เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมฐานของคนที่เกิดวันเสาร์

    นิสัยของคนที่เกิดวันเสาร์
    ลักษณะเด่นๆของคนที่เกิดวันเสาร์ ก็คือ มักจะคนหงุดหงิดง่าย และใจร้อน และบางคนก็จะมีลักษณะชอบเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ใครก็ตาม ที่มีลักษณะชอบเก็บตัว ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ พวกนี้ มักจะเป็นคนที่คิดมาก

    ฉะนั้น ท่านผู้รู้ ท่านจึงได้แต่งเป็นบทร้อยกรองสอนใจ เอาไว้ว่า
    อยู่คนเดียว ให้ระวัง ยั้งความคิด อยู่ร่วมมิตร ให้ระวัง ยั้งคำขาน
    อยู่ร่วมราษฎร์ เคารพตั้ง ระวังการ อยู่ร่วมพาล ต้องระวัง ทุกอย่างไป

    ถ้าอยู่คนเดียว ก็มักจะอดคิดมากไม่ได้ คิดไปได้สารพัดเรื่องนั่นแหละ เดี๋ยวเรื่องโน้น เดี๋ยวเรื่องนี้ และเพราะความเป็นคนชอบคิดนี่เอง จึงทำให้เป็นคนที่ค่อนข้างเครียดง่าย และช่างจดช่างจำ เจ้าคิด เจ้าแค้น ใครทำให้เจ็บล่ะก้อ จำจนวันตาย นี่แหละ คือลักษณะนิสัย ของคนที่เกิดวันเสาร์

    กรรมฐานสำหรับคนที่เกิดในวันเสาร์
    ลักษณะนิสัย ของคนที่เกิดวันเสาร์ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ท่านก็คงพอจะเดาออก ว่ากรรมฐานที่จะใช้แก้ไขนิสัย ของคนที่เกิดวันเสาร์นั้น คงจะไม่มีอะไรดี เท่ากับกรรมฐาน 2 ข้อ
    ดังต่อไปนี้ คือ
    1. พรหมวิหาร 4…. กรรมฐานหมวดนี้ จะช่วยแก้นิสัยใจร้อน ทำให้ใจเย็นลง และจากที่เคยหงุดหงิดง่าย ก็จะหงุดหงิดได้ยากขึ้น
    2. อานาปานสติ…. กรรมฐานข้อนี้ จะช่วยแก้นิสัย ความเป็นคนชอบคิดมาก เพราะกรรมฐานข้อนี้ เป็นกรรมฐาน ที่จะช่วยตัดกระแสวิตก ได้อย่างดีเยี่ยม
    เมื่อรู้แล้วว่า คนที่เกิดวันเสาร์ ควรจะเจริญกรรมฐาน ทั้ง 2 ประเภทนี้ ทีนี้ เราก็จะมาศึกษา ในรายละเอียดกันล่ะว่า กรรมฐานแต่ละประเภท ที่กล่าวมานั้น มีวิธีปฏิบัติกันอย่างไร ?


    พรหมวิหาร 4
    พรหมวิหาร ถ้าจะแปล ก็ต้องแปลว่า คุณธรรม เป็นเครื่องอยู่ ของพระพรหม
    พูดง่ายๆก็คือ พระพรหม จะต้องมีคุณธรรม 4 ข้อนี้ จึงจะเป็นพระพรหมได้
    ที่เขาสร้างรูปพระพรหม ให้มี 4 หน้า ก็เป็นการจำลองคุณธรรมทั้ง 4 ด้าน ของพระพรหมนั่นเอง และเนื่องจาก คุณธรรมทั้ง 4 ข้อ ของพระพรหมนั้น ไปตรงกับคุณธรรม ของพ่อ ของแม่ พระพุทธเจ้า จึงได้ทรงยกย่อง พ่อแม่ ว่าอยู่ในฐานะ พรหมของลูก
    ทีนี้ คุณธรรม ทั้ง 4 ข้อนั้น มีอะไรบ้างล่ะ ?
    ก็มี ดังต่อไปนี้ คือ
    1. เมตตา ได้แก่ความรัก ความเอ็นดู ความปรารถนาดี อยากให้ทุกๆชีวิต มีแต่ความสุขความเจริญ
    2. กรุณา ได้แก่ความสงสาร เวลาเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ก็อดที่จะสงสาร อดที่จะช่วยเหลือไม่ได้
    3. มุทิตา ได้แก่ ความพลอยยินดี เมื่อคนเห็นอื่น เขาได้ดีมีสุข
    4. อุเบกขา ได้แก่ การรู้จักวางเฉย ไม่ซ้ำเติม เมื่อเห็นคนอื่นพลาดพลั้ง เพราะการกระทำ ของเขาเอง
    คุณธรรมทั้ง 4 ข้อนี้ เมื่อเราเจริญ ให้เกิด ให้มี ขึ้นในใจแล้ว มันจะช่วยขจัดอารมณ์เศร้าหมอง อันเปรียบเสมือนสนิมในใจออกไป ได้หลายอย่างทีเดียว

    ขณะนี้ กำลังพูดถึงกรรมฐาน ซึ่งเหมาะ สำหรับคนที่เกิดวันเสาร์ โดยเมื่อตอนที่แล้ว ได้พูดถึงกรรมฐาน หมวดพรหมวิหาร ซึ่งจะช่วยทำให้ใจ ที่เคยร้อนเย็นลงกว่าเดิม และความหมาย ของพรหมวิหาร แต่ละข้อ ก็ได้อธิบายให้ฟัง อย่างคร่าวๆมาแล้ว ในตอนที่ผ่านมา ยังคงค้างอยู่ ก็เฉพาะในประเด็นที่ว่า พรหมวิหาร แต่ละข้อนั้น ช่วยขจัดอารมณ์เศร้าหมองภายในใจ ข้อใดได้บ้าง… เรามาพบคำเฉลย ในตอนนี้ กันได้เลยครับ

    พรหมวิหาร ข้อแรก คือ เมตตา ได้แก่ ความรัก ความปรารถนาดี อยากให้ทุกๆชีวิต มีแต่ความสุข

    ถ้าใครก็ตาม ที่เจริญพรหมวิหารข้อนี้ ให้เกิด ให้มี ในใจได้ ก็จะทำให้ใจของผู้นั้น ละคลายจากความโกรธเกลียด ซึ่งเป็นอารมณ์เศร้าหมอง ภายในใจได้ ถ้าเจริญ ให้เต็มที่ ถึงที่สุด เราก็จะได้เห็น ความเปลี่ยนแปลง ทางด้านจิตใจ ได้อย่างชัดเจน คือเราสามารถ ที่จะให้อภัยได้ แม้กระทั่ง ผู้ที่เป็นศัตรู
    อย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มากด้วยเมตตา และมีเมตตา เต็มเปี่ยมอยู่ในพระทัย ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ได้เคยทูลถามถึงความรู้สึก ว่าพระองค์รู้สึกอย่างไร กับพระเทวทัต ซึ่งตามจ้องล้างจองผลาญพระองค์มาโดยตลอดพระพุทธองค์ ทรงตอบว่ายังไง ท่านทราบไหมครับ ?
    พระองค์ตรัสตอบว่า "เรารักราหุล พุทธชิโนรส ของเราอย่างไร เราก็รัก และมีจิตเมตตา ในพระเทวทัต ผู้มีจิตคิดประทุษร้ายต่อเรา ฉันนั้น"
    นี่แหละ คือยอดของความเมตตาจริงๆ คือรัก และให้อภัยได้ แม้กระทั่งศัตรู ถ้าเราเจริญเมตตาให้มากๆ จิตใจเรา ก็จะเป็นอย่างนี้ คือจะไม่มีความเคียดแค้น ไม่พยาบาทใคร และพร้อมที่จะให้อภัย กับคนทุกคน
    จิตแบบนี้ เป็นจิตที่เยือกเย็น และละเอียดอ่อน ท่านยังบอกอีกว่า ใครก็ตาม ที่เจริญเมตตา อยู่เป็นประจำ ผู้นั้น ย่อมได้รับอานิสงส์ ถึง 11 ประการด้วยกัน อาทิเช่น หลับก็เป็นสุข, ตื่นก็เป็นสุข, มีสีหน้าที่แจ่มใส, ไปไหนมาไหน มีเทวดาคอยตามอภิบารักษา , ไฟ ศัสตรา ยาพิษ ทำอันตรายไม่ได้ ฯลฯ เป็นต้น

    ตรงอานิสงส์ที่ว่า ไฟ ศัสตรา ยาพิษ ทำอันตรายไม่ได้ บางท่านอาจจะไม่เชื่อ ว่าจะเป็นไปได้ ก็ใคร่ขอยกตัวอย่างเรื่องจริง ของพระผู้ปฏิบัติดีรูปหนึ่ง คือ หลวงปู่พุทธบาทตากผ้า วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน หลวงปู่พุทธบาทตากผ้านั้น เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ไม่เคย แม้แต่จะดุใคร มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านออกธุดงค์ มีคนมาลองดีท่าน โดยแอบเอายาสั่งใส่น้ำ ถวายให้ท่านดื่ม ด้วยอยากจะลอง ว่าท่านเก่ง จริงหรือไม่ ขณะที่หลวงปู่ กำลังจะยกแก้วขึ้นดื่มนั้น ก็ปรากฎว่า แก้วได้แตกดัง เพล้ง ! โดยไม่มีสาเหตุ เล่นเอาคนที่แอบเอายาสั่งไปถวายท่าน ต้องก้มลงกราบ และขอขมาต่อท่านกันยกใหญ่

    ที่เป็นดังนี้ ก็คงเป็นด้วยอานิสงส์แห่งเมตตาที่ว่า ไฟ ศัสตรา ยาพิษ ทำอันตรายไม่ได้ หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเกิดขึ้น จากอำนาจของเทวดา ที่คอยตามอภิบาลรักษาท่าน เพราะความที่ท่านมีจิตเมตตาสูงนั่นเอง ผู้ที่มีจิตเมตตาสูงนั้น อย่าว่าแต่มนุษย์จะให้ความเคารพบูชาเลย ขนาดเทวดา หรือสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า ก็ยังให้ความเคารพ และคอยคุ้มครอง ให้ปราศจากภยันตราย และนี่ก็คือประจักษ์พยาน ที่แสดงให้เห็นว่า อานุภาพแห่งเมตตานั้น มีอยู่จริง

    ทีนี้มาถึงพรหมวิหารข้อที่ 2 คือ กรุณา ได้แก่ ความสงสาร
    ความสงสาร หรือกรุณานี้ ถ้าจะถามว่า ช่วยขจัดอารมณ์เศร้าหมองข้อใด ?
    ก็ต้องตอบว่า ขจัดความเศร้าหมอง ข้อ วิหิงสา คือการชอบเบียดเบียน รังแกคนอื่น สัตว์อื่น
    ใครก็ตาม ที่ไม่มีความสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ หรือต่อสัตว์อื่น ผู้นั้นก็พร้อมที่จะเบียดเบียนคนอื่นได้ตลอดเวลา ที่เป็นดังนี้ ก็เพราะขาดความสงสารตัวเดียว
    ถ้ามีความสงสาร อยู่ในใจแล้ว เราจะเบียดเบียนใครไม่ลง อย่างแน่นอน
    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงบอกว่า กรุณา ความสงสาร นี่แหละ คือตัวที่จะสังหาร วิหิงสา คือการเบียดเบียน ซึ่งถือว่า เป็นเครื่องเศร้าหมองทางใจอย่างหนึ่ง

    ทีนี้ พรหมวิหาร ข้อที่ 3 คือ มุทิตา
    มุทิตา ได้แก่ ความพลอยยินดี เมื่อเห็นคนอื่นได้ดี พอพูดแค่นี้ หลายท่าน ก็คงจะพอเดาออกว่า มุทิตา ความพลอยยินดี เมื่อเกิดขึ้นในใจใคร ความริษยา ก็ย่อมจะหมดไป จากใจของผู้นั้น มุทิตา ความพลอยยินดี กับความริษยา มันมีลักษณะ ที่ตรงกันข้าม เหมือนน้ำ กับไฟ ยามใด ที่มีมุทิตา ยามนั้น ริษยา ต้องไม่มีอยู่ในใจ แต่ถ้ายามใด ใจเต็มไปด้วยความริษยา เมื่อนั้น มุทิตา ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน

    อุเบกขา คือการวางเฉย
    การที่เราจะวางเฉยได้ นั่นก็เพราะ ได้มานึกถึงเรื่องกรรม ของแต่ละบุคคล ทางพระ ท่านก็บอกไว้แล้วว่า กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม คือใครทำกรรมอย่างใดไว้ ผู้นั้น ก็จะต้องเป็นผู้รับผล แห่งกรรมนั้น
    ใครก็ตามที่นึกถึงเรื่องกฎแห่งกรรมของแต่ละบุคคลบ่อยๆ คนประเภทนั้นจะเจริญอุเบกขา คือความวางเฉยได้ง่าย
    แต่สำหรับใครก็ตาม ที่ไม่นึกถึงเรื่องกฎแห่งกรรมเลย คนประเภทนั้น เวลามีเหตุการณ์อะไร เกิดขึ้น กับคนรอบข้าง ก็มักจะเป็นทุกข์ เป็นร้อน ทำใจไม่ได้

    ยกตัวอย่างเช่น ลูกหลานของเรา ถูกจับ ในคดียาเสพติด ถ้าเราเป็นผู้เจริญพรหมวิหารข้อนี้ คืออุเบกขาพรหมวิหาร เมื่อมาระลึกได้ว่า เราได้เคยห้ามปรามเขาแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ กลับไปพัวพัน เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด จนกระทั่งถูกจับ ก็ต้องวางเฉยให้เป็น นั่นถือว่า เขาสร้างกรรม ที่จะทำให้ถูกจับ ด้วยตนเอง ไม่มีใคร ไปทำเขา ใจเราก็จะเป็นปกติได้
    แต่ถ้าเรา ไม่นึกถึงเรื่อง กรรมใคร กรรมมัน มีแต่คิดว่า ลูกหลานของฉัน จะผิดไม่ได้ จะถูกจับไม่ได้ แล้วก็หาทางวิ่งเต้น เพื่อให้ลูกหลานของตน หลุดพ้นจากคดี อย่างนี้ซีครับ เป็นตัวอันตรายมาก

    สังคมทุกวันนี้ ที่มันวุ่นวาย เดือดร้อน กันไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักหย่อน ก็เพราะผู้ใหญ่ประเภทที่วางอุเบกขาไม่เป็นนี่เอง ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ปยุตโต ) ท่านเคยปรารภไว้ว่า คุณธรรม ในหมวดพรหมวิหารนั้น ที่ท่านต้องวางอุเบกขา ( ความวางเฉย ) ไว้กำกับ เป็นข้อสุดท้าย ก็เพื่อรักษาสภาพใจของผู้เจริญ ไม่ให้เป็นทุกข์ กับผลกรรม ที่คนรอบข้าง จะต้องได้รับ นั่นประการหนึ่ง

    และอีกประการหนึ่ง ก็คือ เพื่อรักษาความยุติธรรม ของสังคมเอาไว้ อีกทางหนึ่งด้วย บางท่านอาจจะสงสัย ว่าอุเบกขาพรหมวิหาร ช่วยรักษาความยุติธรรม ให้สังคม ได้อย่างไร ข้อนี้เห็นได้ไม่ยากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้เราไปดูกระบวนการยุติธรรม ของบ้านเมือง คนที่ทำผิดกฎหมาย คนนั้นก็ต้องได้รับโทษ ตามกระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าผู้ทำผิด จะเป็นใครก็ตาม

    แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ก็ยังมีบุคคลจำนวนไม่ใช่น้อย ที่พยายามหาทางหลบหลีก เพื่อให้พวกพ้องของตนเอง หลุดรอด จากการเอาผิดทางกฎหมาย เช่น พยายามหาทางวิ่งเต้น ติดสินบนเจ้าพนักงาน เพื่อให้พวกพ้องของตนเอง พ้นจากความผิด เป็นต้น โดยไม่สนใจว่า สิ่งที่ตนทำนั้น จะถูกต้องหรือไม่

