ) และคืนคลายถ่ายถอน ความยึดมั่นติดใจ ( อุปาทาน ) ในสิ่งทั้งหลายลงได้ และเมื่อนั้นความทุกข์ทางใจ ก็จะมลาย หายไปสิ้น… ขั้นนี้แหละ ที่ท่านเรียกว่า ขั้นของ วิปัสสนากรรมฐาน เอาล่ะเมื่อได้ทราบแล้วว่า กรรมฐานมีถึง ๒ ขั้นอย่างนี้ ทีนี้ก็เข้าสู่ประเด็น สำคัญของเรื่องล่ะ คือคนเกิดวันไหน ควรฝึกกรรมฐานอย่างใด

    กรรมฐานของคนที่เกิดวันพุธ

    ก่อน ที่จะว่าถึงเรื่องกรรมฐานประจำคนที่เกิดวันพุธ เราควรที่จะได้มารู้จักลักษณะนิสัยของคนที่เกิดวันพุธกันก่อน คนที่เกิดวันพุธ ถ้าจะว่ากันตามหลักโหราศาสตร์แล้ว ท่านว่าเป็นคนที่อ่อนหวาน พูดเก่ง คุยเก่ง มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นคนพิถีพิถัน ในทุกๆเรื่อง เช่น เรื่องการแต่งตัว จะไปไหนที ก็ต้องเลือกชุด ที่เข้าสีกัน เรียกว่า ต้องเป็นระเบียบ ตั้งแต่ศีรษะ จรดเท้าทีเดียว…นี่คือลักษณะทั่วๆไปของคนที่เกิดวันพุธ แต่จุดเสียของคนที่เกิดวันพุธ ก็คือ มักจะเป็นคนที่อ่อนไหว และเปลี่ยนแปลงงง่าย ด้วยเหตุนี้ โบราณาจารย์ ท่านจึงไม่ให้คู่บ่าวสาวแต่งงานกันในวันพุธ เพราะเกรงว่าชีวิตสมรสจะไม่ยั่งยืน เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงง่ายนั่นเอง… นี่คือความเชื่อในทางโหราศาสตร์ เกี่ยวกับดาวพุธ หรือคนที่เกิดในวันพุธ

    วันพุธ ในทางโหราศาสตร์ ยังแบ่งออกเป็นพุธกลางวัน และพุธกลางคืนอีกด้วย
    พุธ กลางวัน ก็ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ส่วนพุธกลางคืนนั้น ทางโหราศาสตร์ เรียกว่า วันราหู ราหู ในที่นี้ หมายถึงเงามืด ซึ่งแสดงถึงความลุ่มหลง หรือที่เรียกว่า โมหะนั่นเอง
    ฉะนั้น สรุปได้ว่า คนที่เกิดวันพุธนั้น มีจุดอ่อน ที่จะต้องแก้ไขด้วยกรรมฐาน อยู่ 2 เรื่องคือ
    ๑. ความเป็นคนอ่อนไหวง่าย
    ๒. ความลุ่มหลงมัวเมา
    กรรมฐานสำหรับคนเกิดวันพุธ
    นิสัยที่ต้องปรับปรุงประการแรก ก็คือ ความเป็นคนอ่อนไหวง่าย
    ความอ่อนไหวง่าย จะแก้ไขได้ ด้วยกรรมฐานข้อใด ?
    ก็ ขอตอบว่า สมถกรรมฐานทั้ง 40 อย่าง แก้ได้หมด แต่สิ่งที่อยากจะแนะนำเป็นพิเศษเพราะเหมาะกับชาวบ้านทั่วไป ที่จะปฏิบัติ นั่นก็คือ อานาปานสติ อานาปานสติ คืออะไร ? ก็คือการหายใจอย่างมีสติ คือรู้ตัวทุกครั้งเมื่อหายใจเข้า และรู้ตัวทุกครั้งเมื่อหายใจออก ตามปกติคนเราก็ต้องหายใจกันอยู่แล้ว หายใจตั้งแต่เกิด และจะต้องหายใจต่อไป จนกว่าจะตาย…… แต่น่าประหลาด ที่เราไม่เคยรู้ตัวเลย ว่าตอนนี้เรากำลังหายใจเข้า หรือกำลังหายใจออก พอไม่รู้ลมหายใจ ก็เลยรู้เรื่องอื่น ซึ่งมีแต่จะจูงใจให้ฟุ้งซ่าน และทำให้จิตใจ เกิดความอ่อนไหว ไปตามอารมณ์ต่างๆ

    ฉะนั้น วิธีแก้ใจ ไม่ให้มันอ่อนไหว ไปตามอารมณ์ต่างๆ ก็คือ ต้องหายใจอย่างมีสติ เมื่อเราหายใจ โดยมีสติกำกับ ใจก็จะสงบนิ่ง อยู่กับลมหายใจ ไม่ฟุ้งซ่าน และไม่หวั่นไหว เหมือนอย่างแต่ก่อน… นี่ก็คือวิธีแก้ ความเป็นคนอ่อนไหวง่าย โดยใช้กรรมฐาน ข้อ อานา-ปานสติ เป็นตัวแก้ ทีนี้นิสัยที่ควรปรับปรุงอย่างต่อไป ก็คือเรื่องความลุ่มหลง อารมณ์ลุ่มหลง ซึ่งเหมือนกับความมืดนั้น ต้องแก้ด้วยปัญญา ซึ่งเปรียบเสมือนแสงสว่างและปัญญาที่ว่านั้น ก็ต้องเป็นปัญญาในทางธรรม เช่นปัญญาในขั้นของวิปัสสนา จึงจะแก้ได้

