ตายแล้วไม่ไปไหน

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Tanakorn, 4 สิงหาคม 2005.

  1. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    http://users.cjb.net/neverborn/

    ลองเข้าไปอ่านเล่น ๆ ดู บริหารขนดีนะ (ขนลุกน่ะ)
     
  2. อักขรสั จร

    อักขรสั จร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +343
    แหม จะก๊อปมาให้อ่านก็ไม่ได้
    ขี้เกียจตาม
     
  3. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ตายแล้วไม่ไปไหน!
    ------------------------------------------------
    เรื่องผี ๆ
    โรงพยาบาลวิญญาณหลอน

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี้เองค่ะ เจนไปที่ทำงานของพ่อ นั่นก็คือโรงพยาบาล ตอนนั้นพ่อต้องเข้าเวรดึก เลยไม่มีใครอยู่บ้าน ก็เลยต้องพา เจนกับ พี่ชายไปด้วย พ่อไปตรวจงานที่ห้องฉุกเฉิน พี่ชายบอกว่าไม่มีอะไรทำ ก็เลยชวนกันไปเดินเล่นในโรงพยาบาล
    เดินไปเดินมา ไปเจอห้องดับจิต ตอนนั้นเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ พอพี่เห็นห้องดับจิต เลยชวนกันไปหาพ่อ เพราะแถวนั้น ไม่มีคนเลย นานๆ ถึงจะมีพยาบาลผ่านมา เดินไปเดินมา ก็หลงทางอีก พี่เค้าเลยหน้าซีด แต่พี่เค้าก็ยังมี เวลามา เก๊กหล่อ
    ระหว่างทางเดินกลับ ก็เห็นคนไข้หญิงเดินผ่านมา เจนเลยเข้าไปถามทาง เค้าเลยอาสาจะพาไปส่ง ขณะเดินเค้าก็ ชวนคุยไปตลอดทาง คุยไปคุยมา ก็เข้าเรื่อง ผีจนได้ พี่ก็เลยชวนคุยเรื่องอื่น แล้วคนไข้ก็มาเข้าเรื่องผีอีก เลยไม่อยาก ขัดใจ ก็เลยคุยไปเรื่อยๆ
    ขณะคุยก็เห็นที่ข้อมือเค้า มีสายสิญจน์สีขาว ก็เลยคิดถึงเรื่องผี ที่ผีมีสายสิญจน์สีแดงผูกที่ข้อมือ แต่ของคนไข้ เป็นสีขาว
    เจนอยากรู้ก็เลยถามว่า "ทำไมต้องใส่สายสิญจน์" ทุกคนเลยหยุดการสนทนา แล้วต่างคนต่างเดิน ไม่พูดอะไรอีกเลย จนกระทั่งทุกคนมาหยุดอยู่ ที่ห้อง เด็กอ่อน เจนเลยคิดว่า เข้าไปนั่งในนั้นจะดีกว่า ก็เลยชวนพี่ และหันกลับไปขอบคุณ คนไข้ เค้าบอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็อยากคุยกับเจนอีก เค้าบอกให้เจน กับพี่ไปเยี่ยมเค้าบ้าง ที่ห้อง 139 แล้วเค้าก็เดิน กลับห้องไป ทั้งๆ ที่ทางนั้นเป็นทางตัน
    เจนกับพี่ชายยืนช็อกอยู่ตั้งนาน พยาบาลเข้ามาถามว่า ยืนคุยกับใคร เจนก็บอกว่า คุยกับคนไข้ไง พยาบาลบอกว่า ไม่เห็นมีใครยืนอยู่เลย เห็นแต่เจนกับพี่แค่ 2 คน แล้วก็รีบดึงเจนกับพี่เข้าไปข้างในห้อง
    พอตอนเช้า ไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็พาไปขอบคุณคนไข้คนนั้น แต่พอไปถึงห้องที่ว่า มันกลับเป็นห้องว่าง พอเข้าไปถาม พยาบาล เค้าก็บอกว่า คนไข้หญิง คนนั้นเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 วันก่อน