    ถ้าบ้านเมืองเรา เป็นเสียอย่างนี้ ความยุติธรรม คงหาไม่ได้ในสังคม คนทำผิด ถ้ามีเงิน มีอำนาจ ก็พร้อมที่จะพลุดรอด จากการเอาผิดของกฎหมายได้ อย่างนี้ มันก็คงไม่ยุติธรรม
    สภาพของสังคม มันคงเป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าคนในสังคม ยังวางเฉยไม่เป็น เพราะไม่เคยนึกถึงเรื่อง กรรมใคร กรรรมมัน ท่องอยู่ได้แต่เพียงว่า ลูกฉัน หลานฉัน พรรคพวกฉัน จะผิดไม่ได้ จะถูกจับไม่ได้
    ฉะนั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว สภาพสังคมในปัจจุบันนี้ กำลังต้องการผู้ใหญ่ ที่มีใจเป็นอุเบกขา คือพร้อมที่จะวางเฉยได้ทันที ถ้าพบว่า ลูกตัว หลานตัว และพรรคพวกของตัว ทำผิดจริง จะไม่ปกป้องเอาไว้ ให้เสียความยุติธรรมของบ้านเมือง
    ท่านเห็นหรือยังล่ะครับ ว่า อุเบกขาพรหมวิหารนั้น ช่วยรักษาความยุติธรรมให้บ้านเมืองได้อย่างไร
    ทีนี้ มาพูดในแง่ ของการรักษาจิตใจ ของผู้เจริญอุเบกขาบ้าง ผู้ที่เจริญอุเบกขานั้น จะทำให้ มีความสุขใจ และมีความสบายใจ มากขึ้นกว่าเดิม

    แต่เดิม อาจจะเคยเป็นทุกข์เป็นร้อน กับเรื่องราวของบุคคลรอบตัว เช่นลูกบ้าง หลานบ้าง พรรคพวกบ้าง ที่ไปเที่ยวก่อกรรม ทำความผิดเอาไว้ อาศัยที่เรามีเมตตา คือรักเขามาก ก็เลยต้องทำ ทุกวิถีทาง เพื่อปกป้องเขา ให้พ้นผิด ในกรณีเช่นนี้ ท่านถือว่า ใช้เมตตา ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้อง คือ ถ้าเขาทำถูก เราใช้เมตตาได้….. แต่ถ้าเขาทำผิด เราต้องวางอุเบกขาเป็น อย่างนี้ต่างหาก จึงจะเป็นการสมควร และถูกต้องตามพุทธประสงค์ การที่เราจะวางอุเบกขาได้ ในกรณีเช่นนี้ เราต้องระลึก และยอมรับ ในเรื่องของกฎแห่งกรรมให้มากๆ ว่ากรรมใดก็ตาม ที่เรา หรือคนรอบตัวเรา ได้ทำไว้ ผู้ทำจะต้องเป็นผู้ได้รับผลทั้งสิ้น ในเมื่อกล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ จะปัดความผิด ไปให้คนอื่นรับแทน หาได้ไม่….ต้องทำใจให้ได้อย่างนี้ แล้วท่าน ก็จะวางเฉยได้ และใจท่าน ก็จะเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์ เหมือนแต่ก่อน

    โ ด ย : อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน
    Dhamma Department Store : Dhammathai.org
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมฐานของคนที่เกิดวันอาทิตย์

    ดาวอาทิตย์ ตามตำราโหราศาสตร์ ถ้าพูดถึงนิสัย ก็หมายถึง นิสัยที่เย่อหยิ่ง ค่อนข้างจะถือตัว เข้าทำนอง ฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้ ว่างั้นเถอะ และก็มีลักษณะใจร้อน คล้ายๆลักษณะของดวงอาทิตย์ คือชอบอะไรเร็วๆ ช้าไม่เป็น คนที่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ ถ้าอยากจะฝึกกรรมฐาน ก็ควรฝึกกรรมฐาน ดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. จตุธาตุววัตถาน คือการพิจารณาร่างกาย ให้เห็น เป็นแต่เพียงธาตุ ๔
    ๒. มรณัสสติ คือการนึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    ๓. พรหมวิหาร คือการแผ่ความรักความสงสารไปยังเพื่อนมนุษย์
    ๔. วิปัสสนากรรมฐาน

    ทำไมจึงแนะนำให้เจริญกรรมฐานทั้ง ๔ นี้ ?…. ก็เพื่อแก้นิสัยที่เป็นจุดอ่อน ดังต่อไปนี้

    - นิสัยเย่อหยิ่ง ถือตัว ต้องแก้ด้วย จตุธาตุววัตถาน, มรณัสสติ หรือ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นความจริงของร่างกาย จะได้คลายจากความถือตัวถือตนลง
    - นิสัยใจร้อน ต้องแก้ด้วยการเจริญพรหมวิหาร เพื่อทำจิตใจให้เย็นลง

    ทีนี้ ถ้าจะลงมือปฏิบัติล่ะ จะทำอย่างไร ? อย่างการเจริญ "จตุธาตุววัตถาน" ได้แก่การพิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เราก็ต้องแยกแยะเป็นว่าอะไรเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ธาตุดิน ก็ได้แก่ พวกที่เป็นของแข็ง… มีอะไรในร่างกายบ้างล่ะ ที่เป็นพวกของแข็ง ? ท่านลองนึกดู… ก็มีพวกโครงกระดูก, พวกเล็บ, พวกฟัน, พวกเอ็น ฯลฯ เป็นต้น ลองนึกดู ธาตุน้ำ ก็ได้แก่ พวกที่เป็นของเหลว… มีอะไรในร่างกาย บ้างล่ะ ที่เป็นพวกของเหลว ? ท่านลองนึกดูซิ… ก็มีพวกน้ำเลือด, น้ำลาย, น้ำปัสสาวะ ฯลฯ เป็นต้น ธาตุลม ก็ได้แก่พวกที่เป็นอากาศเคลื่อนไหว…..ที่เห็นได้ชัดก็คือลมหายใจ เข้าออก หรือที่ภาษาพระท่านเรียกว่า ลมอัสสาสะ - ปัสสาสะ นั่นแหละ และธาตุสุดท้าย คือ ธาตุไฟ ได้แก่ความอบอุ่น หรือถ้าจะพูดให้ทันสมัยหน่อย ก็คือ อุณหภูมิ ในร่างกายนี่เอง

    ถามว่า แยกแยะอย่างนี้แล้ว จะได้ประโยชน์อะไร? ได้ประโยชน์แน่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้เราได้เห็น ความจริงว่า ร่างกาย ที่เราเคยยึดมั่นถือมั่น โดยความเป็นตัวเราของเรานั้น ที่แท้ ก็เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ อย่าง มาประชุมกันขึ้นเท่านั้น มันไม่ได้มีความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แต่ประการใดเลย ในเมื่อมันไม่ได้มี ความเป็นตัวเป็นตนอย่างแท้จริง ควรแล้วหรือ ที่เราจะถือตัวในเมื่อตัวจริงๆ มันก็ไม่มีให้ยึดถือ มีแต่ธาตุ ๔ ที่รอเวลาเสื่อม รอเวลาสิ้นเท่านั้น…. แล้วเราจะถือตนถือตัวให้มันหนักใจไปทำไม ?

    เอ้า ! มาว่าถึงกรรมฐาน ที่จะช่วยละคลายความเย่อหยิ่ง ถือตัว อย่างที่ ๒ กันต่อดีกว่า นั่นก็คือ กรรมฐานที่ชื่อว่า "มรณัสสติ" มรณัสสติ ชื่อก็บอกแล้วว่า คงจะเกี่ยวกับความตายแหงๆ จริงอยู่ ! มรณัสสติ ถึงแม้จะเป็นการระลึก ถึงความตาย แต่ก็ไม่ใช่ระลึก เพื่อจะให้เราเกิดความหวาดกลัว แต่ระลึก เพื่อไม่ให้ประมาทต่างหากความตาย ทุกคนรู้ ว่าไม่มีใครหลีกพ้น แต่ทุกคนก็อดที่จะหวั่นหวาดเสียมิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่นึกถึงความตาย เอาเลย พอต้องเผชิญหน้ากับความตายเข้าจริงๆ ก็อดใจหายมิได้ ให้เรามานึกถึงความตาย ในแง่ของความเป็นจริงว่า คนเราเมื่อตายแล้ว ศักดิ์ศรีที่เคยมีทุกอย่าง มันก็หมดไปด้วย ต่อให้มีคนมาถ่มน้ำลายรดก็นอนให้เขา ถ่มเฉย แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก้อ ใครขืนมาทำอย่างนี้…..ฮึ่ม ! น่าดู ฉะนั้น การนึกถึงความตายหรือเจริญมรณัสสติบ่อยๆ มันก็ช่วยทำให้การถือตนถือตัวลดน้อยลงไปได้เหมือนกัน

    ต่อไป ก็เป็นกรรมฐานที่จะละคลายความถือตนถือตัว อย่างสุดท้าย และถือว่า เป็นสุดยอดของการละคลายกิเลส ในใจ นั่นก็คือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานเรื่องของการเจริญวิปัสสนา หลักใหญ่ๆ ก็อยู่ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะมี สติเห็นความจริง เพิกถอนสิ่งสมมุติ ( คือความเป็นสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา ) ออกจากใจเสียได้แล้วเข้าไปเห็น ความจริง คือความเป็น รูป และ นาม เท่านั้น แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อเห็นว่า ชีวิตของมนุษย์เรา มีแต่ธรรมชาติ ๒ อย่าง ที่เรียกว่า รูป และนาม แล้ว ก็จะต้องเห็นความจริงต่อไปว่า รูปและนามทั้งหลายเหล่านั้น ก็ล้วนมีความจริง อิงอาศัยอยู่… ความจริงที่ว่า ก็คือ ไตรลักษณ์ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง เมื่อเห็นรูปนาม โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยประจักษ์ชัดแล้ว มันก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ( นิพพิทา ) คลายความติดใจ ( วิราคะ ) และหลุดพ้น ( วิมุตติ ) จากการยึดมั่นถือมั่นในที่สุด… นี่แหละ คือสุดยอดอุบายวิธี ที่จะละความเย่อหยิ่งถือตัวล่ะ

    ทีนี้ มาพูดถึงกรรมฐานอีกข้อหนึ่ง ซึ่งจะช่วยละนิสัยใจร้อน นั่นก็คือการเจริญพรหมวิหาร การเจริญพรหมวิหาร ก็คือการแผ่ความรักและความสงสารไปยังเพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย วิธีแผ่ที่ง่าย และได้ผลก็คือ ถ้าใครมีครอบครัว และมีลูกแล้ว ก็ให้นึกถึงความรู้สึกที่รักลูก ว่าเป็นอย่างไร แล้วให้แผ่ความรู้สึกนั้น ไปยังคนอื่น สัตว์อื่น ให้มีความรักในบุคคลเหล่านั้น เหมือนกับเป็นญาติมิตร หรือลูกหลานของเราจริงๆ พูดง่ายๆ คือ พยายามทำความรู้สึกว่า ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ลูกหลานของเรา แต่ก็ให้รักเขา เสมือนเป็นลูก เป็นหลาน… นี่แหละ คือความรู้สึกที่เรียกว่า เมตตา… แผ่เมตา คือแผ่อย่างนี้ แต่ถ้าใครยังไม่มีครอบครัว นึกไม่ออก ว่าความรักลูก เป็นอย่างไร ก็ให้ใช้วิธี นึกถึงเด็กเล็กๆ ที่น่ารัก น่าเอ็นดู พอจะนึกออกไหมความรู้สึกที่รักเด็ก เอ็นดูเด็กเป็น อย่างไร นั่นแหละ ความรู้สึกที่เรียกว่าเมตตา ให้แผ่ความรู้สึกอย่างนั้น ไปยังคนรอบข้าง และสัตว์รอบข้าง และ พยายามนึกแผ่ออกไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้ นี่ก็เป็นการแผ่เมตตา อีกวิธีหนึ่ง การแผ่เมตตา โดยอุบาย ดังกล่าวนี้ จะช่วยทำให้ใจ ที่เคยร้อน มีความสงบเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนใจร้อน ควรลองทำดู

    โ ด ย : อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน
    Dhamma Department Store : Dhammathai.org
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมฐานของคนที่เกิดวันจันทร์

    ลักษณะของดาวจันทร์ ตามตำราของโหราศาสตร์นั้น บ่งบอก ถึงความอ่อนหวาน อ่อนโยน น่ารัก มีเสน่ห์ ขี้สงสารคน และเป็นคนเกิดความศรัทธา ในสิ่งต่างๆได้ง่าย คนที่มีศรัทธาง่าย อย่างคนที่เกิดวันจันทร์นี้ ถ้า หากจะเจริญกรรมฐาน ก็ใคร่ขอแนะนำให้เจริญกรรมฐาน หมวดอนุสติ คือการระลึกถึงคุณ ของสิ่งที่ดีงามเช่น
    ๑. พุทธานุสติ คือการนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
    ๒. ธัมมานุสติ คือนึกถึงคุณของพระธรรม
    ๓. สังฆานุสติ คือการนึกถึงคุณของพระอริยสงฆ์
    ๔. สีลานุสติ คือการนึกถึงคุณของศีล ที่ตนได้รักษา
    ๕. จาคานุสติ คือการนึกถึงคุณ แห่งทานบริจาค ที่ตัวได้กระทำเอาไว้
    ๖. เทวตานุสติ คือการนึกถึงคุณธรรม ที่ทำให้เป็นเทวดา

    อนุสติทั้ง ๖ ประการนี่แหละ คือกรรมฐานที่เหมาะ สำหรับคนวันจันทร์ ซึ่งเป็นคนที่มากด้วยศรัทธา คือ มากด้วยความเชื่อ จะพึงเจริญ เหตุที่ให้ใช้กรรมฐานทั้ง ๖ ก็เพราะว่า ความเชื่อ เป็นเรื่องของคุณธรรม แต่ใน ขณะเดียวกัน ก็ต้องประคองความเชื่อนั้น ให้อยู่ในทางที่ถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้น ความเชื่อ ก็อาจจะเป็นไปใน ทางที่ลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ ในเมื่อเป็นคนที่มีใจ น้อมไปทางด้านศรัทธาอยู่แล้ว กรรมฐานที่ใช้ ก็จึงควรเป็น กรรมฐาน ที่จะช่วยพยุงความเชื่อ ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องและดีงาม… ซึ่งไม่มีอะไรที่ดีกว่า อนุสติทั้ง ๖ ดังกล่าวแล้ว ทีนี้มาพูดถึงวิธีปฏิบัติ ในกรรมฐานทั้ง ๖ กันบ้าง

    กรรมฐานข้อแรก คือ พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า มีคุณความดีอย่างไร ที่น่า ประทับใจ ให้เรานึกดู

    ข้อแรกก็คือ พระองค์ไม่ติดในยศฐาบรรดาศักดิ์ และสิ่งสะดวกสบาย เหมือนที่คนทั้งหลายแสวงหากัน แต่ กลับเห็นความสำคัญของจิตใจ ยอมสละความสุขทางวัตถุ มาปฏิบัติธรรมเพื่อหาความสุขทางใจแทน จนได้ตรัสรู้และหลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้ว ก็ทรงใช้เวลาตลอดพระชนม์ชีพในการทำประโยชน์ โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีเงินเดือน และไม่มีโบนัสสวัสดิการใดๆทั้งสิ้น การทำงาน บางครั้งก็เสี่ยง ต่อภัยตราย เช่น ในคราวไปโปรดโจรองคุลิมาล เป็นต้น ประกันชีวิตก็ไม่มี แถมไปไหน ก็ไม่มีรถมาคอยรับส่งอีกต่างหาก แต่พระองค์ก็ทรงทำหน้าที่ โดยไม่ บกพร่อง ทำเกือบตลอด 24 ชั่วโมง เรียกว่า เป็นนักทำงานชั้นยอดก็ว่าได้ พระองค์จะทรงตื่น แต่เช้ามืด… เมื่อ ตื่นขึ้นมาแล้ว ก็จะทรงเข้าสมาบัติ ตรวจดูสัตว์โลก ว่าใครจะมีวาสนาบารมี ควรแก่การ ที่จะเสด็จไปโปรด พอตอนเช้า ก็เสด็จออกไปบิณฑบาต โปรดสัตว์โลก ผู้ต้องการทำบุญ พอตกเย็น ก็ทรงแสดงธรรม แก่ประชาชนย่ำค่ำ ทรงให้โอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ เที่ยงคืน ต้องตอบคำถาม ให้แก่เทวดา ที่มาถามปัญหา… กว่าจะเสร็จ ก็คงไม่ ต่ำกว่าตี ๒ หลังจากนั้น ก็ทรงบรรทม พอตี ๔ - ตี ๕ ทรงตื่น เข้าสมาบัติ ตรวจดูสัตว์โลกอีกแล้ว

    ดูเอาเถอะ พระองค์ทำงาน แทบไม่มีเวลาพักทีเดียว ทำอย่างนี้ ตลอด ๔๕ ปี ที่ทรงพระชนม์อยู่…. ใครจะ ทำได้ อย่างพระองค์ ด้วยคุณความดีดังกล่าวนี่แหละ เราชาวพุทธ จึงได้กราบพระองค์ อย่างสนิทใจ แม้พระองค์ จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไปถึงสองพันกว่าปีแล้วก็ตาม… และนี่ก็คือ คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ที่เราควรจะระลึกถึง เพื่อยังจิตใจเราให้สงบ และเกิดกำลังใจ

    ทีนี้มาถึงกรรมฐานข้อที่ ๒ ซึ่งเหมาะกับคนวันจันทร์ กรรมฐานที่ว่านั้น ก็คือ ธัมมานุสติ ได้แก่ การระลึกถึง คุณของพระธรรมคำสอนพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็คล้ายๆทำนบกั้นน้ำ คือเป็นสิ่งกั้นคนเรา ไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว เช่นโลกของอบายมุขต่างๆ คนมีธรรมะรักษาใจ และสนใจที่จะ ปฏิบัติธรรมทุกคน ไม่มีใครที่จะตกไปสู่ทางที่ชั่วได้เลย เนื่องจากธรรมะรักษาไว้นั่นเอง… และนี่ก็คือคุณงาม ความดี ของพระธรรมคำสอน ซึ่งเมื่อนึกแล้ว ก็จะช่วยทำให้ใจสงบได้อีกทางหนึ่ง จะพูดถึงกรรมฐาน ของคน วันจันทร์ ต่ออีกสักข้อ คงไม่ทันแล้ว เพราะเนื่องจากหน้ากระดาษหมดพอดี เอาไว้ตอนหน้าจะนำเรื่องกรรมฐาน ที่เหมาะสำหรับคนมาจันทร์ ในข้อที่ ๔ มาเสนอกับท่านผู้สนใจต่อไป ขอได้โปรดติดตาม


    กรรมฐานข้อที่ ๓ ซึ่งคนที่เกิดในวันจันทร์ ควรจะเจริญ นั่นก็คือ สังฆานุสติ
    "สังฆานุสติ" คือการนึกถึงคุณของพระอริยสงฆ์
    พระอริยสงฆ์ มีคุณความดีอย่างไรบ้างล่ะ ? ก็มีคุณความดีอยู่ ๔ ข้อ คือ
    ๑. สุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดี คือทำแต่ความดี พูดแต่ถ้อยคำที่ดี และคิดแต่ในทางที่ดี ไม่ทำร้ายใคร ไม่พูดจา ใส่ร้ายใคร และไม่คิดร้ายต่อใคร
    ๒. อุชุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง คือตรงต่อหน้าที่ และตรงต่อเพศภาวะ ไม่ประพฤติ ตน เป็นคนลวงโลก
    ๓. ญายปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตน เพื่อมุ่งออกจากทุกข์ และมุ่งทำจิตให้บริสุทธิ์ เป็นที่ตั้ง… ไม่ได้ปฏิบัติ เพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ประการใด
    ๔. สามีจิปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตนสมควรแก่การกราบไหว้ กล่าวคือ มีจิตใจในระดับสูง ที่ว่า มีจิตใจอยู่ใน ระดับสูงนั้น ก็คือ มีจิตใจสูงกว่าชาวบ้าน ชาวบ้านอยู่กันด้วยความโลภ คิดแต่จะกอบโกย ให้ได้มากๆ. แต่พระ ท่านกลับอยู่ อย่างเสียสละ และเป็นผู้ให้ชาวบ้านอยู่กันด้วยความโกรธ มีอะไรไม่พอใจขึ้นมา ก็พร้อมจะห้ำหั่น 1ประหัตประหาร กันได้ทันที…. แต่พระท่านกลับอยู่ด้วยเมตตา และพร้อมที่จะให้อภัยชาวบ้านอยู่กันด้วยความหลง ไอ้นั่นก็ของเรา ไอ้นี่ก็ของเรา…. แต่พระท่านกลับอยู่ ด้วยการปล่อยวาง สมบัติพัสถานทุกอย่าง สักแต่ว่าเป็นปัจจัย เครื่องอาศัยเท่านั้น การระลึก นึกถึงคุณความดี ของพระอริยสงฆ์ โดยนัยนี้แหละ ที่ท่านเรียกว่า เจริญสังฆานุสติ ซึ่งเป็นกรรมฐานข้อหนึ่ง ที่เหมาะสำหรับคนวันจันทร์จะเจริญ

    กรรมฐานข้อ ๔ ที่เหมาะกับจริตอัธยาศัยของคนที่เกิดวันจันทร์ นั่นก็คือ สีลานุสติ
    สีลานุสติ ก็คือการระลึก นึกถึงความบริสุทธิ์แห่งศีล ที่ตนได้รักษาคนใดก็ตาม ที่ได้สมาทานศีลจากพระ และพยายามตั้งใจรักษาศีล ให้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ให้ด่างพร้อย ย่อมจะได้รับอานิสงส์ ก็คือจะทำให้เกิดความอิ่มอกอิ่มใจทุกครั้ง เมื่อนึกถึงศีลด้วยเหตุนี้ การนึกถึงศีล ที่ตัวเองรักษา ได้อย่างบริสุทธิ์ ก็เป็นวิธี ที่จะช่วยทำให้จิตใจ เกิดความสงบได้ประการ หนึ่ง จึงจัดเป็นหนึ่ง ในบรรดาอารมณ์กรรมฐานและกรรมฐานข้อนี้ ก็เหมาะอย่างยิ่ง ถ้าคนที่เกิดวันจันทร์จะเจริญ

    กรรมฐานข้อ ๕ สำหรับคนที่เกิดวันจันทร์ ควรจะเลือกเจริญ นั่นก็คือ จาคานุสติ
    จาคานุสติ คืออะไร ?
    จาคานุสติ ก็คือ การนึกถึงทานบริจาค ที่เราได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว ว่า "โอหนอ เป็นบุญลาภของเราหนอ ที่ใจเรา ปราศจากความโลภ และความตระหนี่ และได้มีโอกาสสร้างความสุขอันประเสริฐ ให้เกิดขึ้นในใจตนเอง นั่นคือ ความสุข ที่เกิดจากการให้" ทานบริจาคอันใดก็ตาม ที่เราได้บริจาคไว้ดีแล้ว มิใช่จะก่อให้เกิดความสุขใจ เฉพาะ ตอนที่ให้เท่านั้น แม้แต่การให้ จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เมื่อเรามาระลึกถึงครั้งใด ความสุขใจ ความอิ่มใจ ก็จะเกิดขึ้น ทุกครั้ง ฉะนั้น จึงเป็นเรื่อง ที่ควรจะนึกถึงให้บ่อยๆ

    กรรมฐาน ข้อที่ ๖ ซึ่งเป็นข้อสุดท้าย ซึ่งเหมาะกับจริตอัธยาศัย ของคนที่เกิดวันจันทร์ ก็คือ เทวตานุสติเทวตานุสติ ก็คือการระลึก นึกถึงคุณธรรม ที่ทำให้คน เกิดเป็นเทวดา คุณธรรม ที่ว่านั้น ก็คือ

    หิริ = ความละอาย ต่อบาป และ
    โอตตัปปะ = ความเกรงกลัวต่อบาป

    คุณธรรมทั้ง ๒ ข้อนี้ ถ้าเราพิจารณาแล้ว เห็นว่า มีอยู่พร้อม ในใจ ของเราแล้ว ก็ให้พึงปีติใจเถอะว่า เหล่าเทวดา ไปเกิดในเทวโลก ด้วยคุณธรรมใด คุณธรรมนั้น ก็มีพร้อมอยู่ในใจ ของเราแล้ว ฉะนั้น เทวโลก ย่อมเป็นที่ไป สำหรับเรา อย่างแน่นอน… นี่คือการเจริญเทวตานุสติ และทั้งหมดนี้ ก็คือกรรมฐาน ๖ อย่าง ที่คนเกิดวันจันทร์ ควรจะเจริญ เพื่อเป็นเครื่องเสริมสร้างศรัทธา ซึ่งมีอยู่แล้ว ให้เป็นไป ในทางที่ถูกต้องและดีงามคือในเมื่อจะเชื่อ ก็ควรเชื่อในคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริย-สงฆ์ เชื่อในคุณของทาน คุณของศีล ที่มีอยู่ในตน และเชื่อในคุณธรรม ที่ทำคน ให้เป็นเทวดาเพียงเท่านี้ ก็เป็นการเสริมส่งความเชื่อ ให้เป็นไปในทางที่ดีงามแล้ว

    โ ด ย : อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน
    Dhamma Department Store : Dhammathai.org
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมฐานของคนที่เกิดวันอังคาร

    ก่อนที่จะไปพูดถึงกรรมฐานที่เหมาะกับคนเกิดวันอังคาร เราควรจะได้รู้จักนิสัยใจคอของคนที่เกิดวันอังคารซะก่อนคนที่เกิดวันอังคารนั้น ท่านผู้รู้บอกว่า นิสัยแมวเป็นอย่างไร คนที่เกิดวันอังคาร ก็มีนิสัยดุจเดียวกันอย่างนั้นตามธรรมดา ธรรมชาติของแมว ไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็ตาม ท่านลองดูก็ได้ ถ้าท่านดึงมันมาทางซ้าย มันก็พยายาม จะไปทางขวา ถ้าดึงมาทางขวา มันก็ต้องพยายาม ไปในทิศทางตรงกันข้าม คือทางซ้ายให้จงได้หรือไม่เช่นนั้น ลองดึงมาข้างหลัง มันก็พยายาม จะรั้นไปข้างหน้า พูดง่ายๆ คือขอให้ได้ทำ ตรงกันข้าม ก็แล้วกัน…. ทำแล้วสบายใจท่านสังเกตดูเถอะ ถ้าคนในครอบครัวท่าน มีใครก็ตาม เกิดวันอังคาร ท่านลองสังเกตพฤติกรรมของเขาดู ดูๆไป ก็คล้ายๆคนขวางโลก ยังไงยังงั้น ไม่ค่อยสนใจคำสั่งสอนของคนอื่น เชื่อตัวเอง จนกระทั่งบางครั้ง ก็กลายเป็นความดื้อรั้น ทำให้คนรอบข้าง เกิดความเอือมระอาไปตามๆกันฉะนั้น ถ้าใครมีลูกเต้าเกิดวันอังคาร หรือมีลูกน้องเกิดวันอังคาร ก็อยากจะแนะเทคนิคการปกครอง กันไว้สักนิด

    คนวันอังคารนี้ ปกติจะเป็นคนดื้อ ถึงแม้จะไม่ใช่ดื้อเปิดเผย แต่ก็เป็นประเภทดื้อเงียบ คือจะว่ายังไง ว่าไปเถอะ คนประเภทนี้ ไม่เถียง แต่ก็ไม่ทำ ในเมื่อเรารู้นิสัยเขาอย่างนี้แล้ว เราอยากจะให้เขาทำยังไง ก็ลองบอกให้เขาทำ ในสิ่งที่ตรงกันข้ามดูซิเช่น คนวันอังคาร ที่ยังอยู่ในวัยเรียน ถ้าเราอยากจะให้เขาอ่านหนังสือ เพื่อเตรียมสอบ ก็ให้ลองพูด ในทางตรงกันข้าม ว่าใกล้สอบแล้ว ไม่ต้องอ่านหนังสือ ก็น่าจะได้กระมัง เขาก็จะบอกขึ้นมาทันทีว่า ไม่ได้หรอก ใกล้สอบแล้ว ต้องอ่าน ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวสอบไม่ผ่านแต่ถ้าเราบอกว่า ใกล้สอบแล้ว ให้ไปอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้เขาก็จะพูดเบี่ยงบ่าย ว่ายังไม่ต้องรีบหรอก ยังมีเวลา อะไรประมาณนั้นคือขอให้ได้ทำ ในสิ่งที่ตรงกันข้าม กับคนอื่นพูด ก็แล้วกัน… นี่คือคนเกิดวันอังคาร

    นอกจากนั้น ตำราทางโหราศาสตร์ ยังได้แสดงลักษณะนิสัย ของดาวอังคารไว้ว่า มีทั้งส่วนดี และส่วนเสียส่วนดีของดาวอังคาร คือความกล้า และความขยันขันแข็ง แต่ส่วนเสีย ก็คือ ความเป็นคนเลือดร้อน หงุดหงิดง่าย และพร้อมที่จะทะเลาะได้ทุกเมื่อนิสัยอันใดดีแล้ว ก็ไม่ต้องแก้ แต่ส่วนใดที่ไม่ค่อยดี ก็ควรแก้ โดยการใช้กรรมฐาน


    กรรมฐานสำหรับคนเกิดวันอังคาร
    ในเมื่อนิสัยส่วนเสีย ของคนที่เกิดวันอังคาร คือความเป็นคนเลือดร้อน หงุดหงิดง่าย กรรมฐานที่ใช้ จึงควรเป็นกรรมฐาน ที่จะช่วยทำใจให้สงบเย็นกรรมฐานที่ว่านั้น คงไม่มีกรรมฐานหมวดใด ดีเท่ากับ กรรมฐานในหมวดของ พรหม-วิหารพรหมวิหาร 4 คือการแผ่ความรู้สึกที่ดี 4 อย่าง ออกไปรอบๆตัว จนกระทั่งจิตใจเกิดความสงบ และเยือกเย็น ด้วยคุณธรรม ดังกล่าวนั้นความรู้สึกที่ดี 4 อย่างนั้น มีอะไรบ้างล่ะ ?

    ความรู้สึกที่ดีอย่างแรก ก็คือ เมตตา ได้แก่ ความรัก ความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเห็นว่า เพื่อนมนุษย์ทุกคน ล้วนเต็มไปด้วยทุกข์ กันคนละมากๆ ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรเบียดเบียนกัน ไม่ควรทำร้ายกัน ควรรัก และควรปรารถนาดีต่อกันให้มากๆ… นี่คือการแผ่เมตตา ซึ่งเป็นพรหมวิหารข้อแรก

    ทีนี้ ความรู้สึกที่ดี อย่างที่สอง ก็คือ กรุณา ได้แก่ความสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ เห็นใครทุกข์ยาก ก็อดที่จะสงสาร และคิดช่วยเหลือมิได้… นี่คือการแผ่กรุณา ซึ่งเป็นพรหมวิหาร ข้อที่ 2

    ความรู้สึกที่ดี อย่างที่สาม ก็คือ มุทิตา ได้แก่ ความพลอยยินดี เมื่อเห็นคนอื่น ได้ดีมีสุข ความรู้สึกในข้อนี้ จะช่วยจัด ความอิจฉาริษยาได้อย่างมาก ฉะนั้น ถ้าใครรู้ตัวว่า มีความอิจฉาริษยาในใจมาก ก็ควรเจริญมุทิตาให้มากๆ เวลาเห็นใครได้ดีมีสุข ก็ให้นึกในใจว่า ดีแล้วล่ะ ขอให้มีความสุขความเจริญ ยิ่งๆขึ้นไปเถิด แล้วจิตใจเราจะสงบเยือกเย็น จากแรงริษยา… นี่คือการแผ่มุทิตา ซึ่งเป็นพรหมวิหารข้อที่ 3

    ทีนี้ มาถึงข้อสุดท้าย คือ อุเบกขา ได้แก่ความวางเฉย เรื่องของการแผ่อุเบกขา การที่ท่านวางไว้เป็นข้อสุดท้าย ก็เพื่อเป็นคุณธรรม ที่จะช่วยกั้นใจเรา ไม่ให้เป็นทุกข์ กับเรื่องราวของคนอื่น มากจนเกินไป โดยให้คิดถึงเรื่องกฎแห่งกรรมให้มาก ว่าแต่ละคน ล้วนมีกรรมเป็นของๆตน และเป็นไปตามกรรม ที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ทั้งสิ้น

    ฉะนั้น ในเมื่อเราใช้เมตตาต่อคนอื่น อย่างถึงที่สุดแล้ว ยังช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็ต้องนึกถึงเรื่องกรรม แล้วางอุเบกขาซะ ใจเราก็จะสงบเย็นลงได้และทั้งหมดนี้ ก็คือกรรมฐาน ที่เหมาะสำหรับคนเกิดวันอังคารจะพึงเจริญ

    โ ด ย : อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน
    Dhamma Department Store : Dhammathai.org
     
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    รอ ..บทวิเคราะห์กรรมฐานของคนที่เกิดวันอังคาร ...ในที่สุดก็มาซะที

    อนุโมทนาน้ำใจแม่ต้อย ที่ขยันสรรหานำบทความดีๆมาลงอยู่เรื่อยๆ
     
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เล่าได้ครึกครื้นดีครับชอบ!..สาวน้อยผจญภัยในโลกกว้าง

    ขอตั้งข้อสงสัยนิดหนึ่ง ถึงรูปถ่ายทั้ง4ภาพ ที่นำมาลงแนบ
    บรรยากาศในสถานที่.....2 ภาพ.... เข้าใจ
    ข้าวต้มอาหารธัญพืช..1 ภาพ....เข้าใจ
    แต่ ไอ้ภาพรองเท้าแตะสีชมพู 1คู่.....นี่ไม่เข้าใจ

    มันเกี่ยวอะไรกับข้าวต้มธัญพืชหรือเปล่า?
    หรือชะรอยว่า..สวมรองเท้านี่แล้ว ช่วยทำให้ทานอาหาร..อร่อยขึ้น?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  7. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    กรี๊สสสส!!เย้ๆๆๆ ในที่สุดท่านประธานครอบครัวก้อปรากฏกายซะที

    ไม่ได้อ่านข้อความหยิกนิดสะกิดหน่อย พาลจะกินข้าวจานเดียวไม่อร่อยเร้ยย

    รองเท้าแตะสีชมพู เป็นตัวแทนของการเดินทางครั้งนี้
    คู่เดียวไปโลด เหยียบย่ำไปกลับก้อหลายร้อยกิโลไม่รวมน้ำหนักพุงนะเอ้ออ

    ไปคนเดียวคู่เดียว จะถ่ายมาให้เห็นข้างเดียวก้อใช่ที่ อิอิ ^_^ :z6
     
  8. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    หลายจิตวิญญาณ ท่านเริ่มปักเขตบุญ เฉพาะส่วนแล้ว

    ส่วนภัยอันตรายแก่ชนทั้งหลาย... ว่ากันตามวาสนา

    ไม่คัดค้าน....ไม่ต่อต้านกล่าวร้ายใคร ไม่สนแรงเสียสี

    ไม่ต้องมาต้านเรื่องบริจาค หวังแฝงประโยชน์จากใครทั้งสิ้น แล้วอย่าคิดว่าใครจะเข้าเขตบุญเขาได้ง่ายๆ

    เพราะเขาไม่ขอใคร..เลี้ยงตนได้ มีพื้นที่จิตให้ตนเองแล้ว

    ถือว่าจบ..

    คนหยาบ กิเลสมาก ..ผู้มักเบียดเบียน

    ขอที่นี้...อย่าได้ช่องแก่หมู่มารเทอญ

    กินผัก.รักษาศีล บำเพ็ญจิตไปตามเรื่อง

    ====

    ต้องบอกว่าขณะที่เขียนบทความนี้..รู้สึกเบื่อๆเนือยๆ แบบที่ แม่ต้อย Supatorn บอกจริงๆ..

    เพียงอยากสื่อสารถึงว่า...
    กลุ่มลูกคณะศิษย์บางส่วน ที่เชื่อคำทำนายของหลวงปู่ประเสริฐ ได้ร่วมกันสรรหาพื้นที่ว่างเปล่า..เพื่อเตรียมเป็นที่พักอาศัย โดยมีแนวทางคัดเลือกผู้ที่เข้ามา ต้องทานมังสวิรัติ ปฏิบัติธรรม รักษาศีล สัมผัสคัดเลือกกลุ่มชนเข้ามาทางจิตวิญาณ ไม่หวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ ไม่มีการโฆษณาผ่านสื่อใดนอกจาก บอกเล่ากันในกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม
    เป็นลักษณะ เขตชุมชนพึ่งพากัน ขนาดย่อมๆขึ้นมา..แบบซุ่มเงียบในเบื้องต้นแล้ว

    เพื่อเตรียมชำระล้างจิตวิญญาณ รองรับการปฏิวัติพลังงานทางจิตวิญาณให้สูงขึ้น ที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นหลังเกิดภัยพิบัติใหญ่..ตามคำทำนายของหลวงปู่ประเสริฐ

    และปัจจุบันชุดคณะดังกล่าว ยังคงปฏิบัติธรรม มีการทำพิธีกรรมบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และติดต่อสื่อสารทางจิตขอคำแนะนำต่างๆกับหลวงปู่ประเสริฐอยู่
    (ปัจจุบันละสังขารแล้ว และนำไปบรรจุไว้ในโลงแก้ว..ยังสถานที่แห่งหนึ่ง)

    คณะดังกล่าวมีจากทั่วสารทิศทั่วไทย หลายจังหวัดทั่วไทย
    คนเหล่านี้ มีนัดกันหนึ่งครั้งทุกเดือนตามปฏิทินจันทรคติ
    บรรยากาศในระหว่างประกอบพิธีกรรมเงียบกริบ ตามจุดต่างๆหลายจุด
    ทุกคนงดทานเนื้อสัตว์ แต่งกายชุดขาวล้วน เรียบง่าย งดการสนทนา ต่างจากงานบวงสรวงของที่อื่นโดยสิ้นเชิง เว้นแต่เสียงผู้นำประกอบพิธีเท่านั้น

    บังเอิญได้สนทนากับชายสูงอายุท่านหนึ่ง..ที่นั่งรอกลุ่มชนที่ประกอบพิธีรออยู่วิหารศรีเมตไตย เพราะเดินตามกลุ่มคณะหนุ่มสาวเดินบวงสรวงหลายจุดไม่ไหว

    ....เพียงพูดคุยไม่กี่คำ ท่านผู้นี้ก็ทำนายทักทายเรื่องของพระภิกษุที่มีอาการป่วยอยู่ภายใน ที่เป็นเพื่อนกับToplus99 ที่ไปด้วยกันครั้งนั้นให้อึ้ง..ไปเลย
    แสดงถึงภูมิธรรมที่ไม่ธรรมดาที่ซ่อนไว้ในตัวชายชราชุดขาวนี้ซะแล้ว

    "มีอีกหลายอย่าง ที่พวกคุณอยากรู้หรือถามผมมา..
    ต้องรู้ผ่านจากการสัมผัสญาณกับหลวงปู่ประเสริฐเอง ผมเปิดเผยมากไม่ได้..ท่านไม่อนุญาต
    ....ใครมีตาทิพย์ มีญาณสัมผัสดีๆ ก็จะรู้ว่าท่านก็ยังอยู่ที่เดิม...เดินไปโน่นนี่อยู่ เหมือนเดิม
    เพียงแต่..ไม่มีสังขารกายหยาบให้เห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง."

    ชายคนดังกล่าว..พูดว่างั้น

    จากการเข้าถ้ำปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา..พระอาจารย์ถ้ำ ท่านก็ย้ำอีกว่า
    คำทำนายของทั้งปู่อินทร์ ตาทิพย์ และหลวงปู่ประเสริฐ จะประมาทไม่ได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ทุกข์เพราะรัก ความรัก หรือ กรรม ทำให้คนตาบอด

    เคยถามตัวเองไหมว่า “ทำไมฉันจึงรักเธอ” เมื่อเริ่มต้นรู้สึกว่ารักใครสักคนหนึ่ง บางครั้งมันอาจเป็นรักแรกพบ บางครั้งมันอาจจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีก็รักเขาเข้าแล้ว

    ในยามที่เรามีความสุขเราอาจไม่สนใจอยากหาคำตอบมากมายว่า“ทำไมฉันจึงรักเธอ”เพราะเมื่อใดที่เรามีความสุขโดยมากเรารู้สึกพอใจความรู้สึกพอทำให้ไม่ได้คิดค้นอยากหาข้อเสีย หรือคิดคำถามให้ต้องหาคำตอบ

    แต่เมื่อเวลาที่เราทุกข์ ที่เราเสียใจ บางคนก็อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ทำไมฉันจึงรักเธอหรือฉันรักเธอไปได้ยังไง(เนี่ย!) เพราะเธอนั้น หน้าตาก็ไม่หล่อเหมือนเคนธีรเดชไม่ได้รวยเหมือนบิลเกตส์ แถมยังช่างใจร้ายใจดำ ทำกันได้ลง และอื่นๆ.... (มากมายแล้วแต่ว่าอะไรจะผุดขึ้นมาในหัวเวลาโกรธ) แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดี ^^

    ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อว่าอะไรใดๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ การที่เราจะได้เป็นคู่รัก และครองคู่กับใครนั้นย่อมมีเหตุ

    “เหตุที่ทำให้เรามีคู่ก็มาจากกรรมเก่าที่เคยร่วมทำกันมา และจะคบหายืนยาวอยู่ได้ด้วยร้ายด้วยดีต่อๆไปนั้น มาจากกรรมที่ทำเอาไว้ในปัจจุบัน กล่าวกันง่ายๆ คือ จะคบแล้วมีความสุข หรือทุกข์ เป็นผลของกรรมซึ่งสะท้อนสิ่งที่ผู้รับผลนั้นกระทำมาก่อนทั้งอดีตชาติ และชาติปัจจุบันทั้งสิ้น”

    ดังนั้นหากมีความทุกข์จากรักขึ้นมา ถ้าจะถามว่าทำไมเราต้องมาทุกข์ใจกับคนๆนี้ ก็ต้องตอบว่ามันเป็นผลมาจากกรรมที่คนทั้งสองได้ทำร่วมกัน และที่เราทำมา กรรมเก่าพาเราลงมาติดกับ

    “กรรมมันเริ่มส่งผลตั้งแต่วันแรกที่ใจคุณเข้าไปผูกกับเขา กรรมส่งผลที่ใจให้มารัก ให้มาหลง บังตาไว้ไม่ให้เห็นความสมเหตุสมผลทั้งหลาย หรือรู้ทั้งรู้ก็ยังรัก ถูกดูดเข้าไปใช้กรรม”

    “ที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดต้องกล่าวให้เป็นธรรมขึ้นว่า ‘กรรมบังตา’ คือกรรมบังคับใจให้ไปรู้สึกติดใจ ชอบ ใช่ รัก ผูกพันกับคนที่จะนำเราไปรับผลที่เราเคยก่อไว้ทั้งดีและร้ายนั่นเอง”

    เริ่มตั้งแต่ต้นที่จะรู้สึกดีกับใคร ก็กรรมกำหนด ที่จะไปได้เจอกันในเวลาที่แสนจะพอดีอย่างไรก็กรรมกำหนด กรรมจัดฉากไว้ให้ต้องไปเจอ และรู้สึกไปอย่างนั้น จนกระทั่งจิตส่งออก ทะยานออกไปเกาะเกี่ยวยึดไว้ หลงไปยึดเอาว่าของเรา คนของเรา ไปแปะป้ายว่า นี่เป็นคนที่เราต้องการ นี่เป็นแฟนเรา ต้องดีกับเรา ห้ามไปดีกับคนอื่น พอเชื่อใจ คลายความคลางแคลง มั่นใจว่าใช่แน่ๆ มอบทุกอย่างให้หมด อาจจะแต่งหรือไม่แต่งก็สุดแท้แต่ ก็จะถึงเวลาที่ของจริงส่งผล แสดงตัวจริงของจริงให้เห็น ใจก็ “จี๊ด” ขึ้นมาจนกระทั่งต้องไปถาม อาจจะเริ่มด้วยการถามเพื่อน หรือไม่ก็ไปถามเจ้าคู่กรณี ว่าเดิมไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ที่รับปากไว้ ที่สัญญาไว้ ทำไมไม่ทำ ปรับโทษ อาละวาด ตีโพยตีพาย

    กรรมทั้งนั้น……

    ซึ่งไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้ายังมีความเห็นยึดมั่นว่า ความรู้สึกเป็นเรา ความคิดนี้เป็นของเรา ก็จะเชื่อความรู้สึกและความคิด โดยจะหลง คิดไปเองแต่แรกว่าเขาคนนั้นต้องดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือมีใจพร้อมจะเชื่อไปก่อนอยู่แล้ว พอเขาพูดโน่นพูดนี่นิดหน่อยก็ทึกทักเอาเองว่าต้องใช่อย่างนั้น(อย่างที่ใจขอมา)แน่นอน เราจึงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ เป็นคู่ มีความสัมพันธ์ หลงรักคนที่ในอนาคตต่อไปจะรานน้ำใจเราซึ่งเป็นผลจากการที่เราเชื่อความรู้สึกและความคิด (ไปเอง) “ของเรา” ที่กรรมส่งมาจนในที่สุดมาพบความจริงว่า เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เป็นเราที่เข้าใจผิดไปเชื่อใจที่สั่งมาเอง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น แทนที่จะรู้ตัว เห็นตามจริงว่าเป็นเราที่คิดไปเอง ก็กลายเป็นโทษกันระหว่างสองฝ่ายไปแทนว่าไม่รักษาสัจจะวาจาที่เคยมีให้กันสมัยความหลงยังครอบงำอยู่ และสร้างกรรมใหม่ต่อกันไปเสียอีกโดยไม่ได้ใช้หนี้กรรมเก่าเลย

    อธิบายเป็นกงกรรมกงเกวียน หรือกฎแห่งกรรมก็คือ กรรมเก่าของเรา กรรมใหม่ของเขา มันเป็นวงจร เพราะกรรม (๑) ที่เราเคยทำไว้ส่งผลให้เรามาเจอกับคนที่มีอนุสัย(นิสัย)แบบนี้เพื่อส่งผลทางใจให้เขาทำกรรม (๒) กับเรา (ตามที่เราเคยทำกับคนอื่นให้ทุกข์แบบนั้น) ซึ่งคนที่ก่อกรรม (๒) กับเราก็จะต้องไปรับผลที่ทำกรรม (๒) โดยไปเจอกับคนที่ก่อกรรม (๓) และทอดต่อๆ สืบกรรมกันไปเป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจบ วนไปวนมาอย่างนี้และซับซ้อนยิ่งๆขึ้น การตัดวงจรก็ควรตัดที่ส่วนของเราให้ได้ก่อน เป็นการชิงออกจากเกมงูกินหาง โดยกรรมจะหมดช้าจะหมดเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับที่แต่ละคนสะสมไว้

    กฎแห่งกรรมนั้นไม่เคยไม่เที่ยงตรง สร้างเหตุไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้นแน่นอน ที่จะไม่ยอมรับเพราะบอกว่าเราดีกับเขา แต่เขาไม่ดีกับเรานั้นจึงเป็นการเข้าใจผิดของเราเองที่ว่า เราทำกรรมกับคนนี้อย่างไร คนนี้จะต้องทำกรรมแบบเดียวกันกับเราคืนมาเป๊ะๆเดี๋ยวนี้ตอนนี้ (ลองคิดง่ายๆว่าเราดีกับทุกๆคนที่เข้ามาดีกับเรา ตอบแทนเขาได้เท่าที่เขาทำให้เราหรือเปล่า) เช่น เราคิดว่าเราดีกับแฟนคนนี้ แฟนคนนี้ก็ต้องดีกับเรา จึงจะเรียกได้ว่า ทำดีได้ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “กรรมจะเลือกจัดสรรให้เราได้รับผลทั้งร้ายและดีที่เราเคยทำไว้แน่นอน แต่ไม่จำเป็นต้องได้รับตอบจากคนๆ เดิมที่เราเคยทำเสมอไป”

    เช่นกรรมที่เราเคยทำไว้กับพ่อแม่ อาจจะเคยพูดไม่ดีกับท่าน ทำให้ท่านเสียใจ เราก็อาจได้รับผลนี้จากแฟน จากเพื่อนที่ทำงาน และคนอื่นๆได้ เพราะเราไม่เคยแคร์พ่อแม่ เราจึงพูดไม่ดีกับท่าน และเพราะว่าเราไม่แคร์ท่าน ดังนั้นถ้าท่านพูดไม่ดีกับเรา เราก็อาจจะไม่รู้สึกเจ็บช้ำแบบเดียวกัน กรรมจึงจะจัดสรรให้เราพบ เราเจอ เรายึด เรารักคนๆใหม่ ที่จะสามารถดึงดูดให้เราต้องทุกข์ แบบเดียวกับที่พ่อแม่ทุกข์มากเพราะรัก เพราะยึดเรามาก

    ดังนั้นเวลาจะกล่าวอ้างถึงกฎแห่งกรรมนี้ ก็ต้องใช้กับทั้งสองข้าง อย่าใช้ข้างเดียว อย่างที่มักจะได้ยินใครหลายคนพูดกันเป็นประจำ เวลาเผชิญกับคนไม่ดีที่มาทำสิ่งที่เขาไม่ชอบใจว่า“เดี๋ยวมันก็เห็น ว่ากรรมมีจริง” หรือ “ทำกับเราอย่างนี้ เดี๋ยวกรรมก็สนองเข้าให้บ้าง” นี่คือการเข้าใจข้างเดียวเพราะถ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้และมองอย่างเป็นกลางจะรู้ว่า กฎแห่งกรรมได้ให้ผลกับคนที่กล่าวเช่นนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



    ปลดทุกข์

    พุทธศาสนาสอนในเรื่องเหตุและผล ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การที่เราได้หรือเผชิญอะไรอยู่นั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผลจากกรรมที่เราทำมาทั้งสิ้น อธิบายให้เข้าใจเรื่องกรรม กรรมคือการกระทำโดยเจตนาที่เราทำไปแล้ว ซึ่งจะมีผลตามมาเสมอ โดยกรรมจะส่งผลตรงมาที่ความรู้สึก
    เมื่อกรรมส่งผล กรรมอาจจะชักจูงให้เราไปอยู่ในสถานการณ์คล้ายหรือต่างกัน แต่ความรู้สึกที่เรารู้สึกจะเหมือนกันกับที่เราเคยทำไว้กับคนอื่นไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นหากอยากรู้ว่าไปทำกรรมอะไรจึงต้องมารู้สึกแบบนี้ก็ไม่ต้องไปถามใครที่ไหน ให้ดูเข้ามาข้างในใจ ที่ความรู้สึกที่ปรากฎอยู่ เพราะเหตุและผลของกรรมส่งมาที่กายและใจเราทั้งหมดแล้ว

