แปลจาก The Mercurynews.com โดย สายฝน (อาสาหนุ่มสาวชาวพุทธ) ดัลลัส,มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา -ผู้สังเกตการณ์เกี่ยวกับจิตวิญญาณ กล่าวว่า ในปีทศวรรษ 2000 ความเชื่อเกี่ยวกับคุณค่าของ "สติ" กลายเป็นความเชื่อที่กว้างขวางเช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องฑูตสวรรค์ ในปีทศวรรษที่ 1990 หนังสือและเทปเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวกับความมีสตินั้น บ่อยครั้งเป็นหนังสือที่ขายดี การเจริญสติกลายเป็นหัวข้อที่สำคัญยิ่งในงานสัมมนาต่างๆ หรือแม้กระทั่งในสปา ซึ่งในปัจจุบันนี้แม้แต่ในโรงพยาบาลและนักจิตวิทยาก็ยังมีการสอนให้ใช้สติเป็นหนทางในการบรรเทาและรับมือกับการเจ็บป่วยเรื้อรัง ความเครียดและความเศร้า เมื่อสามเดือนที่ผ่านมา นิตยสาร "Body & Soul" ลงหัวข้อ ``The Natural Guide to Mindful Living'' ( แนวทางธรรมชาติในการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ) ไว้หน้าปก Seth Bauer หัวหน้าบรรณาธิการหนังสือเล่มดังกล่าวได้กล่าวไว้ว่า การจริญสติคือ การใช้ชีวิตอย่างรู้ตัวในสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญในวัฒนธรรมอเมริกัน เขายังกล่าวอีกว่า " ในชีวิตของเรา เราขาดการเชื่อมโยงในสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราคิดปฎิสัมพันธ์กับผู้คน และ การดูแลตัวเอง การจริญสติช่วยให้สิ่งเหล่านั้นมารวมอยู่ด้วยกันได้ " <h3>สติกับหน้าที่การงาน </h3> ปัจจุบันบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาหลายแห่งมีการฝึกอบรมการฝึกจิตเพื่อที่จะพัฒนาการใช้สมาธิในการทำงานรวมถึงปฎิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและจริยธรรม เมื่อปีที่แล้ว นิตยสาร Spirituality & Health ได้ลงข้อความชื่อ ``Lessons from Mindful Corporations.'' Michael Sauvante ประธานกรรมการบริหาร ของ Rolltronics กล่าวว่า " การบริหารจิตเพื่อหน้าที่การงานนั้นจะมุ่งไปในเรื่องที่ว่าธุรกิจส่งผลกระทบอย่างไรกับมนุษยชาติ แต่ในโลกความเป็นจริงของธุรกิจแล้วกลับมีความเห็นที่ว่า การเป็นมนุษย์ที่มีมนุษยธรรมนั้นจะบั่นทอนความสำเร็จทางด้านการเงิน " ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่า การฝึกจิตให้มีสตินั้นต้องอาศัยการฝึกฝน วิธีทั่วไปที่ปฎิบัติกันนั้นคือการนั่งสมาธิ และการสังเกตการหายใจ บางคนใช้วิธีการนับลมหายใจเข้าออก บางคนก็ใช้วิธีอื่นๆแตกต่างกันไป Gary Stuard อดีตพระภิกษุผู้ชึ่งสอนการทำสมาธิ ที่ the Episcopal Church of the Transfiguration กล่าวว่า " เวลาส่วนใหญ่แล้วเราดำเนินชีวิตไปอย่างอัตโนมัติ วัตถุประสงค์หลักของการทำสมาธิให้มีสตินั้นไม่ได้เป็นการฝึกจิตให้มุ่งความสนใจไปข้างนอก หากแต่ให้มุ่งความสนใจไปในสิ่งที่อยู่ในตัว ไม่ว่าจะฝึกเพื่อพัฒนาจิตใจ สุขภาพ หรือเหตุผลอื่นๆ การฝึกจิตให้มีสติตั้งมั่นก็คือการใช้ชีวิตอยู่อย่างรู้ตัวทั่วพร้อม Bonnie Arkus กรรมการบริหารของมูลนิธิ the Women's Heart Foundation แห่ง West Trenton, NJ สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 10 ปอนด์ ในหนึ่งเดือน โดยผนวกการควบคุมโภชนาการแบบ the South Beach diet กับ การมีสติในการกิน เธอกล่าวว่า " แล้วคุณจะรับรู้รสชาติอาหารมากขึ้นเพราะคุณให้เวลาในการรับรู้รสชาติมัน ไม่ใช่เพียงแค่ตักอาหารเข้าปากแล้วรีบกลืน วิธีนี้จะทำให้คุณมีแนวโน้มในการทานน้อยลง " การฝึกจิตให้มีสติตั้งมั่นนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในพุทธศาสนา ในช่วงปีทศวรรษ1960 มันมีอิทธิพลต่อนักเขียนหลายท่าน เช่น Allen Ginsberg , Robert Pirsig ช่วงปีทศวรรษที่ 1970 กับงานเขียน ``Zen and the Art of Motorcycle Maintenance '' และช่วงปีทศวรรษที่ 1990 มีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่ได้รับอิทธิพลนี้คือ เรื่อง ``Kundun'' และ ``Seven Years in Tibet.'' ทุกวันนี้เมื่อไรก็ตามที่ท่านดาไล ลามะเดินทาง ท่านจะมีผู้คนคอยทักทายเสมือนว่าท่านเป็นดาราชื่อดังคนหนึ่ง มีหลายคนกล่าวว่า เมล็ดพันธุ์ของการเจริญสติในปัจจุบันนั้น ได้ถูกปลูกฝังไปโดยทั่ว โดยเห็นได้จากหนังสือเมื่อปี 1975 ชื่อ ``The Miracle of Mindfulness'' โดยนักเขียนคือ Thich Nhat Hanh พระภิกษุชาวเวียดนาม ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดย Rev. Martin Luther King Jr พระภิกษุผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน เขียนไว้ว่า ความมีสติเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้เราเป็นนายของตัวเองและฟื้นฟูตัวเราเองได้ <h3>จริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจ </h3> พุทธศาสนิกชนหลายคนเป็นกังวลว่ากระแสแห่งการเจริญสติ ซึ่งได้กลายเป็นที่นิยมของชาวอเมริกันนั้น บัดนี้ได้ถูกนำมาใช้หาผลประโยชน์ในทางด้านการค้า ชึ่งจะไม่ส่งผลใดๆทางด้านจิตใจเลย สำหรับชาวพุทธ การเจริญสติได้ถูกฝังลึกในจริยธรรมเสียแล้ว Sharon Salzberg อาจารย์ชาวพุทธชื่อดัง ผู้แต่งหนังสือ เกี่ยวกับจิตวิญญาณ และผู้ร่วมก่อตั้ง สมาคม the Insight Meditation Society กล่าวว่า การทำจิตให้มีสตินั้นไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเราเองเท่านั้น แต่เป็นการทำเพื่อที่จะให้โลกเป็นที่ๆน่าอยู่มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการปลุกจิตภายในอีกด้วย ในวงการแพทย์ ดูเหมือนว่ามันเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โรงพยาบาลและคลีนิคมากกว่า 200 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้การฝึกจิตส่งเสริมผู้ป่วยที่มีปัญหาทั้งทางจิตใจและร่างกาย Paul Keinarth แพทย์แห่ง Austin ได้เริ่มนั่งสมาธิฝึกจิตเมื่อสี่ปีแล้ว ในช่วงที่อยู่ในภาวะที่จิตใจย่ำแย่ ความคิดที่มีแต่การแข่งขัน ความกังวลและความเครียด ทำให้เขามีปัญหาในการนอนหลับ อีกทั้งยังห่างเหินกับครอบครัวอีกด้วย Keinarth ผู้ชึ่งปัจจุบันสอนคอร์สการฝึกสติ กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างเหลือเชื่อ ปัจจุบันผมใช้ชิวิตอย่างสบายปลอดโปร่ง แทนที่จะใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับเรื่องราวเก่าๆมากมายที่ได้เกิดขึ้นกับผมและผู้อื่น มีความผูกพันมากขึ้นระหว่างผมกับครอบครัว และผมได้ปรับจิตใจให้มีขันติความอดทนมากยิ่งขึ้น Dr. James Ruiz นักรังสีวิทยา จาก Baton Rouge, La., กล่าวว่าความสนใจของเขาในเรื่องการมีสติอยู่กับตัวเริ่มขึ้นสมัยที่ลูกชายวัยหกขวบของเขายังเป็นทารก เมื่อลูกร้องไห้กลางดึก เขาจะอุ้มลูกไว้ในขณะที่ตัวเองก็จะเดินไปทำสมาธิไป เขากล่าวว่า การเจริญสติให้ตั้งมั่นอยู่กับตัวนั้นได้ทำให้วิถีชีวิตของคนที่เป็นพ่อแม่ได้เปลี่ยนแปลงไป "สิ่งที่ทำให้คุณโกรธนั้นไม่ใช่เพราะการตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อได้ยินเสียงลูกร้อง " เขาว่า " หากแต่สิ่งที่ทำให้คุณโมโหคือการที่คุณต้องการกลับไปยังที่นอนนั่นเอง " การเจริญสติคือการปลดปล่อยความรู้สึกนั้นไป ยอมรับความเป็นจริงและสนใจกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคุณ"
ไม่อยากให้เป็นแฟชั่นเลยค่ะ เพราะเมื่อหมดความนิยมมันก็จะกลายเป็นแบบเดิมอีก ควรสร้างกระแสที่ว่า ควรเป็นสิ่งที่มนุษย์อย่างเราควรทำ เป็นสิ่งที่คนเราลืมไป ทั้งที่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด รื้อฟื้นกลับมาเพื่อประคับประคองตัวให้รอด สมาธิการเจริญสติเป็นของกลางเป็นสากล ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ มีสติไม่ให้หลงตัวไปทำผิดโดยไม่ตั้งใจค่ะ และสิ่งที่ตามมาคือ การใส่ใจในรายละเอียดของชีวิตมากขึ้นค่ะ