82.นมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ

๘๒

นมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ



​

เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว สร้อยฟ้ามาลาได้ถูกชักชวนให้ไปไหว้รอยพระพุทธบาทที่เขาคิชฌกูฏ การเดินทางในครั้งนั้นมีสมาชิกพลังจิตไปด้วยอีก ๒ ท่าน เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นเขาคิชฌกูฏและเป็นการขึ้นเขาในตอนกลางวัน กลับลงมาจากเขาแบบสะบักสบอม เพราะอากาศร้อน คนเยอะมาก เดินไหลๆ กันขึ้นไป แต่คราวนั้นเดินไปไม่ถึงเขตผ้าแดง ด้วยไม่ทราบว่าคืออะไร นึกว่าไปถึงรอยพระบาทก็จบแล้ว...

​

 

๗ ปีต่อมา(ก็ปีนี้แหล่ะ) เพื่อนที่ทำงานได้ชวนไปไหว้รอยพระพุทธบาทที่เขาคิชฌกูฏ เดินทางโดยรถยนต์ ๒ คัน สมาชิกทั้งหมด ๖ คน นัดกันสตาร์ทรถบ่ายสามโมงมุ่งหน้าสู่จังหวัดจันทบุรี แวะกลางทางทานอาหารค่ำที่จังหวัดระยอง ช่วงนี้เส้นทางบ้านบึงทำถนน จึงไม่ได้ใช้เส้นทางเดิมแบบคราวก่อน หลังจากลงทางด่วนบางนามาก็เข้าถนนมอเตอร์เวย์แล้วไปโผล่ที่ระยอง พักทานอาหารแล้วก็มุ่งสู่วัดพลวง ถึงวัดหาที่จอดรถได้แล้วมองเวลาประมาณ ๔ ทุ่มกว่าๆ ก็ถึงเวลาแสวงบุญกัน คณะของเราเตรียมธูปหอมและดอกดาวเรืองมาเองเป็นถุงใหญ่ๆ ไม่ต้องหาซื้อเหมือนที่ผ่านมา จุดแรกก็มาไหว้พระทำบุญหยอดตู้กันก่อนขึ้นเขา แต่ไม่ได้ไหว้ตามจุดต่างๆ เหมือนเมื่อเคยบรรยายไว้ที่กระทู้ที่แล้ว(สร้อยฟ้าฯพาเที่ยว ตอน สาวสาวพลังจิตพิชิตเขาคิชฌกูฏ) ซึ่งจะแบ่งเป็น ๗ จุดด้วยกัน คือ

 

​

จุดแรก ไหว้พระพุทธรูป ๙ องค์ โดยให้ปิดทองพระพุทธรูป องค์หนึ่งก็ขอพรครั้งหนึ่ง จนครบ ๙ องค์ ก็คือขอ ๙ ครั้ง

จุดที่สอง จุดธูปเทียน ตั้งสัจจะขอในสิ่งที่ต้องการต่อหน้าสังขารหลวงพ่อนัง(พระครูพุทธบทบริบาล) เป็นการขอครั้งที่ ๑

จุดที่สาม เมื่อขอสิ่งที่ต้องการแล้ว(การขอครั้งที่ ๑) ก็ประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ ให้เป็นสิริมงคลก่อนขึ้นไปบนเขา

จุดที่สี่ จุดธูป เทียน ตั้งสัจจะอธิฐานที่พระอภิบาลมงคลพุทธไสยาสน์ เป็นการขอครั้งที่ ๒

จุดที่ห้า จุดธูป เทียนไหว้พระ ที่เจดีย์กลางเขาจะเป็นการขอครั้งที่ ๓ และเป็นจุดเปลี่ยนรถ

จุดที่หก ลงรถได้เราก็ต้องมาไหว้พระสิวลี ซึ่งด้านหลังพระสิวลีจะมีศาลของปู่ฤษีด้วย

จุดที่เจ็ด ให้จุดธูป เทียน ไหว้พระแล้วให้ทำจิตตั้งสมาธิ แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ได้ตั้งสัจจะขอไว้ต่อหน้าหลวงพ่อนังที่รอยพระพุทธบาทเป็นครั้งสุดท้าย เป็นอันเสร็จสิ้นในการเดินทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท

 

มาคราวนี้ใช้วิธีไหว้ตามสะดวก ไม่ได้ทำตามที่เขากำหนดไว้

 

​

 

​

 

​

 

​

เมื่อคณะของเราไหว้พระที่วัดพลวงแล้วก็เดินมาที่ท่ารถ ตอนกลางคืนคนน้อย ขึ้นรถสบายๆ ไม่ต้องคอยคิว ไม่ต้องเบียดเสียด อากาศก็เย็นสบายดีด้วย

 

​

แล้วก็ถึงเวลาช่วงหฤหรรษา แรลลี่ขึ้นเขา สนุกสุดเหวี่ยงคือ เหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา ที่จริงสร้อยฟ้าฯ เป็นคนไม่เมารถนะ พอผ่านช่วงแรกขึ้นมาได้ลงรถเดินไม่ตรงเลย โงนเงนไปหมด เดินเป๋ มือสั่นเพราะเกาะราวกระบะรถเกร็ง

 

​

แล้วก็มาซื้อตั๋วขึ้นรถต่อช่วงที่สอง ช่วงนี้ทางชันกว่าช่วงแรก พื้นถนนเป็นดินแดงมีกรวดหิน เห็นแล้วกลัวรถขึ้นไม่ไหว นั่งระทึกทุกช่วงโค้งถนน

 

​

รถก็พาพวกเรามาถึงช่วงที่ต้องออกกำลังขาเดินขึ้นเขา แต่ก่อนอื่น ไหว้พระขอพร เอาฤกษ์เอาชัยให้ปลอดภัยทั้งขาขึ้นและลง

 

​

 

​

 

​

ตอนนี้ด้านบนเขากำลังมีการก่อสร้าง จึงมีซุ้มทำบุญหิ้วหินหิ้วทรายเดินขึ้นเขา ทำบุญไป ๒๐ บาท สร้อยฟ้าฯ ก็ได้ถุงหินถุงทรายถือขึ้นไปด้วย เป็นถุงหูหิ้วเล็กๆ ไม่ต้องใช้แรงในการหิ้วเยอะ ถ้าทุกคนที่ขึ้นเขาช่วยกันหิ้วขึ้นไปคนละเล็กละน้อย ไปถึงด้านบนก็ได้กองใหญ่ๆ เอง

 

​

อ่ะถึงเวลาออกกำลังขากันแล้ว เดินๆๆๆๆ ทางเดินบันไดขึ้นไปบางช่วงและหลายช่วงทำใหม่กว้างกว่าเดิม คืนนี้หมอกบนเขาลงจัด บางช่วงมองเห็นได้ไม่ไกล บางช่วงเห็นทางข้างหน้าได้แค่ ๕ – ๑๐ เมตร จุดปลายทางมองไม่เห็นเลย สองข้างทางมืดสนิท แต่ทางเดินขึ้นมีไฟส่องทางเป็นระยะๆ ทำให้เห็นทางเดินได้ บางช่วงไฟห่างหน่อยมีต้นไม้ใหญ่บังเงาก็ต้องเดินระวังหน่อย เดินขึ้นไปเรื่อยๆ รู้สึกทำไมหัวเย็นๆ ลองจับผมดู เปียกไปด้วยน้ำค้างเหมือนใครเอาน้ำมาพรมบนหัว ยิ่งเดินยิ่งเปียก นึกๆ อยู่ว่าถ้าเดินเสร็จแล้วจะเป็นหวัดหรือเปล่า แรกเดินขึ้นรู้สึกหนาวนะ ใส่เสื้อยึดธรรมดา เดินไปสักพักเหงื่อเริ่มออก จากหนาวเป็นเย็นสบาย ร่างกายเริ่มอบอุ่นเพราะได้ออกแรงเดิน เดินไป หยุดไหว้พระไป ตามแต่ที่ที่มีพระพุทธรูปและจุดสำคัญๆ อยู่ระหว่างทางเดิน

 

​

 

​

 

​

 

​

 

​