วันหนึ่ง หลวงพ่อดู่ท่านมองไปที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดกลุ่มหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ข้าตายแล้วต้องลงนรก" พอลูกศิษย์ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเรียนถามท่านในทันทีว่า"หลวงพ่อจะตกนรกได้อย่างไร ในเมื่อหลวงพ่อบำเพ็ญคุณงามความดีมามากออกอย่างนี้" หลวงพ่อตอบกลับไปว่า "ข้าก็จะลงนรก เพื่อไปเตะพวกแกขึ้นมาน่ะสิ" คำ เตือนของหลวงพ่อนั้น ชวนให้ศิษย์ทั้งหลายต้องมานึกทบทวนตัวเองว่าการที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ครูบา อาจารย์นั้นก็มิใช่เป็นหลักประกันว่าจะไม่ลงนรก ตรงกันข้าม หลวงพ่อท่านได้พูดเตือนทำนองเดียวกันนี้หลายครั้งหลายหน เพราะช่องทางทำบาปของคนเรามีมากเหลือเกิน จนท่านเอ่ยว่า คนเราเป็นอยู่โดยบาปทั้งนั้น เพียงแต่ผู้ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ก็บาปน้อยหน่อย หลวงพ่อท่านเป็นแบบอย่างที่หาได้ยากในเรื่องความ ระมัดระวัง ไม่ให้เป็นหนี้สงฆ์ ถึงขนาดว่าก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่กี่วัน ท่านได้บอกช่องลับกับโยมอุปัฏฐากให้ทราบ เพื่อว่าจะได้สามารถเปิดประตูเข้ากุฏิท่านในกรณีฉุกเฉินได้ โดยไม่ต้องไปงัดประตู อันเป็นการทำลายของสงฆ์ ซึ่งในที่สุดก็มีเหตุให้ได้เปิดประตูกุฏิท่านผ่านทางช่องลับนั้นจริงๆ ในเช้าตรู่ของวันอังคารที่ 17 มกราคม 2533 อันเป็นวันที่ท่านละสังขาร นอก จากนี้ ท่านยังได้พูดเตือนอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราอาจมองข้าม เป็นต้นว่า เอ่ยปากใช้พระหยิบโน่นหยิบนี่ ไม่ยกเว้นแม้กรณีขอให้พระท่านหยิบซองให้เพื่อจะใส่ปัจจัยถวาย การหยิบฉวยของสงฆ์ไปใช้ส่วนตัว การพูดชักไปในทางโลกในขณะที่ผู้อื่นกำลังสนทนาธรรม การส่งเสียงรบกวนผู้ที่กำลังปฏิบัติภาวนา การขายพระกิน ซึ่งเรื่องหลังนี้ ท่านพูดเอาไว้ค่อยข้างรุนแรงว่า ใครขายพระกิน จะฉิบหาย สมัยท่านยังมีชีวิต ท่านจะพูดกระหนาบบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหาร ทานไม่ให้พูดคุยกัน จะทำกิจอันใดอยู่ ก็ให้มีสติ พยายามบริกรรมภาวนาไว้เรื่อยๆ เรียกว่าเกลี่ยจิตไว้ให้ได้ทั้งวัน เมื่อถึงคราวนั่งภาวนา จิตจะได้เป็นสมาธิได้เร็ว เวลาจิตจะโลภ จะโกรธ จะหลง ก็จะได้รู้ได้เท่าทัน ดัง ที่หลวงพ่อสอนว่า การตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเท่านั้น จึงจะช่วยให้เราห่างจากนรกได้ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องคอยสอบทานตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าเราเข้าวัดเพื่ออะไร เพื่อความเด่นความดัง หวังลาภสักการะ หวังเป็นผู้จัดการพระ ผู้จัดการวัด ฯลฯ หรือเพื่อมุ่งละโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นตัวก่อทุกข์ก่อโทษข้ามภพข้ามชาติไม่รู้จักจบจักสิ้นที่มีอยู่ในใจ เรานี้ ปฏิปทาที่จะช่วยให้เราปลอดภัย และห่างไกลจากนรกคือ การเกรงกลัวและละอายใจในการทำบาปกรรม หรือสิ่งที่จะทำจิตใจเราให้เศร้าหมองขุ่นมัว ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับหมู่คณะโดยไม่จำเป็น หากแต่ควรมุ่งเน้นการปฏิบัติภาวนาเป็นหลัก เป็นผู้พร้อมรับฟับคำตักเตือนของผู้อื่น โดยเฉพาะคำตักเตือนจากครูบาอาจารย์ อย่างที่ทางพระท่านสอนว่า ให้อดทนในคำสั่งสอน คิดเสียว่าท่านกำลังดุด่ากิเลสของเราอยู่ ท่อนซุงทั้งท่อน ถ้าไม่ได้ขวานช่วยสับช่วยบาก ไม่ได้กบไสไม้ ช่วยทำพื้นไม้หยาบๆ ให้เกลี้ยงเกลาขึ้น ไม่ได้กระดาษทรายช่วยขัดให้ไม้เรียบเนียน ไม่ถูกดัดถูกประกอบ ก็คงไม่กลายมาเป็นเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่มีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้น จิตใจของเราที่หยาบอยู่ หากไม่ได้รับการขัดเกลาหรืออบรมจากครูอาจารย์ไม่ได้รับการอบรมด้วยธรรมของ พระพุทธเจ้า จิตใจนั้นก็ย่อมเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ ครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสเรียนถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ ที่ว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมนั้น ธรรมที่ว่านั้นท่านหมายถึงธรรมเรื่องใดครับ" เมื่อสิ้นเสียงคำถามของข้าพเจ้า หลวงพ่อท่านก็ตอบในทันทีว่า "กายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต" ซึ่ง คำสอนของท่านข้างต้น ก็เป็นการตอบให้ชัดอีกครั้วว่า อานิสงส์แห่งการประพฤติความดีทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจนี้แหละ จะกลับมารักษาเราไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว จึงเป็นหลักประกันที่ช่วยให้เราห่างไกลจากนรก อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถเข้าใกล้หลวงพ่อด้วยการเพิ่มพูนคุณธรรมความดีให้ ยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อว่าในที่สุดจะได้ไม่ต้องรบกวนหลวงพ่อให้ต้องลำบากลงนรกมาสงเคราะห์ ศิษย์ ดังที่ท่านปรารภด้วยความห่วงใย ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ที่มา หลวงปู่ดู่ : "ข้าก็จะลงนรก เพื่อไปเตะพวกแกขึ้นมาน่ะสิ" <table style="table-layout: fixed;" width="100%" border="0"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%"> </td> </tr><tr> </tr></tbody></table>
ครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสเรียนถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ ที่ว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมนั้น ธรรมที่ว่านั้นท่านหมายถึงธรรมเรื่องใดครับ" เมื่อสิ้นเสียงคำถามของข้าพเจ้า หลวงพ่อท่านก็ตอบในทันทีว่า "กายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต" -------------------------------------------------------------------------- หลวงปู่ดู่ กราบหนึ่ีง กราบสอง กราบสาม
แหมสุดยอดมากๆครับ สาธุ สาธุ สาธุ โดนใจที่สุดครับ มาคิดดูตัวเองก็ยังข้ามไม่พ้นนรกจริงๆด้วย สาธุ สาธุ สาธุ
อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งคะ ทั้งกับหลวงปู่และทั้งผู้ตั้งกระทู้ หากวันนึงได้สั่งสมบารมีจนยิ่งยวดแล้วสามารถไปนรกได้ก็จะขอไปเหมือนกันคะเพื่อช่วยผู้ที่เคยเกี่ยวข้องเคยเมตตามีบุญคุณต่อกัน