    ถ้าจะถามว่า ปัญญาในขั้นของวิปัสสนา คือปัญญาในลักษณะไหน ? อย่างไร ?
    ก็ต้องตอบว่า คือปัญญาที่รู้เท่าทัน ความเป็นจริงของโลกและชีวิต

    ทีนี้ถามต่อว่า แล้วความเป็นจริงของโลกและชีวิต มีอะไรบ้างล่ะ ?
    ก็มีอยู่ ๓ อย่าง กล่าวคือ
    ๑. อนิจจัง… ความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
    ๒. ทุกขัง…….การถูกบีบคั้น จนทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
    ๓. อนัตตา…..การอยู่นอกเหนือการควบคุม
    นี่แหละคือความจริงของโลกและชีวิต ที่เราต้องรู้เท่าทัน

    ถามว่า เมื่อรู้เท่าทันแล้ว จะได้ประโยชน์อะไรกับจิตใจบ้าง ?

    ตอบ ว่า ได้เยอะครับ… โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะทำให้เรายึดมั่นในสิ่งต่างๆน้อยลง เมื่อยึดมั่นน้อยลง ความลุ่มหลงในสิ่งเหล่านั้น ก็ย่อมจะน้อยลง เมื่อความลุ่มหลงน้อยลง ความทุกข์ที่เกิดจากความลุ่มหลง ก็จะลดน้อยตามไปด้วย และนี่ก็คือกรรมฐาน ที่จะช่วยบรรเทาความลุ่มหลง ซึ่งเหมาะกับคน ที่เกิดวันพุธ (กลางคืน) เรื่องของคนที่เกิดวันพุธ ไม่ว่าจะเป็นพุธกลางวัน หรือพุธกลางคืน ( ราหู ) ก็คงจะมีเรื่อง ที่พึงอธิบาย เพียงแค่นี้……….

    อ้างอิง:www.dhammathai.org

    .....................................................
    “เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

    ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
    เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
    เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
    เป็นไปเพื่อสันโดษ
    เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
    เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
    เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


    *******************************
     
  13. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    เช้าๆอากาศเย็นสบายอย่างนี้ มีบางพื้นที่เย็นถึงเย็นมาก
    บางคนอาจจะปรับสภาพร่างกายไม่ทัน น้ำมูกพลันจะกระจาย
    ก็เชื้อโรคเค้าก็อยากออกมาสัมผัสอากาศเย็นบ้างนิ

    เรารู้วิธีปรับร่างกายให้เย็นลงโดยลมหายใจไปแล้ว จะเย็นมากไปก็ไม่ดี
    ถ้าเย็นไปเราก็มาเพิ่มร้อนกันบ้าง เด๋วจะเป็นการลำเอียงเกินไป
    พร้อมกันรึยังน๊อออ ใครไม่พร้อม แต่เราพร้อม อ่ะ เริ่มกันดีกว่า


    เพิ่มร้อน doseที่1
    หายใจเข้า...ฮึบ..กลั้นลมหายใจไว้ให้นานนนนน (แบบพอทนได้นะ อย่าหยุดหายใจไปเลย) เกร็งมือ(กำมือโดยกำนิ้วหัวแม่มือไว้ข้างใน)เกร็งตัวพอสบายยยย
    แล้วผ่อนลมหายใจออก

    ต่อไป ถ้าใครยังบอกว่าช๊านเลือดเย็น แค่นี้ไม่พอ เรามีdoseที่2
    เพิ่มร้อนมากกว่าเดิม

    หายใจเข้าถี่ๆซ้ำๆประมาณ7ครั้ง รึจะกี่ครั้งตามความสบาย
    เริ่ม ฟรืด ฟรืด ฟรืด ฟรืด ฟรืด ฟรืด ฟรืด... (เลือกสถานที่หายใจเข้าหน่อยนะ
    อย่าไปยืนหน้าห้องน้ำ รึถังขยะ เด๋วจะหมดลมก่อน)
    เกร็งมือเกร็งตัวพอสบายยย..กลั้นลมหายใจไว้ พอทนได้ แล้วค่อยผ่อนออก


    การหายใจปรับสมดุลย์ร้อน-เย็นนี้ เป็นวิธีเริ่มต้นได้ง่ายๆ
    ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร แค่เรามีลมหายใจ ก็พอที่จะปรับ
    ให้เข้ากับสภาวะอากาศได้แล้วนะ หรือจะมีคนขี้เกียจหายใจ???(
    (deejai)
     
  14. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ระหว่างรอท่านประธานครอบครัว ก็อ่านอะไรผ่านๆตากันไปก่อนเนอะ
    ในการไปอบรมการดูแลสุขภาพตนเอง ของหมอเขียว ที่สวนป่านาบุญ จ.มุกดาหาร
    โดยใช้หลัก๙ข้อ หรือยา๙เม็ด แนวเศรษฐกิจพอพียงตามหลักแพทย์วิถีธรรม
    เป็นไปเพื่อควบคุมป้องกันโรค บำบัดบรรเทาและฟื้นฟูสุขภาพ

    "หมอที่ดีที่สุดในโลก คือตัวเราเอง"

    ในนำการเสนอต่อๆไป จะเป็นการเล่าประสบการณ์+ความรู้ที่ได้มาเล็กน้อย
    ถ้าจะให้ได้มากๆท่านต้องได้มีการปฏิบัติแล้วรับรู้ด้วยตนเองเท่านั้น
    ผู้เสนอนั้นยังด้อยประสบการณ์ มิสามารถถ่ายทอดผ่านตัวอักษรได้ในจำนวนน้อยนิด