    --------------------------------------------

    ใครยืนอยู่ตรงนั้น


    เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อนเห็นจะได้ ครอบครัวของผมก็ได้เดินไปพักที่ต่างจังหวัด เนื่องจากเป็นวันปิดภาคเรียนของหลานๆ และเราก็ได้เดินทางไปพักที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากเราได้ไปกันประมาณสิบกว่าคน เป็นเด็กไปประมาณ 4-5 คนแล้วเราจึงจองแค่ 3 ห้อง ห้องที่เราจองจะเป็นห้องที่เปิดประตูเชื่อมถึงกันสองห้อง แล้วก็เป็นห้องแยกต่างหากอีกห้องหนึ่ง เราตกลงกันว่าจะให้ครอบครัวของพี่สาว นอนห้องที่มีประตูเชื่อมห้องหนึ่งและผมกับหลานชายอีกคน นอนที่ห้องอีกด้านของประตู ตกเย็นผมก็อยู่กับพวกพี่เขยแล้วก็หลานชายอายุประมาณ 7 ขวบ ก็นั่งคุยกันที่ริมสระ เพราะบริเวณสระน้ำจะมีบาร์บริการเครื่องดื่มตั้งอยู่ ทานกันจนถึงประมาณสามทุ่ม ผมกับหลานก็ขึ้นห้องพัก ส่วนพวกพี่เขยที่เหลือก็ยังนั่งดื่มเหล้าคุยกันต่อ
    เมื่อขึ้นมาถึงห้องพัก พวกหลานๆที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็หลับกันหมดแล้ว ผมตึงต้องค่อยๆอาบน้ำเปลี่ยนเสื้ออย่างไม่ให้มีเสียงดัง เพราะเราไม่ได้ปิดประตูที่ใช้เชื่อมห้องเวลานอน เมื่อผมอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นไปนั่งดูโทรทัศน์บนเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ แล้วหลานชายผมก็เข้าไปอาบต่อ ประตูห้องน้ำจะอยู่ใกล้ๆกับประตูห้องเข้าออก แล้วหัวเตียงที่ผมนอนจะติดกับกำแพงด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านตรงข้ามกับประตูห้องน้ำ แต่ประตูห้องน้ำจะเยื้องไปทางขวา เมื่อหลานชายผมแต่งตัวเสร็จเราสองคนก็เข้านอน โดยไม่ลืมเปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้หนึ่งดวงด้วย เพราะหลานชายจะเป็นคนขวัญอ่อน ไม่ชอบความมืด ส่วนผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรจะอยู่ที่ไหนก็นอนได้ทั้งนั้น
    พอสักพักฝนก็ตกลงมาหนักมาก เป็นผลทำให้ไฟฟ้าของโรงแรมดับ เมื่อไฟดับผมก็ลุกขึ้นมาทันทีเพราะว่ายังนอนไม่ค่อยหลับสนิทนัก นึกโทษกาแฟที่โหมกินไปตอนเช้าถึง3ถ้วย ทำให้ถึงป่านนี้ก็ยังนอนไม่หลับ ปรกติหัวถึงหมอนหลับเป็นตาย แล้วผมก็เหลือบไปมองนาฬิกา ตอนนั้นเวลาประมาณซัก11โมงเห็นจะได้ ก็เลยคิดว่าจะลงไปดื่มกับพวกพี่เขยข้างล่าง ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ขึ้นมาซักที แต่ก็คิดว่าดึกแล้วพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ จึงแข็งในล้มตัวนอนต่อ พลิกไปพลิกมาสักพักหลับ พอผมหลับไปได้สักพักหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาสะกิดที่หลังผม ผมจึงลืมตาขึ้นมาก็เห็นหลานชายลุกขึ้นมานั่ง แต่ยังเห็นหน้าเขาไม่ชัดนักเพราะ ไฟยังไม่มา ผมจึงถามเขาว่า