อนุโมทนาด้วยครับ บางทีลูกศิษย์กลับใกล้เกลือกินด่าง อยู่กับพระอริยะแท้ๆ แต่กลับไม่เอาใจ เข้าถึงธรรม ปล่อยให้ความโลบและกิเลสครอบงำ ทำบาบทำผิดจนได้ หลวงปู่ท่านรู้ด้วยญาณ ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกหลวงปู่ตำหนิ เตือนสติให้คิดได้ครับ สาธุ นานแล้วไม่ได้ไปกราบหลวงปู่ดู่ ที่วัดสะแก มีเวลาคงได้ไปกราบไหว้และทำบุญที่วัดครับ
"ท่อนซุงทั้งท่อน ถ้าไม่ได้ขวานช่วยสับช่วยบาก ไม่ได้กบไสไม้ ช่วยทำพื้นไม้หยาบๆ ให้เกลี้ยงเกลาขึ้น ไม่ได้กระดาษทรายช่วยขัดให้ไม้เรียบเนียน ไม่ถูกดัดถูกประกอบ ก็คงไม่กลายมาเป็นเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่มีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้น จิตใจของเราที่หยาบอยู่ หากไม่ได้รับการขัดเกลาหรืออบรมจากครูอาจารย์ไม่ได้รับการอบรมด้วยธรรมของ พระพุทธเจ้า จิตใจนั้นก็ย่อมเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้" กราบนมัสการหลวงปู่ด้วยจิตบูชา
การตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเท่านั้น จึงจะช่วยให้เราห่างจากนรกได้ ขอกราบหลวงปู่ครับ อนุโมทนา สาธุ ๆ ๆ<!-- google_ad_section_end -->
นี่เราจะได้ลงนรกขุมไหนเนี่ย มีแต่บาปหนัก ๆ ทั้งนั้น ได้ยินหลวงปู่ท่านว่าขายพระกินระวังไว้จะฉิบหาย โอยตาย อาชีพก็ไม่เชิงขายพระซะทีเดียว แต่ก็มีขายบ้างนิดหน่อย นี่จะลงนรกขุมไหนอีกเนี่ย
เจอจากอีกกระทู้ครับ การขายพระเครื่องบาปหรือไม่ อย่างไร ศิษย์ : อย่างนี้พวกที่ขายพระเค้าก็เป็นบาป? หลวงตา : ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องบาป หนักมาฮะ ศิษย์ : แล้วถ้าเค้าขายเพื่อดำรงชีวิตของเค้า บาปไม๊? หลวงตา : บาปฮะ ถ้าเงินที่ได้มา ไม่ได้เอามาต่อบุญ ไม่ได้เอาบุญมาต่อบุญ ศิษย์ : แล้วถ้าเค้าให้บูชาเพื่อเอาเงินมาทำบุญ? หลวงตา : อันนั้นมันบุญต่อบุญ ไม่บาป ไม่เกี่ยวกัน ศิษย์ : ก็คือต้องขายเพื่อเอามาทำบุญต่อบุญ? หลวงตา : ใช่ ศิษย์ : ขายเอามากินเองไม่ได้เลย? หลวงตา : ไม่ได้ อย่างน้อยๆ 1 ใน 3 จะต้องทำบุญ หลวงพ่อดู่ท่านว่านะ เป็นการชำระหนี้สงฆ์ คือถ้าจะใช้ได้ เราต้องชำระหนี้สงฆ์ ศิษย์ : อย่างตอนนี้เป็นพุทธพานิชย์ไป คนก็ยิ่งบาปกันเข้าไปใหญ่? หลวงตา : บาปเยอะฮะ... หลวงพ่อดู่ท่านไม่เคยจำหน่ายพระฮะ พระผง พระสีขาวๆ ยกเว้นเป็นเหรียญ มันต้องมีต้นทุน ไปสร้างเมรุเผาผี สร้างอะไร ต้องใช้เหรียญ แต่พระขาวๆนี่ ท่านไม่ได้ขาย แจกหมดเลยฮะ แจกพร้อมแผ่นแนวทางปฏิบัติ ตอนหลังที่ท่านไม่แจกเพราะมันเอาไปขาย ขอเอาไปขาย ศิษย์ : อย่างนี้พวกปลอมพระนี่ คงยิ่งไม่ต้องพูดถึง? หลวงตา : ไม่ต้องพูดถึง ศิษย์ : แต่ถ้าเป็นพระปลอม แต่มีรูปลักษณ์ของพระ ของหลวงปู่ ก็ยังมีพลังงานไม๊ครับ? หลวงตา : มีฮะ
K.Ji ครับหลวงตา ณ.ที่นี้คงเป็นหลวงตาม้า ศิษย์หลวงปู่ดู่นะครับ ฝากถาม แล้วหากปล่อยพระไป แล้วทำบุญไม่ถึง ๑ ใน ๓ จะบาปอย่างไรครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับๆๆ