การเข้าสู่พุทธธรรมของ Jet Li

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 10 พฤษภาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]
    "กรรมที่เราทำไว้ในอดีตเป็นผู้เขียนบทปัจจุบันชีวิตเรากำลังดำเนินไปตามบทนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
    ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของ Jet Li ดาราภาพยนตร์แอ๊คชั่นชื่อดังของโลก เล่าให้เราฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่เขาได้พบพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยบังเอิญ

    Jet Li ดาราภาพยนตร์เชื้อชาติจีน มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์กังฟูที่เขาแสดงหลายเรื่อง รวมทั้ง "Hero" ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของขา ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศมาเลเชีย ในระหว่างการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของชาวจีน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2003 เขาเล่าว่า
    "ในปี 1997 ผมตัดสินใจเกษียณตัวเอง จากการสร้างภาพยนตร์ สาเหตสำคัญที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจเช่นนั้น ก็คือผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเหลือเกิน ท่านผู้อ่านลองคิดดูก็แล้วกันว่า ถ้าเป็นท่าน ท่านจะรู้สึกอย่างไร ผมเริ่มทำงานเมื่ออายุ 8 ขวบ โดยการฝึกมวยวูซู (wushu) วันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลานานถึง 10 ปี หลังจากนั้น ผมก็เริ่มทำงานสร้างภาพยนตร์ เป็นทั้งผู้สร้าง ผู้กำกับ และผู้แสดง โดยตัวผมเองเป็นตัวเอกของเรื่อง และก็สร้างภาพยนตร์ประเภทเดียวกันนี้ในปีต่อ ๆ มาเป็นเวลาอีกหลายปี เรายังคงสร้างภาพยนตร์ประเภทเดิม ๆ ติดต่อกันมาอีก และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไรที่มีการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว พวกเขานั่นแหละจะขอให้ผมช่วย pose ท่าเด็ด ๆ ให้พวกเขาบันทึกภาพเหล่านั้นไว้ แต่มันก็ดีไปอย่างหนึ่ง ที่มันทำให้ผมกลายเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ภาพยนตร์ของผมสามารถดูดเงินจากกระเป๋า ของท่านผู้ชมเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของผมอย่างไม่ขาดสาย จนผมกลายเป็นคนมีเงินมากระดับเศรษฐี แต่ในขณะเดียวกัน เกียรติยศชื่อเสียงและทรัพย์สินเงินทองนั้นเอง ก็นำความทุกข์และความเจ็บปวดมาสู่ผมพอ ๆ กัน หรือมากกว่าด้วยซ้ำไป กาลเวลาที่ผ่านไป ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า แต่ละขั้นตอนของชีวิตล้วนแต่มีตักกะหรือเหตุผลของมันเอง และทำให้ผมยอมรับด้วยเกียรติยศ ว่าผมได้บทสรุปที่แน่นอนแล้วว่า ผมหมดความสนใจในอันที่จะสะสมชื่อเสียงเกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทอง และอำนาจวาสนา ให้มากกว่าเท่าที่มีและที่เป็นผมถือว่าเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการทำสิ่งที่ดีและถูกต้อง เพื่อแม่ เพื่อครอบครัว เพื่อลูก ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างผมได้จัดหาไว้ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว ผมจึงได้ตัดสินใจเกษียณตัวเอง
    ในขณะเดียวกันนั้นเอง ผมได้พบกับท่านอาจารย์โลฮ์คุนแสง (Lho Kunsang Rinpoche) พระผู้สำเร็จหรือบรรลุธรรมชั้นสูงทางด้านจิตวิญญาณในพระพุทธศาสนาแบบธิเบต ท่านถามผมว่า
    "เพราะอะไรอุบาสกจึงเกษียณตัวเองจากงานการสร้างภาพยนตร์"
    "ต้องการใช้เวลาศึกษาพระพุทธศาสนา เพื่อดำเนินชีวิตแบบพุทธ ตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผมตอบท่านอาจารย์ทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด

    "ช้าก่อนอุบาสก ท่านจะเกษียณตัวเองในตอนนี้ไม่ได้ เพราะว่าในเส้นทางการดำเนินธุรกิจของอุบาสก มีโอกาสจะได้พบกับพระอาจารย์ผู้บรรลุธรรมชั้นสูงอีกมากมายหลายท่าน" ท่านอาจารย์ได้กรุณาชี้อนาคตของผม และท่านเหล่านั้นก็ได้บอกแก่ผมว่า ชะตาชีวิตของผมมีอันจะต้องข้องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอยู่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องวัดเส้าหลิน ในขณะที่ผมกำลังหัดซ้อมบทการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ สำหรับตัวละครที่ผมเองเป็นผู้แสดงอยู่นั้น บรรดาผู้คนที่อยู่ในวัดต่างก็บอกผมว่าให้ผมบวชเป็นพระเสียเลย แต่ผู้กำกับห้ามไม่ให้บวชเพราะภาพยนตร์กำลังจะจบอยู่แล้ว แต่สำหรับตัวผมเองได้มีความรู้สึกมานานแล้วว่ามีความซึ้งในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
    ผมกล่าวกับท่านอาจารย์ว่า "ทุกคนได้กระตุ้นผม ได้ส่งเสริมผมให้บวชเป็นพระ หรือสละชีวิตทางโลกแล้วหันมาศึกษาพระคัมภีร์กันทั้งนั้น นอกจากท่านอาจารย์องค์เดียวที่บอกให้ผมกลับไปทำงานต่อ"
    "ก็อุบาสกยังไม่ได้ทำภารกิจในชีวิตนี้ของอุบาสกให้เสร็จ" ท่านอาจารย์กล่าวค้าน
    "จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร" ผมถามท่านอาจารย์ "ผมพอใจในสิ่งที่มีผู้ให้ผมมา และพอใจในสิ่งที่ผมสามารถจะให้ผู้อื่น ผมพอใจในอาชีพของผม ในชื่อเสียงของผม ในครอบครัวของผม ผมได้ประสพผลสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงมือทำ ยังมีอะไรอีกไหมที่ใคร ๆ จะเรียกร้องเอากับผม"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น อุบาสกไม่มีหนี้ผูกพันกับผู้ใด แต่อุบาสกยังมีภาระใหญ่หลวงที่จะต้องรับผิดชอบทำไปตามบทที่ กรรมหรือการกระทำในอดีต ได้กำหนดเอาไว้"
    "ถ้าอย่างนั้น ขอท่านอาจารย์ได้โปรดบอกผมเลยว่ามันคืออะไร" ผมร้องถามท่านอาจารย์ "ถ้าผมรู้ว่ามันคืออะไร ผมอาจไม่เห็นด้วยและปฎิเสธที่จะรับเอาความรับผิดชอบที่จะปฎิบัติตามบทที่ กรรม ได้เขียนบทไว้ให้ผมแสดง"
    "ไม่มีทางที่อาตมาจะบอกได้ว่ามันเป็นอะไร" ท่านอาจารย์ตอบผม "อุบาสกคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ได้ด้วย ญาณวิสัย ของอุบาสกเอง"
    "ขอรับกระผม" ผมรับปากกับท่านอาจารย์ทั้งที่ยังงง "ถ้าท่านอาจารย์ยืนยันเช่นนั้น กระผมจะพยายามค้นหามันให้พบ" ผมกล่าวเสริมทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าที่ท่านอาจารย์พูดมานั้นหมายถึงอะไร
    แต่ในระหว่างนั้น ผมก็ดำเนินการสร้าภาพยนตร์ต่อ ผมลงมือถ่ายทำเรื่อง "อาวุธมหาประลัย 4" ซึ่งมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า The Lethal Weapon 4 และแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านไปหนึ่งหรือสองปี ผมใช้เวลาให้หมดไปกับความพยายาม ในการค้นหาสิ่งที่ผมจะต้องรับผิดชอบ ว่ามันควรจะเป็นอะไรและอย่างไร
    เวลาล่วงเลยมาถึงตอนที่ ท่านอาจารย์แวะมาเยี่ยมเยียนผมเมื่อปีที่แล้วในอเมริกา ผมเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าผมพอมองเห็นแนวทางว่า ท่านอาจารย์หมายความอย่างไร ผมมองเห็นแนวทางหลายอย่างว่าผมควรจะทำอะไรอย่างไร และสิ่งนั้นจำเป็นจะต้องทำไปพร้อม ๆ กับเหตุจูงใจในการสร้างภาพยนตร์ของผม