    ก่อนอื่น รู้จักหลัก๙ข้อ รึ ยา๙เม็ด ที่ใช้ก่อนนะ
    ๑.การดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล ร้อน-เย็น
    ๒.การกัวซาหรือการขูดพิษ
    ๓.การสวนล้างลำไส้ใหญ่(ดีทอกซ์
    )
    ๔.การแช่มือแช่เท้าด้วยน้ำสมุนไพร
    ๕.การพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ เช็ดด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน คือใช้แล้วสบาย
    ๖.การออกกำลังกาย กดจุดลมปราณ โยคะ
    ๗.การรับประทานอาหารปรับสมดุล
    ๘.ใช้ธรรมะทำใจให้สบาย ผ่อนคลายควมเครียด
    ๙.รู้เพียรรู้พักให้พอดี

    รู้ๆหลักตามนี้กันแล้ว รอบต่อไป จะแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้
    ตั้งแต่เป็นพจมานหิ้วกระเป๋าก้าวเท้าเข้าค่าย เอ้ยย เข้าเขตอบรมเลยเชียว
    เป็นความคิดเฉพาะบุคคล
    อนุญาตให้เผยแพร่และเลียนแบบเฉพาะส่วนดีๆของผู้เสนอเท่านั้น นะจ๊ะ นะจ๊ะ
    :z2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมฐานของคนที่เกิดวันพฤหัสบดี
    วันพฤหัสบดี ท่านถือว่า เป็นวันครู ฉะนั้น ผู้ที่เกิดในวันพฤหัสบดี ทางตำราโหราศาสตร์จึงถือว่า มีลักษณะของความเป็นครูอยู่มิใช่น้อย คือเป็นคนฝักใฝ่ ในการศึกษาหาความรู้ และชอบสอน ชอบแนะนำคนอื่น
    คนที่เกิดวันพฤหัสบดี ถ้าจะสงเคราะห์ เข้าในจริต ๖ ก็เรียกว่า เป็นคนพุทธิจริต คือเป็นคนเจ้าปัญญา เจ้าเหตุผลคนที่เกิดวันพฤหัสบดี ถ้าเป็นหญิง จะมีลักษณะที่สังเกตได้อย่างหนึ่ง คือมักจะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ชอบเก็บ ชอบสะสม ถ้าเอาเงิน ฝากธนาคารไว้ ก็มักจะเอาสมุดฝาก มาดูบ่อยๆ และถ้าเห็นว่า เงินพร่องจากบัญชีไป เขาจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากทีเดียว…. นี่คือผู้หญิง ที่เกิดวันพฤหัสบดี มักจะเป็นอย่างนี้ซะส่วนมาก

    ฉะนั้น สรุปนิสัยของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ก็คงจะแบ่งเป็น ลักษณะนิสัย ข้อใหญ่ๆ ได้ ๒ ข้อ คือ
    ๑. เป็นคนฉลาด มากด้วยเหตุผล
    ๒. เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ชอบสละ ชอบแต่สะสม

    ทีนี้ นิสัยแต่ละอย่าง จะเอากรรมฐานข้อใดมาแก้ในส่วนของนิสัยฝ่ายดี ที่ชอบเหตุชอบผลนั้น กรรมฐานที่เหมาะก็คือ ต้องเป็นกรรมฐาน ประเภทที่ใช้ความคิด พินิจพิจารณา ตัวอย่างเช่น อาหาเรปฏิกูลสัญญา ( การพิจารณา ความเป็นปฏิกูลในอาหาร ), จตุธาตุววัตถาน ( การพิจารณาร่างกาย โดยความเป็นธาตุ ๔), อุปสมานุสติ ( การระลึกถึงความดี ของพระนิพพาน ) ในส่วนของนิสัย ที่ตระหนี่ถี่เหนียวนั้น ต้องแก้ ด้วยกรรมฐาน ๒ ข้อ กล่าวคือ จาคานุสติ ( การระลึกนึกถึงคุณของการบริจาค ), และ มรณัสสติ ( การนึกถึงความตาย อันจะมาถึงตน ) ทีนี้ เราไปดูรายละเอียดของกรรมฐานแต่ละอย่างกัน

    อาหาเรปฏิกูลสัญญา

    คำว่า "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" ถ้าจะแปล ก็ต้องแปลว่า การพิจารณา ความเป็นปฏิกูล ในอาหาร คืออาหารทุกอย่าง ที่เราทานเข้าไปนั้น ล้วนมีความเป็นปฏิกูลทั้งสิ้น ตอนแรก อาจจะยังมองไม่เห็น ความเป็นปฏิกูล แต่พอเข้าสู่ปาก คลุกเคล้ากับน้ำลาย และกลืนลงท้อง ความปฏิกูลก็ย่อมจะฉายแววออกมาให้เห็นเด่นชัดขึ้นและเมื่อไหร่ ที่อาหารซึ่งกินเข้าไป ถูกขับถ่ายออกมาเป็นของเสีย เมื่อนั้น เราก็จะสะอิดสะเอียน แทบอาเจียนทีเดียว … นี่แหละ เห็นหรือยัง ว่าอาหาร มันเป็นของปฏิกูลอย่างไร คนที่เฉลียวฉลาด อย่างคนที่เกิดวันพฤหัสบดีนั้น ถ้าพิจารณากรรมฐานข้อนี้ ก็จะเห็นความจริง โดยไม่ยาก