    เมื่อมีทุกข์ก็ให้ดูไปตรงๆที่ความรู้สึกที่ปรากฎทุกครั้งที่ระลึกถึงเรื่องนั้นๆ รูปแบบของกรรมที่เราทำไว้ ผู้ถูกกระทำในอดีตก็รู้สึกอย่างเดียวกับที่คุณรู้สึกอยู่นี้ ถ้าเรารู้สึกไม่เป็นกลางต่อเรื่องใดๆ หรือเรียกได้ว่ายิ่ง “จี๊ด” มากเท่าไหร่ ก็เป็นตัวสะท้อนถึงระดับความรุนแรงของเหตุที่เราเคยได้สร้างไว้นั่นเอง

    ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ก็ต้องลงมือปรับเปลี่ยนใหม่ที่ตนเอง โดยต้องเข้าใจกฎของธรรมชาติก่อนว่า เราไม่สามารถย้อนอดีตไปแก้ไขเรื่องที่ผ่าน หรือกรรมที่ทำไปแล้วได้ เราจึงหลีกเลี่ยงการที่จะได้รับผลนี้ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลของกรรมได้ แต่เราสามารถเลือกกระทำกรรมที่จะส่งผลให้เรามีทุกข์ทางใจน้อยลงเมื่อวิบากส่งผล และสามารถเลือกสร้างเหตุที่จะทำให้ไม่ต้องเจอความทุกข์แบบนี้อีกตลอดไปได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนที่วิธีคิดอันมาจากมุมมองหรือจุดยืน เพราะทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ การจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องแก้ที่ใจล้วนๆ และต้องแก้ให้ถูกด้วยวิธีการดังนี้คือ

    ข้อแรก แก้ให้ถูกตัว คือ แก้ที่ตัวเราใจเราแทนที่จะโทษคนอื่น หรือพยายามไปเปลี่ยนที่คนอื่น เช่น เปลี่ยนให้เขาทำตามอย่างที่เราหวังให้เป็น ให้คนอื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น ก็ให้กลับมาเปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อน ด้วยเหตุว่า เราต้องการแก้ปัญหาความทุกข์ของเรา เราจะรู้สึกทุกข์ รู้สึกแย่อย่างไร ก็ด้วยกรรมที่เราเคยมีเจตนาทำให้ผู้อื่นรู้สึกอย่างนั้น กรรมของใครก็ของคนนั้น ความทุกข์ของเรามันมาจากกรรมเก่าของเรา แทนที่จะไปเปลี่ยนแปลงการกระทำคนอื่นในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเขายอมเปลี่ยน เขาต่างหากที่จะเป็นผู้ได้รับผลในอนาคต แต่ถ้าเรายังใช้กรรมในส่วนของเราไม่หมด ก็เหมือนเรายังต้องเป็นทุกข์เพราะมีหนี้ หนี้ที่ยังไม่ใช้ ถ้าไม่สำนึกเราก็จะต้องไปรับผลของกรรมในอดีตจากคนอื่นๆในอนาคตอยู่ดี

    การหลุดออกจากทุกข์ได้ จึงไม่ได้ทำได้ด้วยการต่อว่าบีบบังคับให้ใครเปลี่ยน หรือการหนี แต่หลุดได้ด้วยการยอมรับความจริงคือ ยอมรับในสิ่งที่กรรมจัดสรรมาให้ เราทำมาแค่ ๓ เราก็ต้องได้แค่ ๓ ถ้าทำมาแค่ ๓ แต่อยากได้เกินกว่านั้นเป็น ๔ เป็น ๙ ก็คงต้องทุกข์อย่างแน่นอนเพราะไม่มีทางที่จะได้เกินกว่า ๓ ตามที่สร้างเอาไว้ “ถ้าอยากได้ผลอย่างไรก็ต้องสร้างเหตุใหม่อย่างเดียวกันนั้น ด้วยการแก้ที่นิสัยของเรา”

    อ่านอย่างนี้หลายคนอาจเกิดความสงสัยอย่างหนักว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำนะ มีคนมาทำไม่ดีกับเรา แล้วเราจะแก้ตัวเองแบบไหนล่ะ?

    คำตอบนี้นำไปสู่วิธีแก้ข้อ ๒ คือ แก้ให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่ ใส่ยาให้ถูกแผล เป็นไปตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เราเจออะไรซ้ำๆ เพราะเราทำ ในการกระทำกรรมแต่ละครั้ง เมื่อเราทำเราก็จะมีอนุสัย (นิสัย) หรือสันดานนั้นๆ ฝังอยู่ในใจ เช่น แรกๆเราเป็นคนใจเย็น แต่พอโตขึ้นเรามีปัญหาเข้ามาหลายอย่าง เราก็เริ่มหงุดหงิด พอเราชินที่จะขี้หงุดหงิด เราก็จะกลายเป็นคนขี้โมโห ตัวอย่างเมื่อกรรมส่งผลก็เช่น ถ้าเราขี้โมโห เราชอบพูดจาไม่ดีกับคนอื่น ใช้โทสะหรือความโกรธนั้นๆ ในการกระทำกรรม ทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี พอกรรมมันจะสนอง มันจะส่งให้เราไปเจอ หรือไปอยู่ท่ามกลางคนที่พูดจาไม่รักษาน้ำใจ ทำให้เรารู้สึกไม่ดี รู้สึกแย่เช่นกัน (สาวๆ สวยๆ ที่เอาแต่ใจ พึงระวัง เห็นเจอแบบนี้หลายรายแล้ว ^^) ซึ่งถึงแม้ว่าเรารับผลของกรรมแล้ว แต่ถ้าจิตยังไม่เรียนรู้ ยังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย ยังเลือกที่จะทำแบบเดิมโดยไม่เชื่อว่ามันเป็นผลจากสิ่งที่เราทำ จิตยังไม่ได้เรียนรู้ว่ามีอะไรที่ไม่ดีที่ยังค้างอยู่ในจิตให้ต้องสืบภพ จิตก็จะมีอนุสัยสืบต่อให้ไปทำกรรมแบบนั้นแล้วได้รับผลแบบเดิมอีก และโดยมากจะยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์นั้นไหลลงต่ำ ที่อยู่ๆจะกลับนิสัยจากร้ายเป็นดีได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าไม่ทุกข์หนักๆ จริงๆ ไม่ย้อนกลับมาดูที่ตนเอง ก็จะไม่มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง มีแต่จะเคยชินยิ่งนานยิ่งสะสมนิสัยด้านไม่ดีไว้มากขึ้น ดังนั้นหากเราจะถอดถอนวงจรการรับผลของกรรมนี้ เราก็ต้องหยุดที่ต้นเหตุ คือตัวเรา คือนิสัยที่จะสืบเนื่องให้เราได้รับผลของกรรมนั้นๆต่อไป

    โดยนัยนี้คือการเลิกขุดหลุมที่กรรมขุดล่อไว้ให้ตกลงไป โดยเห็นว่าสิ่งที่เราได้รับนั้นคือ สิ่งที่ควรกัน เหมาะสมกันแล้วกับสิ่งที่เราเคยทำมาในอดีต เป็นสิ่งที่เราต้องรับ แทนที่จะตีโพยตีพาย แทนที่จะไปโวยวาย ก่อกรรมใหม่ หรือสร้างหนี้ใหม่เพิ่มโดยไม่ได้ชดใช้หนี้เก่า ก็จะเต็มใจทยอยชดใช้ไป ด้วยการสำนึกว่าเราเคยไปทำให้คนอื่นรู้สึกแบบนี้ และเข้าใจแล้วว่าก้อนทุกข์นี้มันทำร้าย สร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างไร (เพราะเราเจอมาแล้วกับตัวเอง)

    ถ้านึกขึ้นได้ว่าเคยทำกับใครไว้ในชาตินี้ (ผู้ที่ถูกกระทำไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแฟนเก่า กิ๊กเก่าเท่านั้น แต่โดยมาก มากกว่าร้อยละ ๕๐ เป็นกรรมที่เราทำไว้กับพ่อแม่ รองลงมาจึงเป็นแฟนเก่า คู่รักเก่า คนที่มาชอบเรา และอื่นๆ) ให้รีบไปขออโหสิกรรมจากคนเหล่านั้นโดยเร็วที่สุด ตั้งสัจจะกับตนเอง อาจจะต่อหน้าคนที่เราเคยไปกระทำเขาไว้ หรือต่อหน้าพระพุทธรูปว่า เราจะไม่ทำกรรมอย่างนี้กับใครอีกไม่ว่าจะมีเหตุการณ์มาบีบบังคับ ลำบากเพียงใด แต่ถ้านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปทำอะไรแบบนี้ไว้กับใครตอนไหนในชาติปัจจุบันก็เป็นไปได้ว่าเป็นผลของกรรมที่เราทำมาในอดีตชาติ ก็ขอให้ระลึกขออโหสิกรรม และตั้งใจอย่างเดียวกันว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก
    การตั้งใจ อันมีเจตนา และสัจจะอธิษฐานที่จะละเว้นการกระทำนี้เอง คือศีล ซึ่งเป็นมโนกรรมที่ส่งผลในการปกป้องทุกข์ทางใจเป็นอันดับแรก เพราะว่าความตั้งใจทางมโนกรรมนั้นเป็นการกระทำด้วยเจตนาอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องมีผลตามมาซึ่งผลของกรรมนี้ก็คือ ปราการป้องกันใจเราจากทุกข์ (เพราะเราตั้งใจไม่ให้ผู้อื่นเป็นทุกข์) ยิ่งตั้งใจหนักแน่นมากขึ้นเท่าไหร่ ความหนักแน่นในการปกป้องทุกข์ก็จะยิ่งมั่นคงขึ้นตาม

    เมื่อเรามีศีลจิตใจก็จะเริ่มสงบจากการแส่ส่ายร้อนรนเพราะความทุกข์ ความตั้งใจที่จะละเว้นนี้ จะส่งผลให้จิตเกิดความปกติ เกิดนิสัยที่จะสำรวมการกระทำทางกายและค่อยๆเคลื่อนมาที่ การสำรวจวาจา คำพูดและในที่สุดก็คือ ความคิด อันเป็นต้นเหตุว่าสิ่งใดนำไปสู่การละเมิดใจผู้อื่น เมื่อเราสำรวจเข้ามาบ่อยเข้า และตัดไปเป็นครั้งๆ มากเข้าก็จะกลายเป็นเปลี่ยนนิสัย หรือตัดกรรมส่วนนี้ได้อย่างเด็ดขาด นั่นจึงจะเป็นทางออกจริงๆ ที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงอย่าง Happy Ending

    การทดลองวิธีแก้กรรมโดยแก้ที่ต้นเหตุตามกระบวนการนี้ ย้ำอีกครั้งว่า สาระสำคัญของการแก้วิบากกรรมคือ
    ๑. เข้าใจกฏแห่งกรรม

    ๒. ชำระหนี้เก่า (ยอมรับสิ่งที่ได้เจอ สำนึกผิดให้ได้ก่อนในระดับ ที่จะไม่ทำอีกเลยและไปขออโหสิกรรมจากคนที่เราไปทำเขาไว้ รวมทั้งอโหสิให้กับคนที่ทำกับเรา)

    ๓. สร้างเหตุใหม่ที่ดี (ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์แบบเดียวกับที่เราทุกข์อีกแล้ว หรือไปแนะนำช่วยคนอื่นไม่ให้ทำผิดตามเรา)

    การทดลองนี้พี่ชายได้เคยทดลองทำมาแล้วด้วยตัวเอง และได้แนะนำให้คนอื่นๆได้ทดลองมาแล้วเป็นหลายร้อยครั้ง รวมทั้งตัวดิฉันเอง ถ้าสำนึกผิดอย่างแท้จริงถึงระดับที่ไม่พยายามรักษามันไว้อีกต่อไป เช่น เมื่อมีผู้กล่าวถึงความผิดนั้นๆก็ไม่โกรธเคือง และไม่ระคายใจเพราะเห็นแล้วว่าสิ่งนั้นนิสัยนั้นไม่ใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องเสียหน้า ตรงกันข้ามคือเห็นว่านิสัยแบบนั้นไม่ดีและเป็นสิ่งที่ต้องพากเพียรขัดเกลามันออกเพื่อทิ้งนิสัยนี้ไปให้หมด จนกระทั่งสามารถพูดอย่างเปิดเผยถึงความผิดนั้นๆ ทุกขั้นทุกตอนโดยละเอียดเสมือนว่าไม่ใช่เรื่องของเรา โดยสามารถพูดกับใครก็ได้ที่สนใจเพื่อเขาจะได้ไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่เราเคยทำไปในอดีต รวมทั้งจะไม่กลับไปกระทำอย่างนั้นอีกแม้จะมีสิ่งดึงดูดใจให้กระทำ ก็จะพบว่าทุกข์ทางใจจะลดลงในชั่วข้ามคืน และคนรอบตัวที่ก่อเหตุแห่งทุกข์ก็จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เห็นในหลักไม่กี่วัน และเรื่องราวจะ
    จบลงสิ้นเชิงในหลักไม่กี่เดือน

    ในอีกด้านหนึ่ง ถ้ายังโกรธเมื่อมีใครพูดถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีของตน หรือยังพยายามปิดบัง กลบเกลื่อน อ้างเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อปกป้องว่าสิ่งที่เคยกระทำนั้นดีแล้ว ถูกแล้ว มีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อจะได้ไม่เป็นผู้ผิด(หรือผิดน้อยลงหน่อย) หรือยังกล่าวโทษผู้อื่นว่าเป็นผู้ผิดหรือมีส่วนผิดที่มากระทำเอากับเรา นี่แสดงว่ายังไม่ทิ้ง นิสัยนั้น ยังพยายามปกป้องหรือเก็บรักษานิสัยนั้นๆไว้ในตนเอง นี่ยังไม่ใช่การสำนึกผิด ยังมีโอกาสกลับไปทำอีก และจะต้องไปรับผลนั้นซ้ำอีก จนกว่าจะยอมทิ้งมันไปโดยถาวร

    อธิบายให้เห็นภาพในการหยุดวงจรส่วนของเราว่า การสร้างเหตุและผลนั้นเหมือนเราเป็นคนปลูกต้นไม้ ต้นไม้จะหยุดเติบโต เมื่อเราหยุดให้น้ำ เช่นกัน การรดน้ำต้นไม้แห่งกรรมจะสิ้นสุดลง เมื่อจิตเราหมดเหตุที่จะสร้างกรรมชนิดนั้นต่อไป ซึ่งหมายถึงการที่เราสำนึกได้แล้วอย่างเด็ดขาดว่า ถ้าเราทำกรรมอย่างนี้ๆแล้ว เราจะ ได้รับกรรมอย่างนั้นๆ ซึ่งมันเชื่อมโยงกันได้ แต่การหยุดให้น้ำไม่ได้ หมายความว่าต้นไม้จะตายในทันที เช่นกัน การหยุดรดน้ำต้นกรรม ผลของกรรมก็จะไม่ได้หยุดลงในทันที แต่จะส่งผลไปอีกระยะหนึ่งให้เราได้ใช้กรรมจนกว่าเชื้อกรรมที่เราเคยทำไว้หมดลง ต้นกรรม ก็จะแห้งและตายไปในที่สุด ทำนองเดียวกับต้นไม้เล็กๆ หยุดรดน้ำ ไม่กี่วันก็ตาย แต่ถ้าเป็นต้นไม้ยืนต้น ขนาดใหญ่สัก ๖ คนโอบ หยุดรดน้ำแล้ว คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะตายและหยุดให้ผล แต่ก็ยังดีกว่าเราไม่รู้ตัวและให้ปุ๋ยให้น้ำมันไปเรื่อยๆ และจะต้องรับผลของต้นกรรมนั้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ถ้าคุณตั้งใจดีแล้ว และได้ลองปฏิบัติตามนี้ก็หวังใจไว้ได้เลยว่าไม่นานจะออกจากวงจรกรรมนี้ได้ แต่คนส่วนมากอาจพลาด เพราะส่วนใหญ่ติดในทุกข์ หวงทุกข์เอาไว้ เพราะมีความไม่รู้เป็นเครื่องผูก ไม่รู้ว่าที่เราได้ เรามี เราเจออะไรเพราะผลของกรรม กรรมมันหลอกให้เรามาหลง มายึด มารักคนๆนี้เพื่อส่งผลให้เราได้รับผลจากกรรมที่เราทำมา ถ้าเราไม่มีสติ ไม่รู้ตัว กอดความทุกข์นี้ไว้ เราก็จะไม่ก้าวหน้าไปไหน และต้องเจอกับความทุกข์ซ้ำ แต่ถ้าเรา เลือกเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนนิสัยไปในทางที่ดี แฟนหรือคู่รักจะเป็นคนเดิมหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะถึงตอนนั้นใจจะคลายความยึดจากเหยื่อคือเขา/เธอตามกรรมที่ส่งมาหลอก และเราจะได้รับผลจากการกระทำดี ด้วยการมีความสุขนั่นเอง