    เหตุผลอะไรบ้างที่สามารถดลใจให้ผมกลับมามุ่งมั่นในการที่จะประกอบอาชีพสร้างภาพยนตร์นี้ต่อไป ทั้ง ๆ ที่เป็นงานที่ต้องใช้ร่างกายที่แข็งแรง และเสี่ยงต่อการเจ็บตัวอยู่ตลอดเวลา ก็อย่างที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นว่า ขณะนี้ผมเป็นคนชนิดที่ไม่สนใจใฝ่หาทรัพย์สินเงินทอง หรือเกียรติยศชื่อเสียงอีกต่อไปแล้ว และสิ่งเหล่านี้ผมก็มีบริบูรณ์ พอที่จะดูแลครอบครัวของผมให้มีความสุขไปอีกนาน และเกียรติยศชื่อเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่โบราณกล่าวไว้ว่า มียศเสื่อมยศ ถามว่ามีคนที่มีชื่อเสียงสักกี่คนที่ยังดำรงคงอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ มีดาราภาพยนตร์กี่คนที่สามารถยืนอยู่ด้วยลำพังคนเดียวในฮอลลีวูด และกี่คนแล้วที่เลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนภาพยนตร์ กาลเวลาทำให้สิ่งต่าง ๆ เลือนหายไปพร้อม ๆ กับตัวของมัน วัยรุ่นปัจจุบันจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของดาราในยุคที่เพิ่งผ่านไป ถ้าคุณสามารถมองทะลุภาพลวงตาของสิ่งที่เราเรียกว่าชื่อเสียง คุณก็คงจะไม่ยอมให้ภาพมายานั้นมาบังคับบัญชาคุณได้
    แต่แล้วในปีที่ผ่านมา ผมก็สามารถกำหนดรูปแบบออกมาได้ในที่สุด หมายความว่าผมได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งในอันที่จะต้องรับภาระหน้าที่ นำพระพุทธศาสนาเข้าสู่ตะวันตก โดยวิธีที่ไม่เป็นไปตามจารีตประเพณี และโดยผ่านสื่อที่ไม่เป็นไปตามแบบแผนที่เคยใช้มาก่อน จริง ๆ แล้ว ในพระพุทธศาสนามีคำสอนที่เป็นหลักสำคัญๆ อยู่หลายประการด้วยกัน แต่ผมขออนุญาตยกมาพูดในที่นี้ 2 ประการ คือ:
    ประการที่ 1 หลักคำสอนเรื่องกรรมพระพุทธศาสนาสอนว่า "กรรม คือการกระทำของเรา เป็นผู้ลิขิตเส้นชีวิตและจุดหมายปลายทาง หรือวางอนาคตของเรา" ประการที่ 2 หลักคำสอนเรื่องความ เมตตากรุณา พระพุทธศาสนาสอนว่า "เราพึงปฎิบัติต่อกันด้วยความเมตตากรุณา"
    ผมได้เริ่มสังเกตมาตลอดเวลาว่า ทุกคนชอบที่จะบ่นว่า หรือโทษสิ่งนั้นคนนี้สารพัด เกี่ยวกับสุขภาบ้าง เกี่ยวกับการงานบ้าง เกี่ยวกับนายจ้างบ้าง เกี่ยวกับญาติพี่น้องบ้าง หรือเกี่ยวกับครอบครัวบ้างเรื่อยไป คนทั้งหลายต่างก็ได้แต่บ่นให้กับคามผิดพลาดหรือความอาภัพ อับโชคในชีวิตองตน พลางใส่ไคล้ว่าคนอื่นๆ ต่างรุมสร้างความยุ่งยากให้แก่ชีวิตของตน แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดแก่เขานั้น ล้วนเป็นผลกรรม หรือจะพูดให้ชัดก็คือ ผลของการกระทำในอดีตของเขาเองทั้งสิ้น โดยทำนองเดียวกัน การกระทำทุกอย่างของคุณในชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย ที่เรียกว่า กายกรรม เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม หรือดื่มสุราเมรัย และยาเสพติด หรือการกระทำทางวาจา ที่เรียกว่า วจีกรรม เช่นพูดปด พูดหลอกลวง หรือพูดฉ้อโกงเอาทรัพย์และหรือการกระทำทางใจ ที่เรียกว่า มโนกรรม เช่น คิดเคียดแค้น อาฆาตจองเวร ทุกอย่างเหล่านี้ล้วนกำหนดบทลงโทษสำหรับชีวิตอนาคตของคุณ อาจจะเป็นโทษหรือทุกข์เดือดร้อนในชาตินี้ หรือชาติหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะนี้อยากจะขอให้คุณลองนึกดู หากคุณจำเป็นต้องเขียน แผนการชีวิตของคุณเองในบั้นปลาย คุณอาจปิดไม่ให้บุคคลอื่น แต่คุณไม่อาจปิดบังตัวคุณเองได้ ในทำนองเดียวกัน คุณรู้อยู่แก่ใจว่า ใครบ้างที่คุณใส่ร้ายเขา งานที่ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ที่คุณยังไม่ได้ทำให้สำเร็จ และคำมั่นสัญญาอะไรกับใครที่คุณละเลยไม่รักษาคำสัญญานั้น

    "จุดมุ่งหมายที่สำคัญในการสร้างภาพยนตร์ของผมในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่ตัวภาพยนตร์ แต่อยู่ที่ความมุ่งหวังตั้งใจของผม ที่จะใช้ภาพยนตร์หรือ TV หรือ Internet เป็นสื่อเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ความเข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผมได้ประสบมาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งมาสู่จักษุและโสตประสาทของเพื่อนผู้ชมและผู้ฟังที่อยากจะได้รับรสพระธรรมของพระพุทธองค์เป็นสำคัญ"

    หากคุณมีโอกาสสร้างภาพยนตร์หรือละครในทำนองนี้ คุณก็สมควรสร้างโครงเรื่อง ที่ดีงามและน่าตื่นเต้น ได้ชื่อว่าคุณได้สร้างเวทีให้ตัวละครในเรื่องของคุณได้แสดงออกซึ่งอารมณ์เพื่อจูงใจผู้ดูได้อย่างวิเศษ ได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหาที่ยากที่ไม่มีใครแก้ได้ให้แก้ได้อย่างง่าย ๆ ได้เสนอให้เห็นความผิดพลาดที่พระเอกหรือนางเอกในเรื่อง เจรจาชี้ทางออกให้ผู้ชมนำไปแก้ปัญหาที่เขาประสบในชีวิตของเขาได้ จริง ๆ แล้ว คุณอาจจะกล่าวได้ว่า คุณกำลังเขียนบทที่เป็นเสมือนเส้นทางชีวิตที่แน่นอนสำหรับอนาคตข้างหน้าหรือชาติหน้า หรือว่าคุณอาจต้องคิดทบทวนถึงสองครั้งเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของคุณ เพราะคุณอาจคิดว่าใครนะที่เป็นตัวการทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หรือคุณอาจคิดว่าใครนะที่จัดแจงให้ตัวละครตัวนี้มาแสดงบทบาทอยู่ในขณะนี้ ใครนะมาจัดการเปลี่ยนแปลงบทชีวิตที่น่ารื่นรมณ์ให้กลับเป็นโศกนาฏกรรมที่แสนเศร้า หรือให้เผชิญกับความท้าทายและสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงอย่างนี้ คุณคงลืมไปแล้วว่า กรรมที่คุณทำไว้ในอดีตเป็นผู้เขียนบท เพราะฉะนั้นคุณคนเดียวเท่านั้นจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรม และดำเนินบทบาทชีวิตไปตามเส้นทางนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ถ้าประชาชนในโลกใบนี้มีความคิดถูกต้องในทำนองนี้มากขึ้น โลกของเราก็คงจะแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในขณะนี้มาก เสียงบ่นปรับทุกข์ในชีวิตความเป็นอยู่ ก็คงจะน้อยลงกว่านี้เป็นเงาตามตัว ผู้คนส่วนใหญ่ก็คงจะได้เปลี่ยนท่าทีการดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีที่ถูกต้องมากกว่านี้ เขาคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่านี้ อย่างน้อยก็คงจะได้เริ่มปฏิบัติต่อกันอย่างมีเมตตา นี้เป็นเพียงความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาขั้นพื้น ๆ เท่านั้น ที่ผมปรารถนาแบ่งปัน แต่ผมก็มิได้หยุดเพียงแค่นี้ ผมยังคงศึกษาหาความรู้เรื่องใหม่ ๆ ในพระพุทธศาสนาอยู่ต่อไปทุกวัน