    จตุธาตุววัตถาน

    กรรมฐานข้อนี้ ก็คือ กรรมฐานที่ต้องใช้ความคิด อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเหมาะกับคนที่เกิดวันพฤหัสบดี จะพึงพิจารณา จตุธาตุววัตถาน ก็คือการพิจารณาร่างกายนี่เอง
    ทีนี้ถามว่า พิจารณาในแง่ไหนล่ะ? ก็พิจารณาในแง่ที่ว่า ร่างกายนี้ ประกอบขึ้น จากธาตุทั้ง ๔
    แล้วธาตุทั้ง ๔ มีอะไร? กี่อย่างล่ะ? ก็มีอยู่ ๔ อย่าง คือ
    ๑. ธาตุดิน ได้แก่ ส่วนที่เป็นของแข็ง ถ้าจะถามว่า แล้วส่วนที่เป็นของแข็ง ในร่างกายนี้ มันมีอะไรบ้างล่ะ? ก็มีตั้งหลายอย่าง ท่านลองนึกดูซี….กระดูก นี่ก็แข็งใช่ไหม?… หัวกระโหลก นี่ก็แข็ง….เอ็นนี่ก็แข็ง พวกที่มีลักษณะแข็งทั้งหมดนี่แหละ ที่ท่านเรียกว่า ธาตุดิน
    ๒. ธาตุน้ำ ได้แก่ ส่วนที่เป็นของเหลว ถ้าจะถามว่า แล้วส่วนที่เป็นของเหลว ในร่างกายนี้ มันมีอะไรบ้างล่ะ? ก็มีตั้งหลายอย่าง อาทิเช่น น้ำเลือด , น้ำหนอง, น้ำตา , น้ำเหงื่อ เป็นต้น พวกนี้เป็นของเหลวทั้งหมด และของเหลวทั้งหมด ที่มีอยู่ในร่างกายนี้นั้น ท่านก็สมมติ เรียกว่า ธาตุน้ำ เพราะมีลักษณะเหลว เหมือนน้ำ
    ๓. ธาตุไฟ ได้แก่ ความร้อน หรือความอบอุ่นในส่วนของ 2 ธาตุอย่างแรก เราเอง พอจะมองเห็นได้ง่าย แต่พอมาถึงข้อนี้ มองยากสักหน่อย เพราะพอพูดถึงไฟ คนเราก็มักจะนึกถึง ไฟในเตา ซึ่งมีลักษณะเป็นเปลวสีเหลืองๆ และเต็มไปด้วยความร้อน แต่ความหมายของธาตุไฟ ในกรรมฐานข้อนี้ ท่านหมายเพียงลักษณะของความร้อน หรือความอบอุ่นเท่านั้น ถ้าอย่างนี้ ก็พอจะมองห็นเหตุผลได้ไม่ยาก เพราะลักษณะความอบอุ่นในร่างกายเราก็มี ที่เรียกว่า อุณหภูมิยังไงล่ะ อุณหภูมิ คือความอบอุ่นในร่างกายนี่แหละ ที่เรียกกันว่า ธาตุไฟ
    ๔. ธาตุลม ได้แก่ อากาศที่เคลื่อนไหวที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือลมหายใจ ที่หายใจเข้า หายใจออก อยู่ทุกวี่ทุกวันนี่แหละ คือธาตุลม ในกรรมฐานข้อนี้
    การพิจารณาร่างกาย ให้เห็นเป็นแต่เพียง ธาตุ ๔ ถือว่าเป็นกรรมฐาน ที่เหมาะสำหรับคน ที่เกิดวันพฤหัสบดี อีกข้อหนึ่ง ที่ควรเจริญกรรมฐาน สำหรับคนที่เกิดวันพฤหัสบดี กรรมฐานที่ว่านั้น ก็คือ มรณัสสติ

    มรณัสสติ

    มรณัสสติ ก็คือการระลึก นึกถึงความตาย อันจะมาถึงตน
    การระลึกถึงความตาย ท่านอาจจะสงสัย ว่าช่วยแก้นิสัยผู้หญิงที่เกิดวันพฤหัสบดีได้อย่างไร ?
    ถ้าใครได้ติดตามมาตั้งแต่ต้น ก็คงจะทราบ เพราะเราได้เคยบอกถึง ลักษณะอุปนิสัย ที่เด่นๆ ของคนที่เกิดวันพฤหัสแล้วว่า นอกจากจะเป็นคน ที่สนใจใฝ่รู้แล้ว คุณผู้หญิงที่เกิดวันพฤหัส ยังมีลักษณะเด่น ที่เห็นได้ชัด อีกอย่างหนึ่งก็คือ มักจะเป็นคนที่ไม่ชอบสละ แต่ชอบสะสม ลักษณะนิสัยอย่างนี้ ถ้าเราได้นึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ มันจะช่วยทำให้ละคลายนิสัยที่ชอบสะสมไปได้มากทีเดียว เพราะลองคิดดูเถอะว่า คนเรา ที่เอาแต่สะสมนั้น ก็เพราะลืมคิดถึงเรื่องของความตาย คนเรา ต่อให้สะสมทรัพย์สิน ไว้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่พอตายลงวันใด สิ่งที่สะสมไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ก็ไม่สามารถจะติดตามคนตายไปได้ ล้วนจะต้องทอดทิ้งทรัพย์สินเหล่านั้น ไว้ในโลกนี้ทั้งสิ้น

    ฉะนั้น การหวงแหนทรัพย์สิน จนไม่ยอมสละ ให้เป็นทานเลย จึงไม่เป็นประโยชน์อันใด ใครที่มีนิสัย ที่ชอบตระหนี่ ไม่ชอบสละ ไม่ชอบให้ใคร ก็ลองเอากรรมฐาน ข้อ "มรณัส-สติ" นี้ไปภาวนาดูซีครับ จะช่วยได้มากทีเดียว

    อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน

    Dhamma Department Store : Dhammathai.org
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมฐานของคนที่เกิดวันศุกร์

    ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องกรรมฐาน ที่เหมาะกับคนเกิดวันศุกร์ เรามาพูดถึงอุปนิสัยของคนที่เกิดวันศุกร์กันก่อนดีกว่า

    ดาวศุกร์ ตามหลักโหราศาสตร์ หมายถึง ความรักทางโลกีย์ สิ่งสวยงาม ความบันเทิง และอารมณ์ร่าเริง เป็นต้น นี่เป็นเรื่องของดาวศุกร์ทั้งนั้น

    ฉะนั้น ลักษณะนิสัยของคนที่เกิดวันศุกร์ ตามหลักโหราศาสตร์ ที่จะเห็นได้ค่อนข้างเด่นชัดก็คือ จะเป็นคนที่รักสวยรักงาม อารมณ์ร่าเริง ชอบร้องรำขับร้อง แต่ก็มีจุดอ่อน ที่ต้องคอยแก้ไขอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นสุภาพสตรีที่เกิดในวันศุกร์ มักจะมีนิสัยที่เรียกได้ว่า อาจจะเป็นจุดอ่อนก็ว่าได้ มีอยู่ 2 เรื่อง คือ
    1. เป็นคนค่อนข้างจะห่วงคนอื่น มากกว่าตัวเอง บางครั้งก็เอาเรื่องของคนอื่น เช่นความทุกข์ของคนรอบข้าง มาใส่ใจ จนกระทั่งทำให้ตัวเอง กินไม่ได้ นอนไม่หลับก็มี
    2. เป็นคนที่มักจะเผลอไผล ในเรื่องของคำพูดคำจา อยู่เป็นประจำ เช่นคิดไว้อย่าง แต่เวลาพูด กลับพูดไปอีกอย่าง จนกระทั่งทำให้เกิดเรื่องให้ชวนขำอยู่บ่อยๆ
    และนี่ก็คือ ลักษณะนิสัยโดยทั่วๆไป ของคนที่เกิดในวันศุกร์


    กรรมฐานสำหรับคนที่เกิดวันศุกร์
    ทีนี้มาพูดถึงกรรมฐาน ที่จะใช้แก้นิสัยของคนที่เกิดวันศุกร์กันบ้าง ก็อย่างที่บอกในตอนต้นแล้วว่า ลักษณะนิสัยของคนที่เกิดวันศุกร์นั้น ถ้าจะสรุปเป็นข้อๆ เพื่อหากรรมฐานมาแก้ได้ง่ายขึ้น ก็คงพอสรุป เป็นข้อๆได้ ดังต่อไปนี้
    1. เป็นคนที่ติดในเรื่องของกามารมณ์ และสิ่งสวยงามต่างๆ
    2. เป็นคนที่มักจะทุกข์กับเรื่องของคนอื่น มากจนเกินไป
    3. เป็นคนที่มักจะเผลอไผล ในเรื่องของคำพูดคำจา
    ในบรรดานิสัยทั้ง 3 ข้อนี้ กรรมฐานที่จะช่วยบรรเทาได้ ก็จะมีดังต่อไปนี้
    1. ต้องใช้อสุภะ แก้เรื่องความติดใจ ในกามารมณ์
    2. ต้องใช้อุเบกขาพรหมวิหาร แก้ในเรื่อง ชอบทุกข์กับเรื่องของคนอื่น มากเกินไป
    3. ต้องเจริญสติปัฏฐาน เพื่อแก้นิสัยที่เผลอไผล


    ทีนี้กรรมฐานแต่ละอย่างๆนั้น มีวิธีปฏิบัติอย่างไร
    กรรมฐานที่จะช่วยแก้นิสัยของคนที่เกิดวันศุกร์

    อุปนิสัยของคนที่เกิดวันศุกร์ และก็ได้สรุปไว้ว่า นิสัยของคนที่เกิดวันศุกร์ แต่ละอย่างๆนั้น จะแก้ได้ ด้วยกรรมฐานหมวดใด โดยวิธีปฏิบัติ ในกรรมฐานแต่ละหมวดนั้น จะนำมาขยายความ กันในตอนนี้ โดยเริ่มจาก กรรมฐานหมวดแรก นั่นก็คือ….

    อสุภกรรมฐาน

    อสุภะ คำนี้ หมายถึง สิ่งที่ไม่สวยไม่งาม ซึ่งได้แก่ ซากศพต่างๆนั่นเอง
    พวกซากศพต่างๆ สามารถนำมาใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน เพื่อแก้นิสัย ที่ติดในความสวยงาม ได้เป็นอย่างดี ใครก็ตาม ที่รู้ตัวว่า เป็นคนที่ติดในสิ่งสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องกามารมณ์ต่างๆ ท่านจะละเลยกรรมฐานข้อนี้ ไปไม่ได้เลย
    ทีนี้ มาพูดถึงวิธีปฏิบัติกันบ้าง การที่เราจะนำเอาซากศพต่างๆ มาเป็นเครื่องเ
    พ่งพิจารณานั้น ถ้าเอาศพจริงๆมาพิจารณา คงจะทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยนี้ ถ้าเป็นในสมัยก่อน ยังพอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าไปพิจารณาศพในป่าช้า ยังพอทำได้ง่าย กว่าในปัจจุบัน แต่สำหรับปัจจุบันนี้ ถ้าใครอยากจะเจริญอสุภะ ท่านอาจจะใช้วิธี ไปหาภาพซากศพในลักษณะต่างๆ มาพิจารณาก็ได้