    แนะนำเพิ่มเติมอีกหน่อยนึงว่า ถ้าเกิดว่าเราระลึกไม่ออกว่าได้เคยไปทำผิดกับใครไว้ และอาจทำให้ไม่สามารถรู้สึกระลึกถึงความผิดนั้นๆเพื่อจะได้รู้สึกสำนึกออกมาจากใจ เป็นไปได้ว่าเราอาจยังไม่ได้สร้างเหตุให้เข้าใจกรรมของตัวเองได้เพียงพอ แนะนำให้ลองไปทำทานประเภทสละของใช้ที่เป็นของตัวเองแต่ไม่ใช้แล้วให้กับคนที่ยากไร้หรือขาดแคลนจริงๆ เพื่อเป็นการสอนใจให้ใจเลิกยึด รู้จักสละของที่รู้สึกว่าเป็นของตนออก จะทำให้ใจสามารถเปิดรับสิ่งดีๆได้ง่ายขึ้น หรือถ้ามีความทุกข์แต่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ยังไม่สามารถเข้าใจได้แนะนำให้ลองทำบุญด้วยการให้ธรรมะ แต่เน้นว่าต้องเป็นธรรมะที่เป็นไปเพื่อความเห็นไตรลักษณ์(อนิจจังทุกขังอนัตตาคือความเปลี่ยนแปลงความไม่สามารถทนอยู่และความไม่ใช่ตัวตน) ในกายและใจ จนเกิดความปล่อยวางเป็นสำคัญ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยมีเจตนาจะให้เขาพ้นทุกข์ (ถ้าให้เพื่อช่วยเหลือเรื่องความรักก็จะตรงจุดมากยิ่งขึ้น) จะทำให้ใจสามารถรับและเข้าใจธรรมะได้มากขึ้น



    ใช้ใจทำทาน ใช้ใจรักษาศีล เพื่อให้ใจออกจากกรรม

    คุณทราบหรือไม่ว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไรหลายคนถูกประกาศตัวว่าเป็นชาวพุทธมาแต่กำเนิด (โดยพ่อแม่ หรือใครก็ตาม) และบอกใครๆเสมอมาว่าเรานับถือศาสนาพุทธ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่เคยรู้เลยว่าที่แท้พุทธศาสนาสอนอะไร และมีประโยชน์ต่อการมีชีวิตอยู่ขนาดไหน พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งในระดับการดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขในสังคม ไปจนถึงการออกจากทุกข์ถาวร

    หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องไตรสิกขา อันได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา (หรือเรียกโดยย่อว่า ศีล สมาธิ ปัญญา)

    ไตรสิกขานี้เกี่ยวข้องเป็นประโยชน์ทั้งในระดับการดำเนินชีวิต และการออกจากบ่วง ออกจากวงจรความทุกข์ โดยเราสามารถได้ประโยชน์ทั้งสองอย่างสูงสุดด้วยการมีเป้าหมายของใจที่จะศึกษาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของความทุกข์ทางใจทุกชนิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยในจุดนี้ขอเพิ่มเรื่องทานเข้าไปเพื่อเป็นฐานแรกในการพาใจออกจากทุกข์

    ในส่วนของทานหลายคนคงได้ยินมาบ้างว่าการให้ทาน เป็นเหตุหรือเป็นบุญที่ส่งผลให้เราร่ำรวย ไม่ลำบากในชาติต่อไป นี้เป็นส่วนของประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ในการอยู่กับโลก แต่ในแง่การทำให้ออกจากทุกข์ถาวรนั้น การได้ทำทานที่เป็นทานจริงๆ เป็นประจำ คือมีกิริยาทางกายที่เป็นการให้ และประกอบด้วยกิริยาทางใจที่เป็นการสละสิ่งของที่เป็นของเรา เมื่อทำบ่อยๆจนคล่องแคล่วชำนาญจะเป็นการฝึกใจให้รู้จักปล่อยวางสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเรา ซึ่งจะมีประโยชน์มากในการฝึกใจให้รู้จักการปล่อยวางความทุกข์ด้วย ทำให้ไม่ทุกข์นาน ลองสังเกตจิตใจเปรียบเทียบกัน ระหว่างที่ได้ทำทานด้วยการสละการไม่ถือไม่ยึดจะให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง แต่เวลาที่มีความทุกข์ มันจะรู้สึกหนักและแน่น ที่มันหนักมันแน่นก็เพราะใจเรายึด เราถือมันไว้ ดังนั้นที่เรามีทุกข์ก็เพราะเราไม่เคยรู้ตรงนี้ และเพราะใจเราเคยชินที่จะถือมากกว่าปล่อย

    ส่วนเรื่องการรักษาศีล หลายคนที่ได้ศึกษาพุทธศาสนามาบ้าง คงเคยได้ยินว่าการรักษาศีลเป็นการปกป้องเราจากภยันตราย อันเนื่อง มาจากการที่เราไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา และการรักษาศีลอย่างหมดจดคือการไม่กระทำกรรมใดๆ ตามอำนาจกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าหมอง ผลที่ได้จึงเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือจะส่งผลตกแต่งให้กาย/หน้าตาผิวพรรณดูผุดผ่อง สดใส สะสมไปมากๆก็จะเป็นฐานบุญให้ชาติใหม่มีรูปร่างหน้าตาที่สมส่วนดูดี ส่วนในแง่การรักษาศีลที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนฝึกใจนั้น หลวงปู่เหรียญ วรลาโภเคยกล่าวไว้ว่า“คนเราละเมิดศีลกันก็เพราะกรรมที่เคยกระทำมาส่งผลให้เท่านี้ๆ แล้วยังไม่จุใจ ทางเดียวที่จะได้มาก็คือต้องไปเอาส่วนที่เป็นของคนอื่นมาเป็นของเรา จึงมีการละเมิดศีล คือไปละเมิดของที่ไม่ใช่ของเรา” การรักษาศีลจึงเป็นการฝึกความตั้งใจที่จะไม่ละเมิดผู้อื่น “ด้วยความอยาก” อันเป็นก้าวแรกที่นำชีวิตของคนเราไปสู่ความทุกข์

    หากเราได้มีการรักษาศีลไว้ดี ใจจะรู้จักสละความอยากครอบครองที่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เมื่อฝึกจนจิตเกิดความชำนาญก็จะมีผลช่วยลดระงับความเร่าร้อนในความอยากนั้นๆ เนื่องจาก มีความเข้าใจ เห็นโทษ เพราะสามารถเชื่อมโยงได้ว่า การละเมิดใจผู้อื่น ในวันนี้ จะนำไปสู่การถูกละเมิดใจในวันหน้าอย่างแน่นอน คือสุขที่ได้ในตอนนี้จะพลิกเป็นทุกข์มหันต์ในวันหน้าได้ จึงมีผลทำให้ใจรู้จักระงับยับยั้งไม่หลงไปกระทำตามความอยากจนไปก่อกรรมที่จะทำลายความสุขทั้งของเราเองในอนาคตและความสุขของคนรอบข้างในปัจจุบัน

    กล่าวโดยรวบยอด การทำทานและรักษาศีลนั้น ตอบโจทย์ของการอบรมจิตเพื่อป้องกันทุกข์จากทั้งสองปัญหาใหญ่ คือ ทานนั้นแก้ปัญหาทุกข์จากการกลัวจะเสียไป ส่วนศีลนั้นเป็นการแก้ปัญหาทุกข์เพราะกลัวไม่ได้มา ด้วยการสละออกที่เริ่มตั้งแต่ที่ใจ คือพร้อมจะสละในสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของตน แทนที่จะดับความอยากนั้น ด้วยการพยายามไปครอบครองของที่ไม่ใช่ของๆตน ซึ่งจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่ความอยากของเรา แต่เป็นการก่อกรรมใหม่อันจะเป็นผลให้เราต้องชดใช้และมีความทุกข์ไปเรื่อยๆตามเหตุที่เราได้เคยทำให้ผู้อื่นทุกข์ใจไว้

    เมื่อจิตรู้จักสละละวางความยึดด้วยการหมั่นทำทานและรักษาศีลบ่อยเข้า เกิดความสนใจ ใส่ใจดูการกระทำของจิตบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน จิตก็จะเกิดความฉลาดหรือปัญญาในการดูจิตมากขึ้นๆ เป็นลำดับต่อมา คือเห็นกระบวนการทำงานของจิต รู้ตั้งแต่จิตกำลังทะยาน(ตัณหา)ไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา ทะยานไปยึดของที่เป็นของเราแล้วแต่อาจจะเสียไปหรือกำลังจะเสียไปว่า ตัณหา(ความอยาก)นี้แหละคือสมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) หรือทุกข์ทั้งก้อน ถัดจากนั้นเมื่อรู้ใจตนเองมากเข้าก็จะเห็นได้ว่า ที่มันทะยานเรื่อยๆนี่เพราะมันมีความเห็นผิดว่าเป็นเราเป็นตัวเราคืออัตตา ก็ดูอยู่ที่จิตนี่แหละจนกว่าจะเห็นอนัตตา(ความไม่ใช่ของฉัน ความสั่งไม่ได้) คือเห็นว่าทุกๆอย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเราทั้งร่างกายและจิตใจนี้มันไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ทั้งหมดทุกโมเลกุลคืออาหารที่ยืมมาจากโลก เวลาทุกข์สั่งให้สุขไม่ได้ เวลากำลังสุขจะไปสั่งให้มันทุกข์ก็ไม่ได้คือเข้าถึงธรรมด้วยการปล่อยวางความเป็นตัวเรา ทิ้งความเป็นเรา เมื่อหมดความเห็นผิดว่าเป็นตัวเรา หมดความยึดจากการเฝ้าสังเกตใจ ก็จะหมดการกระทำอันจะนำหรือก่อให้เกิดภพ เกิดชาติ และเกิดทุกข์ทางใจได้ถาวร


    รู้ได้อย่างไรว่าหมดกรรมแล้ว

    ที่เราจะหมดกรรมได้ ก็เพราะใช้กรรมนั้นๆจนหมด และไม่มีจิตคิดสร้างกรรมใหม่ที่จะส่งให้ได้รับผลอย่างนี้อีก ถ้าเราหมดกรรมหรือได้ใช้กรรมชนิดนี้ไปบางส่วนแล้ว ใจจะไม่รู้สึกเจ็บแค้น หรือผูกพยาบาท หรือถ้ารู้สึกก็จะเบาบาง เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ แต่ถ้ายิ่งผูกพยาบาทอาฆาตร้ายแรงเท่าไหร่ก็สะท้อนว่าเรายังมีหนี้ใจที่ยังติดค้างไม่ได้ชำระ มากเท่าๆกับความเจ็บแค้นพยาบาทที่เรากำลังรู้สึกอยู่นั่นเอง

    เมื่อเราได้ใช้กรรมเรื่องใดๆหมด ถ้าเรายังมีกรรมด้านอื่นๆร่วมกับเขาอยู่ (ทั้งในด้านบุญและบาป) เราทั้งคู่ก็ยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปตามเหตุปัจจัยที่เราสร้างและได้ร่วมสร้างกันมา แต่ถ้าหมดกรรมกันแล้วทั้งหมด ใจเราที่รู้สึก ที่มีต่อเขาก็จะหมดตาม เราอาจจำเรื่องราวทุกอย่างที่เขาทำกับเราได้ทุกเรื่อง แต่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น เมื่อเจอหน้ากัน เราก็จะไม่รู้สึกเจ็บ หรือจี๊ดขึ้นมาอีก เหมือนตอนเลิกกับแฟนคนแรกแล้วรู้สึกทุกข์เจียนตาย แต่พอมีแฟนใหม่ก็ทุกข์เพราะแฟนใหม่ ลืมความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นกับแฟนคนเก่าไปแล้วแม้ว่าอาจจะยังจำเรื่องราวได้อยู่ก็ตาม คำว่า ไม่รู้สึกอะไร ก็หมายถึงไม่ได้มีความรู้สึกไม่อยากเจอด้วย จะเป็นความรู้สึกเห็นหน้าเขาแล้วเหมือนเห็นหน้าเพื่อน หรือคนที่รู้จักคนหนึ่งซึ่งสามารถยิ้มทักทายได้เพราะไม่ได้รู้สึกผูกกับทุกข์ทางใจนั้นๆแล้ว และถ้าหมดกรรมและเกิดปัญญาเข้าใจเรื่องกรรมแล้ว เรามักจะเกิดความกรุณา คือ หวังให้เขาพ้นจากทุกข์ที่เขาจะต้องไปรับ (เพราะกรรมที่มาก่อกับเราไว้) ต่อไปในอนาคต จนสามารถอโหสิกรรมให้เขาได้จากใจ ไม่ว่าจะได้เอ่ยปากหรือไม่ก็ตามทีี

    *****************************
    http://palungjit.org/threads/ห้องหรรษาพาสนุก-พลังจิต.260224/page-46
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หยิกก็... เจ็บ ไม่หยิก..ก็ไม่เจ็บ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย toplus99 : เมื่อวานนี้ เมื่อ 09:40 PM
    =============================
    หยิกก็...ไม่เจ็บ.............ถ้าเราแยก"กาย"ก็ส่วนกาย "จิต"ก็ส่วนจิต chearr
     
  11. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๒ การกัวซาหรือขูดซา(ขูดลมระบายพิษ)

    :z10
    นั่งจับเจ่าเฝ้าจอรอแล้วรอเล่า
    กว่าจะเข้าเวปมาได้เหนื่อยใจหาย
    เนตทั้งอืดทั้งฝืดฝืนทั้งกาย
    กว่าจะได้คุยเฟื่องเล่าเรื่องกัน
    (tm-love)

    ว่าแล้วก้อมาต่อกันเลย เท้าความเดิม ถึงตอน เข้าปฐมนิเทศ อ่ะนะ
    ก็จะได้รับฟังเรื่องราวของสวนป่านาบุญ
    และการดูแลตนเอง ตามหลักเทคนิค ๙ ข้อ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว


    จากนั้น เข้าสู่เนื้อหาสาระกันเลย เริ่มจาก ยาเม็ดที่ ๒ คือการกัวซาหรือขูดซา(ขูดลมระบายพิษ)

    ใช้อุปกรณ์ผิวเรียบอะไรก้อได้ ช้อน ชาม เหรียญ ไม้ หรือถ้าเราดูแลคนป่วย
    จะใช้เป็นผ้าคนหนูเช็ดแบบกัวซาได้


    ถ้ามีภาวะร้อนเกิน ให้ใช้น้ำมันกัวซาฤทธิ์เย็น รึ น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นทาผิวก่อนได้
    ถ้ามีภาวะร้อนเกิน ก้อใช้ตรงกันข้ามกันกับภาวะร้อนเกิน
    บางคนอาจจะบอก แล้วร้อนๆหนาวๆล่ะ(ภาวะร้อนเย็นพันกัน) แยกไม่ออก
    ก้อลองผสมฤทธิ์ร้อน+เย็น ปรับให้เหมาะกับตัวเอง เน้นๆ ความรู้สึกสบายที่สุด

    เราสามารถทำได้ไม่จำกัดเวลา นั่งๆอยู่ไม่รู้จะทำอะไร กำลังเครียดก้อกัวซาไปเลย
    แล้วเราจะทำบ่อยแค่ไหน นั่นล่ะสิ ก็ทำเมื่อรู้สึกไม่สบาย หากเป็นผู้ป่วยหนักก็จัดไปทุกวันก็ได้
    วันละหลายครั้งก็ได้ ถ้าทำแล้วรู้สึกสบายขึ้น
    เน้นนนน ความสบายเป็นหลัก ดีมั๊ย

    ที่ต้องระวัง ไม่ควรขูดจุดที่เป็นแผลฝีหนอง หรือจุดที่ขูดไปแล้วเจ็บปวดแสบร้อนทรมานเกินไป
    ก็ขูดจุดที่ตรงข้ามกับจุดไม่สบายนั้นๆได้


    แต่ แต่ ถ้าเป็นด้านหลังเราทำเองไม่ได้ ก้อทำด้านหน้าท้อง
    หรือให้ผู้อื่นทำให้ ผู้ที่จะทำให้ควรจะอยู่ด้านข้างเพื่อป้องกันไม่ให้พิษเข้าตัวเอง
    หลังกัวซาผิวจะมีสีออกชมพูหรือแดงเรื่อๆ=ดี เป็นปื้น=พิษเริ่มสะสม เป็นจ้ำเหมือนไข้เลือดออก=พิษสะสมมานานแล้ว
    เป็นลักษณะช้ำ=มีพิษสะสมมาก ถ้าช้ำจนถึงขั้นสีม่วงรึดำทางแพทย์ทางเลือกถือว่าพิษมากถึงขั้นมะเร็ง

    ถ้าที่หลังให้ดูรูปเปรียบเทียบว่า มีพิษที่อวัยวะใด


    ที่สำคัญ ผู้ที่ทำกัวซาให้คนอื่น ควรที่จะดูแลตนเอง ไปขับพิษออกด้วยเช่นกัน
    ป้องกันการเจ็บป่วยที่ได้รับมา


    วิธีการปฏิบัติขอให้ท่านไปศึกษาเพิ่มเติมและทำตาม เปิดจาก กูเเกิ้ล ได้เลยนะค๊า
    เราเชื่อว่า ท่านสามารถค้นหาข้อมูลได้ดีเยี่ยม
    black_pig

    รอบต่อไปเราจะฉายหนัง เอ้ยยย นำเสนอ เรื่องราวของยาเม็ดที่1 ดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล

    อย่างง อย่างง นะจ๊ะ บอกแล้วเราว่าไปตามประสบการณ์ เสนอตามที่ได้ในแต่ละวันกันเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.6 KB
      เปิดดู:
      47
    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      23.5 KB
      เปิดดู:
      521
    • images1.jpg
      images1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.5 KB
      เปิดดู:
      45
    • 24.JPG
      24.JPG
      ขนาดไฟล์:
      243.8 KB
      เปิดดู:
      58
    • 25.JPG
      25.JPG
      ขนาดไฟล์:
      536.1 KB
      เปิดดู:
      55
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,634
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    น้ำตา ที่เปิดประตู ' หัวใจ '
    อาตมาไปถึงเรือนจำที่ไปสอนการทำสมาธิก่อนเวลาเล็กน้อย วันนั้นมีนักโทษที่ไม่เคยเจอมาก่อนมารออยู่คนหนึ่ง เขาคนนี้มีร่างกายที่กำยำ ผมเป็นกระเซิง หนวดเครายาว และมีรอยสักที่แขนทั้งสองข้าง รอยแผลเป็นบนใบหน้าบ่งบอกว่าเขาผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน ท่าทางเขาเป็นคนดุร้ายน่ากลัวจนอาตมาแปลกใจว่าทำไมเขาจึงอยากมาเรียนทำสมาธิภาวนา ดูท่าทางเขาไม่น่าจะใช่ และอาตมาก็คิดผิดไปถนัด...