    ในอนาคตหากผมมีอำนาจวาสนา หรือเป็นเศรษฐีมีเงินทอง ผมก็จะใช้อำนาจวาสนาและเงินทองที่ผมมีอยู่เหล่านั้น เพื่อช่วยให้ผมสามารถดำเนินการทำในสิ่งที่ผมเรียกว่า "ภารกิจความรับผิดชอบ" ของผมอันนี้ ให้สำเร็จลุล่วงไปให้จงได้ เพราะยังมีพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิชั้นสูงและพระอาจารย์บรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาอีกเป็นจำนวนมาก ที่ท่านไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวพุทธ คำสั่งสอนอันทรงคุณค่าของท่านเหล่านี้ ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีโอกาส ได้รับฟัง ผมอยากจะช่วยท่านทั้งหลายเหล่านั้นให้มีโอกาสได้เผยแพร่ภูมิปัญญาของท่าน ผมมีความสามารถที่จะใช้สื่อที่ผมมีอยู่ พูดถึงปรัชญาของท่านเหล่านั้นสักเรื่องสองเรื่อง พร้อมทั้งพูดถึงความรักว่ามีบทบาทสำคัญมากน้อยเพียงใดในบทละครแห่งชีวิตของมนุยชาติ นี้คือเหตุจูงใจของผมในขณะนี้ ผมจะไม่สร้างภาพยนตร์เพื่อตัวผมเองอีกต่อไป ผมเห็นประจักษ์ชัดแล้วว่า ผมไม่สามารถจะเกษียณตัวเองได้ในขณะนี้ ผมจะยืดเวลาออกไปจนกว่าผมจะสร้างภาพยนตร์ที่สามารถดลใจให้ชาวโลกมีปัญญารู้ผิดชอบชั่วดี มีพฤติกรรมที่นำมาซึ่งความอยู่เย็นเป็นสุข มีสันติภาพ มากกว่าที่เป็นอยู่ ผมหวังอย่างนี้ไกลออกไปถึงโลกในอนาคตข้างหน้า ไม่ได้หวังว่าสร้างภาพยนตร์แล้วจะได้เงินตอบแทนเท่าไร

    คิดว่าทุกคนคงไม่ได้ฟังผมหมดทุกคน ทุกคนคงไม่เข้าใจที่ผมพูดผมหมดทุกคน นั่นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ผมเพียงต้องการทำหน้าที่ในส่วนของผม ที่ต้องการส่งเสริมการแผ่เมตตาและความรักที่ไม่มีเงื่อนไขให้แก่กันและกันของชาวโลก อันเป็นปรัชญาสำคัญในพระพุทธศาสนา โดยหวังว่าจะมีผู้เข้าใจอยู่บ้าง แม้จะมีจำนวนเล็กน้อยก็ตาม ทั้งที่อยากจะทำให้มนุษยชาติส่วนใหญ่มีโอกาสในการทำเช่นนั้น ในช่วงชีวิตนี้ก็ตาม ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะชวนให้ท่านทั้งหลายที่ดูภาพยนตร์ของผม เปลี่ยนศาสนาแต่ประการใด เพียงแต่อยากจะเสนอข้อมูล เปิดเผยแนวคิด ให้แก่ท่านที่ไม่มีโอกาสได้พบเห็นหรือรู้หลักธรรมนี้มาก่อน หากท่านไม่สนใจในสิ่งที่ผมได้เสนอมา ท่านก็สามารถปล่อยให้ผ่านไป แต่ถ้าหากท่านพร้อมที่จะรับฟัง ก็โปรดพิจารณาไตร่ตรองและนำไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขในการดำเนินชีวิตของท่านและเพื่อนร่วมโลก ท่ามกลางสังคมโลกอันยุ่งเหยิงนี้ต่อไป.

    คัดลอกนิตยสาร “ธรรมจักษุ” ปีที่ 88 ฉบับที่ 9 เดือน มิถุนายน 2547
     
  2. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,843
    เข้าใจละค่ะ .. ว่าทำไมถึงกลับมาเล่นหนังอีก
    ก็คงจะได้ชมภาพยนตร์ที่น่าสนใจของคุณเจ็ท ลี ในโอกาสต่อๆไปค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...