    เมื่อได้ภาพมาแล้ว ก็ให้เอามาเพ่งดู แล้วจำภาพนั้นให้ได้ พร้อมกับให้น้อมพิจารณา เข้ามาหาตัวเอง ว่าอีกไม่นาน ถ้าเราตาย เราก็จะมีสภาพที่ไม่น่าดู ไม่น่าชม อย่างนี้เหมือนกัน อย่าว่าแต่รูปจะไม่น่าดูเลย แม้แต่กลิ่น ก็ไม่น่าพิศมัยเช่นกัน ใครว่ากลิ่นหมาเน่า มีกลิ่นเหม็นที่รุนแรง แต่กลิ่นศพ ของคนที่ตายแล้ว ก็รุนแรงไม่แพ้กัน ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว จะช่วยลดละความติดใจ ในเรื่องของกามารมณ์ ไปได้มากทีเดียว และนี่ก็คือกรรมฐานหมวดแรก ที่เหมาะกับคน ที่เกิดวันศุกร์

    อุเบกขาพรหมวิหาร

    ทีนี้ มาถึงนิสัยอย่างที่ 2 ของคนที่เกิดวันศุกร์ ก็คือนิสัยที่ชอบเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนคนอื่นอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่บางที เรื่องนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย แต่เราก็อดที่จะออกรับแทนเขาเสียมิได้ นิสัยอย่างนี้ กรรมฐาน ที่จะช่วยแก้ ได้ดีที่สุด คงไม่มีอะไรเกิน อุเบกขา ในพรหมวิหาร
    ความจริง พรหมวิหาร มี 4 ข้อ แต่สำหรับในกรณีนี้ ให้เน้นที่อุเบกขาพรหมวิหารอย่างเดียว อุเบกขา ที่ว่านี้ ก็คือ การรู้จักทำใจวางเฉย เพราะมานึกถึง เรื่องกฎแห่งกรรม ว่าแต่ละคน ต่างมีกรรมเป็นของตัว ใครทำกรรมอะไรไว้ คนนั้นก็จะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น ไม่มีใคร ช่วยใครได้ บางครั้งเราไปวิตกกับเรื่องของคนอื่นจนเกินไป โดยลืมคิดไปว่า เขาเหล่านั้น ก็ต่างมีกรรมเป็นของๆตัว และแต่ละคน ก็ต่างทำกรรมมาไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ผลที่ได้รับ จะให้เป็นไปอย่างใจเราทุกอย่าง คงไม่ได้ เมื่อเรามานึก ถึงเรื่องกรรม ได้อย่างนี้ จะทำให้เรา วางใจเป็นกลาง ได้ง่ายขึ้น
    ฉะนั้น ใครที่รู้ตัวว่า เป็นคนที่ชอบ เป็นทุกข์เป็นร้อน กับเรื่องของคนอื่น จึงควรมาเจริญอุเบกขาพรหมวิหาร โดยการนึกถึงเรื่องกรรม ของแต่ละคน ให้มากๆ มันจะช่วยคลายเรื่องนี้ ไปได้เยอะทีเดียว

    สติปัฏฐาน

    ทีนี้ มานิสัยอย่างสุดท้าย คือนิสัย ที่พูดอะไร พลั้งๆ พลาดๆ อยู่เรื่อย บางทีคิดอย่าง แต่กลับพูดไปอีกอย่าง อย่างนี้ มีวิธีแก้ได้อย่างเดียว คือต้องเจริญสติให้มาก แบบฝึกหัดในการเจริญสติ ท่านเรียกว่า สติปัฏฐาน มีการฝึก ตั้งแต่หยาบที่สุด ไปจนกระทั่ง ละเอียดที่สุด แต่ที่อยากจะแนะนำในเบื้องต้นนี้ ให้ฝึกแบบหยาบๆไปก่อน เพราะฝึกง่าย ใครๆก็ฝึกได้ เพราะร่างกายมีอยู่ ทุกผู้ทุกคน

    นิสัยที่ชอบพูดพลั้ง พูดพลาด ของคนที่เกิดวันศุกร์นั้น มีวิธีแก้อยู่อย่างเดียว คือต้องเจริญสติให้มาก และแบบฝึกหัดในการเจริญสติ ที่ดีที่สุด คงไม่มีอะไรดีเท่ากับ การเจริญสติ ตามแบบของสติปัฏฐาน ซึ่งมีแบบฝึกหัด การเจริญสติ ตั้งแต่หยาบที่สุด ไปจนกระทั่ง ละเอียดที่สุด

    การเจริญสติ ตามหลักสติปัฏฐาน แบบฝึกหัดการเจริญสติ ตามนัยแห่งสติปัฏฐาน จริงๆแล้ว มีอยู่มากมาย ที่จะใช้เป็นแบบฝึก แต่คงไม่มีความจำเป็นอันใด ที่จะต้องนำมาใช้ทั้งหมด เอาเฉพาะที่เหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันของเราก็แล้วกัน จึงใคร่ขอแนะนำ 2 วิธี ให้ท่านได้ลองฝึกกันดู