    เขาเล่าให้ฟังว่าเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเมื่อสองสามวันที่แล้วและมันก็ทำให้เขาตื่นตระหนกมากมายครั้งหนึ่งในชีวิต

    เขาบอกว่าเขาเป็นชาวไอริช เติบโตมาจากชุมชนที่ทารุณโหดร้ายในเมืองเบลฟาสต์ เขาถูกแทงครั้งแรกในชีวิตเมื่ออายุเพียงเจ็ดขวบ เด็กเกเรในโรงเรียนขู่เอาเงินค่าอาหารกลางวันของเขาแต่เมื่อเขาปฏิเสธสองครั้ง เด็กชายคนนั้นก็แทงเขาเข้าที่แขน ดึงมีดออกแล้วเดินจากไป ด้วยความตกใจเขาวิ่งเลือดอาบแขนกลับไปบ้านซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียน พ่อซึ่งกำลังตกงานพาเขาเข้าไปในครัวไม่ใช่เพื่อทำแผล แต่พ่อเขาคว้ามีดทำอาหารออกมาจากลิ้นชักบอกให้เขากลับไปแทงเด็กชายคนนั้นคืน นั่นคือสภาพแวดล้อมที่เขาโตขึ้นมา หากเขาไม่เข้มแข็งพอ เขาคงตายไปนานแล้ว

    เรือนจำแห่งนี้เป็นไร่ที่ใช้ฝึกทักษะการทำไร่ทำสวนให้แก่นักโทษที่กำลังจะพ้นโทษออกไปให้รู้จักวิธีทำมาหากิน และผลิตผลที่ได้จากเรือนจำแห่งนี้ก็จะถูกส่งไปเป็นอาหารสำหรับนักโทษในเรือนจำอื่นทั่วเมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ในไร่แห่งนี้มีการเลี้ยงวัว แกะ และหมู นอกเหนือไปจากการปลูกผัก ผลไม้ และที่สำคัญในเรือนจำนี้ก็มีโรงฆ่าสัตว์อยู่ด้วย

    ทุกๆ คนจะมีหน้าที่ของตัวเองในไร่ นักโทษบางคนบอกอาตมาว่าหน้าที่ที่เป็นที่ต้องการและใฝ่ฝันมากสำหรับนักโทษอุกฉกรรจ์คือหน้าที่ในโรงฆ่าสัตว์ โดยเฉพาะหน้าที่ผู้สังหาร ต่างเป็นที่หมายปองอย่างมากของนักโทษในที่นั้น และหนุ่มร่างใหญ่ชาวไอริชคนนี้ก็ได้รับหน้าที่นั้น

    ชายชาวไอริชคนนี้เล่าให้อาตมาฟังว่า ในโรงฆ่าสัตว์จะมีเหล็กที่แข็งแรงทำเป็นราว ปากกว้างแล้วเล็กลงเรื่อยๆ เป็นช่องแคบๆให้สัตว์เข้าไปได้ทีละตัว ข้างๆ ช่องแคบนั้นจะมียกพื้นที่เขายืนอยู่พร้อมปืนไฟฟ้า วัว หมู แกะ จะถูกบังคับให้เข้าช่องแคบๆนั้นโดยใช้สุนัขไล่ วัว หมู หรือแพะ ก็จะร้องโหยหวนตามแบบของมันและพยายามหนีเพราะมันกำลังได้กลิ่น ได้ยินเสียง และได้รู้สึกถึงความตายที่จะมาถึง เมื่อสัตว์อยู่ใกล้พื้นที่ยกขึ้นสูงนั้นมันก็จะขัดขืน ดิ้นรน ร้องโหยหวนเสียงดังที่สุดเท่าที่มันจะเปล่งออกมาได้ ถึงแม้ว่าปืนไฟฟ้าของเขาจะสามารถฆ่าสัตว์พวกนั้นได้ในครั้งเดียวแต่เพราะการดิ้นรน ขัดขืน เขาจึงไม่อาจเล็งได้อย่างแม่นยำ จึงกลายเป็นการจี้ครั้งแรกเพื่อให้มันช็อคและหยุดดิ้น และครั้งที่สองเพื่อปลิดชีวิต วันแล้ววันเล่า ชีวิตแล้วชีวิตเล่าเป็นอย่างนั้น

    ชายชาวไอริชเริ่มตื่นเต้นเมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขย่าขวัญเขาที่เกิดขึ้นหลายวันก่อน เขาเริ่มสบถและแสดงอาการหวาดกลัว อาตมาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน วันนั้นเขาต้องฆ่าวัวเพื่อส่งให้เรือนจำทั่วเมืองเพิร์ธ วันนั้นก็เป็นวันปกติของการฆ่าของเขา ครั้งแรกเพื่อให้วัวช็อค ครั้งที่สองเพื่อฆ่าดังที่เคยทำมา แต่วันนั้นเมื่อวัวตัวหนึ่งเดินเข้ามาอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน วัวตัวนี้เงียบ เดินก้มหัวเข้ามาเงียบๆ อาจหาญเข้ามาในตำแหน่งที่เขาจะจัดการโดยไม่ขัดขืน ไม่พยายามหนี

    เมื่ออยู่ในตำแหน่ง วัวตัวนั้นเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ผู้ฆ่า อย่างแน่นิ่ง ชายร่างกำยำไม่เคยเห็นลักษณะอาการของวัวแบบนี้มาก่อนในชีวิต เขารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเสียเอง เขานิ่งด้วยความสับสน ไม่อาจยกปืนไฟฟ้าขึ้นได้ เขาไม่อาจแม้แต่จะละสายตาไปจากสายตาของวัวตัวนั้น วัวตัวนั้นจ้องไปที่หัวใจเขา

    เขารู้สึกหมือนก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ไร้กาลเวลา เขาไม่รู้ว่ามันยาวนานเท่าใด เมื่อวัวตัวนั้นจ้องมาที่เขา ยิ่งมองเขายิ่งเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตาข้างซ้ายที่ใหญ่เปิดกว้าง มีน้ำตาเจิ่งขึ้นที่ขอบตา น้ำที่เกิดขึ้นในดวงตามีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ไหลรินลงที่แก้มของวัวตัวนั้นเป็นทางยาว ประตูหัวใจที่ปิดตายมานานแล้วค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อย ชายคนนั้นจ้องวัวตัวนั้นด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น และน้ำที่เจิ่งในดวงตาวัวก็เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนเปลือกตาไม่อาจรองรับได้ สายน้ำตาสายที่สองรินหลั่งอีกครั้ง

    ชายผู้ฆ่าปล่อยโฮออกมา วัวร้องไห้!

    เขาทิ้งปืนลง สบถสาบานต่อผู้คุมห้องขังให้จะทำโทษเขาอย่างไรก็ได้ แต่วัวตัวนั้นต้องไม่ตาย!

    ชายคนนั้นบอกว่าเขาไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วในตอนนี้

    เรื่องจริงนี้ได้รับการยืนยันจากนักโทษคนอื่นๆ ที่มาเล่าให้อาตมาฟังว่าวัวที่ร้องไห้ได้สอนชายที่โหดเหี้ยมว่าความรักความห่วงใยนั้นเป็นอย่างไร



    แปลจาก Opening the door of your heart โดย Ajahn Brahm

    ----------

    หากเรื่องราวของวัวสองตัวนี้ ทำให้หัวใจคุณอ่อนไหว อ่อนโยน ปิติ ซาบซึ้ง นั่นก็เพราะคุณมีความเมตตาสงสารต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นทุนธรรมชาติอยู่แล้วในใจ ยังมีเรื่องราวเหล่านี้อีกนับแสนนับล้านที่เกิดขึ้นทุกๆ วันในโรงฆ่าสัตว์ ในฟาร์มต่างๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง

    หากเป็นไปได้ฉันหวังว่าด้วยจิตใจอันอ่อนโยน ด้วยความเมตตาในหัวใจ เราจะร่วมกันทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง บันทึกนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้คุณรู้สึกผิดต่อการกินเนื้อสัตว์ บันทึกนี้ไม่ต้องการเปลี่ยนคุณให้มากินเจ บันทึกนี้เพียงอยากเชิญชวนให้คุณลองทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ลดลงสักหนึ่งมื้อต่อสัปดาห์ก็ยังดี

    ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ
    แสดงกระทู้ - น้ำตา ที่เปิดประตู ' หัวใจ ' • ลานธรรมจักร
     
  13. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    "ย่านาง " สมุนไพรมหัศจรรย์
    (หมื่นปี บ่ เฒ่า)

    ก่อนที่จะไปเรียนรู้ ยาเม็ดที่๑ การดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล(คลอโรฟิลด์)
    เรามาทำความรู้จักนางเอกของเราซะนิดหน่อยก่อน เอารู้จักกันแค่เล็กน้อยพอ
    เชื่อว่าหลายๆคนรู้จักเยอะแล้วอ่ะนะ กับสรรพคุณนางเอกที่ชื่อว่า "ย่านาง"


    หมอยาทางภาคอิสานเรียกขนานนามว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" สรรพคุณย่อมไม่ธรรมดา
    อ่ะฮ๊า ไม่ธรรมดา เป็นแน่แท้ ใบย่านางเป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น ซึ่งเหมาะสมมาก
    กับสภาวะของคนปัจจุบันที่ร้อนเกิน


    ๘๐% ของคนยุคนี้มักมีภาวะร้อนเกิน จากที่เครียดสูง ถูกบีบคั้น กดดันจากสังคมและเศรษฐกิจ ต้องแก่งแย่ง แข่งขัน เร่ง รีบ ร้อน มลพิษก็เพิ่ม อาหารก็ปนเปื้อนสารเคมีตั้งแต่
    เริ่มผลิตจนกระทั่งปรุง อยู่กับเครื่องไฟฟ้า ซึ่งก็เป็นเหตุให้เจ็บป่วยด้วยภาวะร้อนเกินทั้งนั้น
    ต่างจากเมื่อ๓๐-๕๐ปีก่อน ผูู้คนเรียบง่าย สงบ เอื้อเฟื้อ มลพิษน้อย อาหารการกินสะอาด ปรุงแต่งน้อย คนยุคนั้นจึงมีภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน

    ๕%ของคนยุคนี้จะมีภาวะเย็นเกิน กระทบอากาศเย็น อาหาร/สมุนไพรฤทธิ์แล้วไม่สบาย

    ๑๕%ของคนยุคนี้ จะมีภาวะทั้งร้อนเกินและเย็นเกินเกิดขึ้นพร้อมกัน

    ใบย่านางกับการบำบัดโรค
    เช่น ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย ท้องผูก แสบท้อง มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดง มีตุ่มใสคัน เป็นเริม งูสวัด หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น อ่อนเพลีย เจ็บปลายลิ้น หูอื้อ ตาลาย เกร็ง ชัก โรคหัวใจ ไซนัสอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เบาหวาน เนิ้องอก มะเร็ง และพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้น
    นี่แค่เกริ่นนำตัวแสดงหลักอย่าง ย่านาง ในการเพิ่มคลอโรฟิลล์ คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล นะเนี่ยย ยังมีตัวแสดงประกอบอีกเพียบบบ:VO
    นอกจากนี้ หลายๆท่านยังนิยมใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่างๆ เช่นแกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้
    (ย่านางสามารถต้านพิษกรดยูริกในหน่อไม้ได้-ภูมิปัญญาชาวบ้านมีมานานจริงๆ)
    แกงอ่อม แกงเห็ด หรือขยี้ใบสดกับกรุงเขมา กินถอนพิษร้อนต่างๆ


    และยังมีอีกอย่างที่สาวๆชอบมาก ถ้ารู้ เวลาเราขยี้ใบย่านาง จะมีลักษณะฟองเกิดขึ้น
    ช้อนเอาฟองนั้นมาพอกหน้า จะทำให้ใบหน้าเด้งดึ๋งดึ๋งไม่ต้องพึ่งครีมราคาสูงเลยนะจะบอกให้
    :cool:
    โอ้วววว พระพุทธ!!สุดยอดมาก..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC14847.JPG
      SDC14847.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      47
    • product-128356-2.jpg
      product-128356-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.7 KB
      เปิดดู:
      47
    • images3.jpg
      images3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.6 KB
      เปิดดู:
      42
    • images4.jpg
      images4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.9 KB
      เปิดดู:
      54
    • images5.jpg
      images5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.3 KB
      เปิดดู:
      41
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  14. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ศาตร์ต่างๆ ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน แบบง่าย ที่เรามองข้าม

    จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในอีกไม่นานข้างหน้านี้..