    วิธีแรก ให้ใช้ฝึก ในตอนที่ ร่างกายอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว ในช่วงที่ร่างกายอยู่นิ่งๆนั้น ให้ท่านเอาสติ เข้าไประลึกรู้ อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ซึ่งมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยให้ตามรู้ ตามดูลม ไปเรื่อย หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ ( วิธีนี้ ท่านเรียกว่า อานาปานปัพพะ ) เวลาหายใจเข้า เข้าไปถึงไหน ก็ให้ตามรู้ อย่าให้พลั้ง อย่าให้พลาดได้ เวลาหายใจออกก็เหมือนกัน หายใจออกไปถึงไหนแล้ว ก็ต้องตามรู้ ไปทุกระยะ แม้แต่ความสั้น-ยาว หยาบ-ละเอียด ของลมหายใจ ก็ต้องมีสติ รู้ตามให้ทัน ว่าอาการของลมหายใจ เป็นอย่างไร เรียกว่า ต้องมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ไปทุกอาการ ว่าอย่างนั้นเถอะ

    นี่คือ การฝึกเจริญสติ วิธีแรก ซึ่งให้ใช้ฝึก เวลาที่ร่างกายอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ธรรมชาติของร่างกาย จะให้มันนิ่งอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป โดยไม่ให้เคลื่อนไหว ก็คงเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะธรรมชาติของร่างกาย ย่อมมีเคลื่อนไหวบ้าง อยู่นิ่งบ้าง แล้วถ้าเวลาร่างกายเคลื่อนไหวล่ะ เราจะเจริญสติ ด้วยวิธีใด ? ก็ให้ฝึกเจริญสติ ด้วยวิธีที่ 2 ซีครับ

    วิธีเจริญสติ แบบที่ 2 ก็คือ สัมปชัญญะปัพพะ คือให้มีสติ รู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าร่างกาย จะคู้เหยียด เคลื่อนไหว เหลียวซ้าย แลขวา หรือแม้แต่จะกิน ดื่ม พูด ก็ให้ทำไปด้วยความรู้ตัว อย่าปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหว โดยไร้สติ หมายความว่า ให้มีสติ คอยกำกับการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ นี่เป็นวิธีการฝึก ในขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหว การฝึกเจริญสติทั้ง 2 แบบนี้ เราสามารถฝึกได้ตลอดเวลา โดยให้ฝึกสลับกัน เพราะตามปกติแล้ว ร่างกายของคนเรา ก็ต้องมีการเคลื่อนไหวบ้าง เมื่อเคลื่อนไหวมากๆ มันเกิดเมื่อย ก็ต้องพัก โดยการให้ร่างกายอยู่นิ่งๆ ในเมื่อร่างกาย มันนิ่งบ้าง เคลื่อนไหวบ้าง อย่างนี้ การที่เราฝึกเจริญสติ โดยใช้อานาปานปัพพะ ( การมีสติ ตามรู้ตามดูลมหายใจ ) กับ สัมปชัญญะปัพพะ ( การรู้อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ) สลับกันไป จึงเป็นวิธีที่เหมาะสม สำหรับคนทุกคน

    วิธีนี้ สามารถฝึกได้ ตั้งแต่ตื่นนอน ไปจนกระทั่งหลับทีเดียว ใครที่ไม่เคยฝึก อยากจะให้ลองฝึกดู

    ถ้าใครสามารถเจริญสติได้อย่างนี้ ตลอดทั้งวัน ท่านจะมีความรู้สึกว่า ชีวิตของท่าน มีความสุขมากกว่าแต่ก่อน มีสมาธิ ( ความสงบ ) มากกว่าแต่ก่อน อย่างเห็นได้ชัด และสำหรับคนที่มักจะทำอะไร หรือพูดอะไร ผิดพลาด พลั้งเผลออยู่เรื่อยๆ ถ้าท่านฝึกเจริญสติโดยวิธีนี้ ไปสักระยะ ท่านจะรู้สึกว่า ความพลั้งเผลอจะน้อยลง และถึงแม้จะมีเผลอบ้าง แต่ก็จะรู้ตัวได้เร็ว

    ฉะนั้น การฝึกเจริญสติ จึงมีอานิสงส์ใหญ่อย่างนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว การฝึกเจริญสติ ตามแนวของสติปัฏฐานนั้น ไม่จำเพาะว่า คนวันศุกร์ ควรจะฝึกเท่านั้น แม้แต่คนที่เกิดวันอื่นๆ ก็ควรฝึกเช่นกัน เพราะ สติ ( ความระลึกได้ ) และสัมปชัญญะ ( ความรู้ตัว ) เป็นธรรมะ ที่มีอุปการะมาก และเป็นประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป ทั้งในระดับต้น จนระดับสูง การที่ใครก็ตาม รักษาสติอยู่ได้ตลอดเวลา ผู้นั้นได้ชื่อว่า ตั้งอยู่ในอัปปมาทธรรม คือความไม่ประมาท และความไม่ประมาทนี่แหละ พระพุทธเจ้าเปรียบว่า เหมือนกับรอยเท้าช้าง ทำไม ท่านจึงเปรียบความไม่ประมาท เหมือนกับรอยเท้าช้าง ? ก็เพราะว่า รอยเท้าช้าง เป็นรอยเท้าที่ใหญ่ สามารถเป็นที่รองรับรอยเท้าของสัตว์อื่นๆ ได้ทั้งสิ้น

    อัปปมาทธรรม คือความไม่ประมาท ( การมีสติรักษาใจอยู่ตลอดเวลา ) ก็ย่อมเป็นที่รองรับคุณธรรมอื่นๆอีกมากมาย สุดที่จะคณานับเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การเจริญสติ จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในพระพุทธ-ศาสนา ซึ่งเราไม่ควรจะละเลย ไม่ว่าจะเกิดวันไหนๆ ก็ควรจะได้ฝึกเจริญสติทั้งนั้น ฝึกเจริญแล้ว ประโยชน์ ก็เกิดแก่ผู้ปฏิบัติเองนั่นแหละ หาได้เกิดกับใครไม่

    โ ด ย : อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน

    Dhamma Department Store : Dhammathai.org
     
  17. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154

    ใจไม่ได้พิการเป็นอัมพาตสักโหน่ย....

    ล้มแล้วย่อมลุกขึ้นได้ เป็นธรรมดาเนาะ

    พรหมวิหารสี่ นี่ เป็นกรรมฐานของคนวันสุข วันสุข

    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/uK9suLnjeJk" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  18. บ่วง

    บ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +726
    ใครรู้บ้างว่าคุณtopluss99 พูดถึงอะไร อธิบายเอาบุญหน่อยค่ะ
     
  19. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ช่วงท่านประธานครอบครัวไม่อยู่ เราก็มาอาศรัยพื้นที่บรรเลงตัวอักษรไปตามประสา
    ถึงจะทำให้เรตติ้งตกลงมาบ้าง ไม่เป็นไร เราไม่เจ็บ ^^


    จะเอ่ยกล่าวเล่าความถึงยามเมื่อก่อนเยื้องย่างเข้าเขตสวนป่านาบุญ
    พุงกลมๆน้อยๆเดินทางมาถึงด้วยความทรหดอดทน
    นั่งรถทัวร์ไป10กว่าชม.แล้วดั๊นได้รับแจ๊ตพอต รถเสียอีก ก็ว่ากันไป
    อ่ะ สู้ไหว ใจไปกับพระ จะเจออะไรก้อบ่ยั่นซะอย่าง


    พอไปถึง โอ้ววว.. พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    เราเป็นชาวพุทธต้องอุทานให้รู้สถานะ
    ผู้คนล้นหลามเจงๆเชียว จนท.ทะเบียนแจ้งว่า ที่จองๆมาน่ะห้าร้อยกว่าคน
    กรี๊สสส!! มหกรรมของผู้รักที่จะดูแลสุขภาพตัวเองเยอะขนาด
    และเมื่อลงทะเบียน แจ้งชื่อเสียงเรียงนามไม่ต้องระบุถึงพ่อแม่
    เอาแต่ประวัติตัวเองให้รู้ชัดๆ มีเจ็บป่วยอะไรมาบ้าง
    จะได้แยกที่นอนได้ถูก ระหว่างทั่วๆไปกับผู้ป่วยหนัก
    คือ ที่นี่ เวลาเปิดอบรมจะมีผู้ที่ป่วย+ญาติเข้าไปเรียนรู้การดูแลตนเองด้วยน่ะ


    ลงทะเบียนแล้วก็ไปขอยืมอุปกรณ์ที่ใช้ส่วนตัวเป็นต้น จานชามช้อนแก้ว มุ้ง ผ้าห่ม เสื่อ
    ถ้ามีไปส่วนตัวก็สบายโลด แต่ข้าเจ้าแบกขึ้นรถทัวร์ไปไม่ไหวง่ะ
    ต่อไปไปจับจองหาที่พัก แบ่งเป็นโซนไป แต่รอบนี้คนเยอะมากกก
    ก็กางมุ้งกันตรงศาลาอบรมบ้าง เช้าต้องรีบตื่นก่อนเค้าเพราะต้องใช้พื้นที่
    มีคุณพี่ที่นอนตรงนั้นบอกว่า ถือว่าตนเองได้เปรียบได้ตื่นก่อนเค้าได้สวดมนต์ตรงเวลาทุกวัน
    คิดบวกได้ใจ สุดยอดมากก
    ใกล้ๆกันแบ่งพื้นที่เตียงให้ผู้ป่วย ส่วนรอบๆใครมีเต๊นท์ไปก็เลือกกางตามใจชอบ
    ส่วนข้าเจ้านั้น บังเอิ๊นนน เจอะบุญสัมพันธ์ ขอเกาะนอนเต๊นท์กะพี่สาวใจดี2คน
    ที่เพิ่งเจอกันที่นั่นครั้งแรก เรามันตัวคนเดียว ด้านๆเข้าไว้ พี่เค้าสงสารเอง เอิ๊กๆๆ


    มีที่นอนแน่ๆแล้วเรา และแล้วพยาธิในท้องส่งเสียงขออาหาร
    มื้อเช้าแรกของวันนั้น ข้าวต้มธัญพืช ความรู้สึกมันช่างอร่อยเจงๆ ถึงจะจืดก้อเหอะ
    (ไม่ได้กินข้าวมื้อเย็น)


    ทุกอย่างลงตัว พร้อม ถึงเวลาที่จะปฐมนิเทศแล้ว
    เด็กใหม่ที่ดั๊นด้นไปคนเดียว ตื่นเต้นๆ
    catt11
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      335.2 KB
      เปิดดู:
      47
    • 10.JPG
      10.JPG
      ขนาดไฟล์:
      730.9 KB
      เปิดดู:
      55
    • 14.JPG
      14.JPG
      ขนาดไฟล์:
      626.4 KB
      เปิดดู:
      54
    • 8.JPG
      8.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.2 KB
      เปิดดู:
      44
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  20. khun29

    khun29 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +4
    กว่าจะตามอ่านหมดตั้งตั้งหน้าแรกยันหน้าสุดท้าย ใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียว
    ยังไงก็ขอบคุณมากๆครับ ได้ประโยชน์เยอะเลยจากที่นี่ ขอบคุณมากๆครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...