    ขอบคุณในสาระความรู้ที่นำมาแบ่งปันนะ..สาธุ
     
  15. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๑ การรับประทานสมุนไพรปรับสมดุล
    ตอนย่อยที่่๑ แก้ภาวะร้อนเกิน


    มีพันธุ์ไม้มากมายในไพรกว้าง หรือจะเป็นหญ้าข้างทางร้างคนสน
    ล้วนแต่เป็นยาดีมีคุณล้น รอผู้คนที่รู้ค่ามาเก็บเอยยยย
    มีลงเอยตามประสากลอนเราเองซะหน่อย
    [Embarrass

    ใบย่านาง เป็นสมุนไพรที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี ตอนนี้ได้กลายมาเป็นสมุนไพรสุดฮิต ที่มีคุณสมบัติปรับสมดุลในร่างกาย เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น และเป็นคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ
    น้ำคั้นจากใบยังมีแคลเซียมและวิตามินซีค่อนข้างสูง เอ บี 1 บี 2 และเบต้า-แคโรทีน
    คนโบราณเชื่อกันว่ารากของเถาย่านางนั้นสามารถแก้ไข้ได้ อีกทั้งยังช่วยถอนพิษผิดสำแดงและพิษอื่น ๆ แก้เมาเรือ แก้เมาสุรา แก้โรคหัวใจและแก้ลม ใบก็ช่วยถอนพิษและแก้ไข้ --ขยายคุณสมบัติของนางเอกเราเพิ่มเติมซะหน่อย
    รู้จัก ย่านาง กันแล้ว พืชสมุนไพรฤทธิ์เย็นอื่นๆยังมีอีกมากลายหลายอย่าง

    ที่ไปอบรม บางคนร้องเลย เอ๊...นี่มันต้นหญ้าที่ช๊านเหยียบที่ผ่านทุกวัน
    มันเอามากินได้เหรอเนี่ย กลับไปต้องจัดการ กินๆๆๆ ฮ่าาา


    สมุนไพรฤทธิ์เย็น มีหลายอย่าง เช่น ใบย่านาง อ่อมแซบ(เบญจรงค์) ใบเตย ตำลึง
    บัวบก เสลดพังพอนตัวเมีย(พญายอ) มังกรหยก รางจืด ว่านมหากาฬ ว่านกาบหอย
    วอเตอเครส โสมไทย กรุงเขมา ผักบุ้งแดง-บุ้งจีน หญ้าปักกิ่ง ฮว่านง็อก
    หยวกกล้วย-คั้นใส่ในน้ำคลอโรฟิลด์ จะช่วยให้น้ำสมุนไพรอยู่นาน ช่วยสมานแผลในกระเพาะ
    อัญชัน- เด็ดขั้วเขียวๆออก เพราะมีพิษ เอาไปใช้แต่ดอก
    ผักฮ่องเต้ รึ กวางตุ้ง -เอาไปทำน้ำคลอโรฟิลด์ได้น้ำสีสวย
    รางจืด- นอกจากทำน้ำคลอโรฟิลด์ แล้ว เราสามารถนำมาขยี้ รึ ต้ม แช่ผักผลไม้ล้างสารพิษได้ น่าจะมีปลูกไว้นะค๊า
    -- ที่บ้านปลูกไว้ต้นนึง ใบอวบใหญ่เกาะเกี่ยวหลังคาบ้าน งานนี้เสร็จเราแน่ๆต้องจับมากินซะก่อนจะคลุมหลังคาบ้าน เอิ๊กๆๆ

    มาดูวิธีการทำกันเลยดีกว่า จะทดลองคั้นแล้วดื่มทีละอย่าง เพื่อจะได้รู้ว่าเราถูกกับชนิดไหนก็ได้ หรือผสมรวมๆกัน เปลี่ยนไปบ้างก็ได้

    วิธีทำ 1.ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น อาทิ ใบย่านาง 5- 20ใบ ใบเตย 1-3 ใบ บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์) ครึ่ง- 1 กำมือ ใบเสลดพังพอน ครึ่ง – 1 กำมือ ว่านกาบหอย 3-5 ใบ ถ้าใครสะดวกจะใช้ใบย่านาง เพียงอย่างเดียวหรือใช้หลายอย่างรวมกันก็ได้ 2.ตัด หรือฉีกใบสมุนไพรให้เล็กลง และนำไปโขลกสมุนไพรให้ละเอียด หรือ ขยี้ หรือนำไปปั่นด้วยเครื่องปั่น (ควรใช้ระยะเวลาไม่นาน 30 วินาที – 1 นาทีก็พอ เพื่อให้ผ่านความร้อนน้อยที่สุด คงคุณค่ามากที่สุด ) 3.นำมากรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง 4.ได้น้ำย่านางแล้ว วิธีกิน ดื่มน้ำย่านางสดๆ ครั้งละประมาณครึ่งแก้ว วันละ 1-3 รั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างหรือจะดื่มแทนน้ำก็ได้ บางครั้งสามารถผสมน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำมะขาม ในรสชาติไม่จัดเกินไปเพื่อให้ดื่มง่ายขึ้นก็ได้

    แค่อ่านวิธีดื่มน้ำสมุนไพรแก้ภาวะร้อนเกินก็เริ่มจะเครียด มึน กันแล้ว ใช่มั๊ยเอ่ย??
    งั้นลองไปทำดูเลยดีมั๊ย ว่าพืชชนิดไหน อร่อยถูกใจสร้างพลังชีวิตเราที่ซู๊ดด


    อ้ออ ลืมบอกไป ว่าการเก็บพืชผักสมุนไพรนั้น เราต้องเก็บแต่เช้าก่อพระอาทิตย์ขึ้น
    ถึงจะได้พืชผักที่มีพลังชีวิตมีประโยชน์กับเรา ไม่เชื่อ ลองเก็บแต่เช้า กับเก็บสายๆดู
    ทดลองแล้ว ความรู้สึกต่างกันนะ ^^
    :z2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 47.JPG
      47.JPG
      ขนาดไฟล์:
      700.4 KB
      เปิดดู:
      67
    • 49.JPG
      49.JPG
      ขนาดไฟล์:
      733.9 KB
      เปิดดู:
      53
    • 30.jpg
      30.jpg
      ขนาดไฟล์:
      754.7 KB
      เปิดดู:
      69
    • 51.JPG
      51.JPG
      ขนาดไฟล์:
      712.5 KB
      เปิดดู:
      56
    • 38.jpg
      38.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.8 KB
      เปิดดู:
      51
    • 39.jpg
      39.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.9 KB
      เปิดดู:
      56
    • 40.jpg
      40.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.1 KB
      เปิดดู:
      59
    • 41.jpg
      41.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.1 KB
      เปิดดู:
      52
    • 42.jpg
      42.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.7 KB
      เปิดดู:
      61
    • SDC14828.JPG
      SDC14828.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  16. บ่วง

    บ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +726

    ขอบคุณค่ะ มาช่วยอธิบายให้กระจ่าง จขกท น่ารักจริงๆ
    ถ้าท่านว่าอย่างนั้น ดิฉันก็คงประมาทไม่ได้ ขอบคุณค่ะ
     
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    น่าอิจฉาคุณpegaojung จังเลยที่ได้มีโอกาสได้เดินทางไปศึกษา กับสำนักหมอเขียว ถึงมุกดาหาร

    พาร่างอวบๆเดินทางลุยเดี่ยวไปยังแดนไกล..ได้ความรู้ในระดับเกียรตินิยมของคุณpegaojung
    กลับมาเต็มพุงเลย ตามที่รับปากไว้ก่อนเดินทาง

    และยังนี่มีน้ำใจประเสริฐนัก
    ที่นำภูมิความรู้แบบปราชน์พื้นบ้าน บวกวิทยาการดีๆ
    มาเผยแพร่ถ่ายทอดความรู้เล่าสู่พี่น้อง พ้องเพื่อนได้ฟังกันอีก นับถือๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  18. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ไม่เป็นไรครับ..toplus99 ชอบทำตัวน่ารักๆให้สาวๆชมอยู่แล้ว ..อิ อิ
     
  19. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๑ การรับประทานสมุนไพรปรับสมดุล
    ตอนย่อยที่๒ แก้ภาวะเย็นเกิน

    มาหัวข้อนี้ วันนี้ ช่างเข้ากับข่าวบรรยากาศภาคเหนือที่อุณหภูมิเย็นลง
    ยอดดอยบางพื้นที่ลดลงเหลือ 5องศา เปลี่ยนแปลงไวอย่างนี้
    หากเรารู้จักสมุนไพรใกล้ตัว สามารถช่วยปรับร่างกายได้
    โดยไม่ต้องไปง้อรอความช่วยเหลือจากใครๆ
    ซึ่งในที่นี้ จะบอกเล่าเรื่องน้ำสมุนไพรก่อน
    ยังมีเรื่องอาหารการกินหลักๆที่เป็นมหากาพย์เรื่องยาวอีกนะ
    :z4

    อาการเย็นเกิน เป็นอย่างไรบ้างหนอ
    ก็จะมีอาการอาทิเช่น ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ เป็นแผลในช่องปากด้านบนหรือโคนลิ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น มีน้ำมูกใส นิ้วล็อคกำมือไม่ลง อุจจาระเหลวสีอ่อน เจ็บโคนลิ้น

    เมื่อมีรู้สึกว่าร่างกายเรามีภาวะเย็นเกิน ก็ให้ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์ร้อน
    เช่น น้ำต้มขมิ้น/ขิง/ข่า/ตะไคร้/กระเพรา/โหรพา/กระเทียม/กระชาย/มะตูม/กระเจี๊ยบ

    เลือกเอาสมุนไพรที่ใกล้ๆตัว หาง่าย จะใช้เดี่ยวหรือผสม ให้ดูความรู้สึกสบายของตัวเองเป็นหลัก ปรับปริมาณมากน้อยตามใจปรารถนาอย่าเป็นทุกข์

    แต่ แต่ โดยส่วนใหญ่ไม่มีใครเย็นเกินทั้งวัน ตัวเรากินเข้าไปเองควรสังเกตุดูเอาว่า เหมาะสมแค่ไหน กับการเลือกที่จะใช้สมุนไพรนั้นๆ บางอย่างที่เค้าบอกว่าดี แต่เราอาจไม่เหมาะก้อได้

    มีคำแนะนำเรื่องน้ำกระเจี๊ยบมาฝาก
    น้ำกระเจี๊ยบ ทำให้ขับสัสสาวะมีผลต่อไต เวลาต้มควรต้มคู่กับพุทราจีน


    กระเจี๊ยบ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาระบาย ละลายเสมหะ และแก้กระหายน้ำ
    พุทราจีน เป็นยาบำรุงเลือด ช่วยบำรุงสายตาและผิวให้สุขภาพดีไม่เป็นโรคเกี่ยวกับผิวพรรณและ สายตา ตาไม่ฟาง และไม่บอดกลางคืน ช่วยบำรุงประสาท เลือด กระเพาะอาหารและม้าม

    ตามสูตรของคนจีน ต้องใส่พุทราจีนแห้งลงไปต้มด้วย เพื่อป้องกันฤทธิ์ของกระเจี๊ยบไปกัดไตและ ปอด

    โดยส่วนตัวที่ทดลองดู รู้สึกว่าตะไคร้จะให้พลังสดชื่นกะตัวเองมากกว่า
    อยากรู้ต้องลองพิสูจน์เอาเองเด๊อค่า
    :z6

    ภาวะร้อนเย็นพันกัน

    กลุ่มนี้ก็มีคนเกิดพอสมควรที่ร้อนกับเย็นจะเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
    อาการก็จะมีเช่น ไข้สูงแต่หนาวสั่น ปวดศีรษะร่วมกับท้องอืด
    ตัวร้อนร่วมกับมือเท้าเย็น กระทบร้อนก็ไม่สบาย กระทบเย็นก้ไม่สบาย
    ลักษณะแบบนี้ ก็ให้ใช้ น้ำสมุนไพรร้อน+เย็นผสมกัน
    หรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นผสมน้ำอุ่นก็ได้


    ในช่วงที่ไปอบรม ส่วนตัวเองก็มีอาการร้อนเย็นพันกัน
    ศีรษะร้อน แต่ช่วงภายในช่องอกเย็น อากาศร้อน แต่กินน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นไป
    น้ำมูกไหลปี๊ดๆ ก็ไปผสมน้ำอุ่น อาการดีขึ้น


    พอกลับมาที่บ้านหาย่านางกินไม่ได้เร้ยย อิจฉาคนบ้านนอกนะเนี่ย
    ไปได้ใบบัวบกมาแก้ช้ำใจแทน อิอิ
    ใบบัวบก+ผักบุ้งแดง+ใบเตย ปั่นแล้วกรองน้ำ เวลากินผสมน้ำมะพร้าว
    (น้ำมะพร้าวที่เฉาะจากลูกมันเลยนะไม่ใช่น้ำมะพร้าวผสมที่ทำขายทั่วไป)
    คือ กลิ่นใบบัวบกและรสชาดมันช่างขื่นขม แต่กินแล้วไม่ขมขื่น
    กินไป.. เอออ.. อาการฟุดฟิดจากน้ำมูกดีขึ้นแฮะ ธรรมะจัดสรรให้เราแย้ววว
    ผู้ใดจะทดลองดูก้อได้ แต่เราไม่รับรองผล เอิ๊กๆๆ

    การดื่มน้ำสมุนไพร เราก็ควรเปลี่ยนชนิดไปบ้างเรื่อยๆ
    เหมือนการกินอาหารนั่นล่ะนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled8.png
      untitled8.png
      ขนาดไฟล์:
      28.2 KB
      เปิดดู:
      344
    • images9.jpg
      images9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8 KB
      เปิดดู:
      41
    • images10.jpg
      images10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.6 KB
      เปิดดู:
      40
    • 46.JPG
      46.JPG
      ขนาดไฟล์:
      705.1 KB
      เปิดดู:
      62
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2012
  20. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    หลักปฏิบัติที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเทคนิคทำใจให้หายจากโรคเร็ว

    ในวันที่กระแสวันสิ้นโลกเป็นที่ถกเถียงร้อนแรง
    ข้าเจ้าก้อแทบหมดแรง กว่าจะได้กินข้าวกลางวันก้อเกือบบ่ายสาม
    ก้อมีคำว่าแรงๆเหมือนกัน มึนๆให้เข้ากระแสกะเค้าไปงั้นๆ


    หลักๆในการกินที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงของหมอเขียว
    จะกินอาหารไปตามลำดับ ดังนี้
    ดื่มน้ำสมุนไพร-->ผลไม้ฤทธิ์เย็น-->ผัก/ผักพร้อมส้มตำ--ข้าว+กับข้าว-->
    -->ธัญพืช-->น้ำแกง/น้ำต้มจืด

    ซึ่งจะเล่ารายละเอียดในครั้งต่อไป

    ในครั้งนี้ จะบอกกล่าวเล่าตามที่หมอเขียวบอกไว้ว่า
    หลักปฏิบัติที่ทำให้แข็งแรงนั้นมี 7 ข้อ
    ซึ่งได้อ้างมาจากพระไตรปิฎก จะอยู่ที่หน้าไหน ตอนใด วรรคที่เท่าไหร่
    ข้าเจ้าไม่ได้จำมาบอกกล่าว ผู้รู้ๆทางธรรมคงค้นหาเจอได้เอง
    เท่าที่ตักใส่พุงมาฝากได้มีดังนี้


    ๑.เป็นผู้ทำความสบายให้แก่ตน -ดูจากร่างกาย จิตใจของตนว่ากินหรือทำแล้วสบายมั๊ย
    เป็นความสบายที่ไม่เดือนร้อนตน และผู้อื่น

    ๒.ประมาณในสิ่งที่สบาย
    -รู้ว่าแต่ละอย่างเป็นปริมาณที่เหมาะกับตนสิ่งที่ประหยัด เรียบง่ายนั้นคือ วิธีการของการพ้นทุกข์
    ๓.บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย
    -อิฐ หิน ดิน ทราย อย่าไปกินมันหนัก ย่อยยาก (deejai)
    รู้ประมาณการบริโภคของตน รู้สภาพ แล้วเลือกตามประโยชน์ให้เหมาะสม

    ๔.เที่ยวไปในกาละอันควร
    -ไม่ต้องอธิบายความก็น่าจะพอรู้ว่า ถ้าไปในกาลไม่เหมาะสม
    สถานที่ไม่เหมาะสม อาจจะเสียทั้งสุขภาพเสียทรัพย์

    ๕.ประพฤติเพียรดั่งพรหม
    -มีเมตตา(รู้ว่าอะไรดีที่สุดและปรารถนาให้เกิดสิ่งดีที่สุดแก่เขาหรือเรา) กรุณา(ลงมือทำให้ดีทีสุด) มุทิตา(ยินดีเมื่อทำให้ดีที่สุด) อุเบกขา(ปล่อยวางไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ดีที่สุดให้ใจเป็นทุกข์)
    ๖.เป็นผู้มีศีล
    ๗.คบมิตรที่ดีงาม


    ตัวชี้วัดการมีสุขภาพดี

    ๑.ความเจ็บป่วยน้อย
    ๒.ความลำบากกายน้อย
    ๓.เบากาย
    ๔.มีกำลัง
    ๕.เป็นอยู่ผาสุก


    ในความเจ็บป่วยกับการดูแลสุขภาพ ซึ่งไม่ว่าท่านจะมีการปฏิบัติดูแลกายดียังไง
    แต่ถ้าไม่รู้ความจริง หรือ สัจจะแท้ของจิตวิญญาณ ถึงอาการดีขึ้น แต่เมื่อเป็นทุกข์รึใจเสีย
    เกิดกลัวตายอย่างมาก สิ่งที่พากเพียรดูแลตนเองมาจะถูกจิตวิญญาณที่เป็นทุกข์กวาดทิ้งสิ้น เกิดอาการทรุดหนักอย่างรุนแรงทีเดียว
    :boo:

    เทคนิคทำใจให้หายจากโรคเร็ว มีวิธีปฏิบัติ๔ประการดังนี้

    ๑.อย่ากลัวตาย ยาที่รักษาโรคที่แรงและออกฤทธิ์เร็วที่สุดในโลก คือ จิตวิญญาณที่เป็นสุข
    ตรงกันข้าม ยาพิษที่ร้ายที่สุดในโลกและออกฤทธิ์เร็วที่สุด คือ จิตที่เป็นทุกข์และเบียดเบียน

    ๒.อย่ากลัวโรค ความเป็นโรคทำให้เราได้ประโยชน์หลักๆอย่างน้อย๓ประการ
    คือ ทำให้มีน้ำอดน้ำทนมากขึ้น ทำให้เวรกรรมเราน้อยลง(ไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยไม่ได้ทำมา) และทำให้เป็นผู้ฝึกแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ(จึงลดโรคได้)

    ๓.อย่าเร่งผล พักกาย คือ หยุดทำ พักใจ คือ หยุดทุกข์
    ๔.อย่ากังวล เมื่อทำดีเต็มที่แล้ว ทำเต็มที่แล้ว ก็ดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องทุกข์
    ปรารถนาให้เกิดสิ่งดีที่สุด

    ลงมือทำให้ดีที่สุด
    ยินดีที่พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว
    ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
    นั่นแหล่ะคือ "สิ่งที่ดีที่สุด"
    ;aa10
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...