    " มีอาไร มาปลุกดึกๆกำลังนอนสบาย กลัวความมืดเหรอ" ผมลองถามเขาอย่างนั้นเพราะเห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยดี " อา อาเห็นใครตรงนั้นหรือเปล่า" หลานผมถามด้วยเสียงสั่นๆ เหมือนจะร้องไห้ ผมก็หันไปมอง ไม่เห็นมีอะไรนี่นา ก็เป็นประตูเฉยๆนี่
    " ไม่เห็นมีอะไรนี่ ใครเหรอ เห็นอะไรเหรอ อย่ามาล้อเล่นนะ ยิ่งไฟดับอยู่ อาไม่ชอบ" ผมพูดทีเล่นทีจริง เพราะไม่รู้ว่าหลานคนนี้จะมาไม้ไหน ปรกติก็ชอบอำคนไปทั่ว
    "ใครหน่ะอา ผมเห็นจริงๆนะ ไม่ได้ล้อเล่น มีผู้ชายคลุมผ้าทั้งตัวยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ" ผมก็หันไปมองอีกรอบ ก็ไม่มีอะไร นึกโมโหในใจ ทำไมมาอำอะไรกันป่านนี้นะ คนจะหลับจะนอนแสบจริงๆ แต่เมื่อผมเห็นหลานผมร้องไห้ออกมาดังลั่น ผมก็รู้แล้วว่า เขาไม่ได้ล้อเล่น ผมเริ่มตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน หลานผมพูดแต่ว่าใคร ใครยืนอยู่ตรงนั้น ใครหน่ะอา แล้วเขาก็เอาแต่ร้อง ผมทนไม่ไหว เลยลากเขาลงมาจากเตียง กึ่งลากกึ่งอุ้มลงมาแล้วก็วิ่งไปห้องข้างๆของพี่สาว แล้วคืนนั้นเราสองคนก็หลับอยู่ที่ห้องของพี่สาวผมทั้งคู่ ผมปลอบเขาอยู่นานกว่าจะหลับได้ผมเองก็ปลอบตัวเองเหมือนกัน รุ่งเช้าหลานผมก็ถามผมอีกว่าใครยืนอยู่ อาเห็นไหม ผมกลัวว่าหลานผมจะกลัวโรงแรมไปตลอดชีวิต ก็เลยบอกเขาไปว่า เห็น เป็นพวกพี่เขยของผมนั่นแหละ เขาก็สบายใจแล้วก็ไม่ถามผมอีก เพื่อความแน่ใจผมก็เลยไปถามพวกพี่เขยว่า เมื่อคืนใครเข้ามาทางประตูห้องผม เขาก็ตอบว่าไม่มีใครเข้าทางนั้นสักหน่อย และเพิ่งเข้าห้องตอนเช้า เพราะเมื่อคืนฝนตกหนักมาก ไม่มีใครฝ่าฝนเดินเข้ามาในโรงแรมหรอก นั่งกันตรงสระนั่นแหละจนเกือบถึงเช้า แล้วผมก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้เขาฟัง ไม่มีใครกล้าเข้าห้องน้ำนั้นเลย แต่ที่น่าแปลกก็คือ ตอนเช้ามีกลิ่นเหม็นเน่า ลอยออกมาจากห้องน้ำนั้นแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูหรอกว่าเหม็นจากอะไร ครอบครัวเราก็เลยกลับกรุงเทพไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนต่ออีก
    โดย อมิวเลต

    -------------------------------------

    แม่ย่านาง
    ครอบครัวของดิฉันมีอาชีพ ทำประมงอยู่แถวภาคใต้ของประเทศไทย และกิจการของครอบครัวก็รุ่งเรืองมากจนต้องต่อเรือเพิ่ม และหนึ่งในหลายลำนั้นได้สั่งต่อไว้ที่อู่เรือคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นช่วงเวลาพอดีกับที่คุณพ่อ คุณแม่นำน้องชายซึ่งหูพิการมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ก่อนกลับก็ได้แวะไปดูความคืบหน้าของการต่อเรือลำนี้ เมื่อไปถึงคุณพ่อเห็นเรือและไม้ที่ใช้ต่อก็กล่าวขึ้นว่า "ไม่ได้มาดูนานเลยไม่รู้ว่าเอาไม้ที่เป็นตาไม้มาใช่ต่อเรือด้วย อย่างนี้จะทำให้มีรอยแตกได้ในตอนหลัง" เนื่องจากโดยปกติการต่อเรือมักจะใช้ไม้เนื้อแข็ง ไม่ใช้ไม้ส่วนที่เป็นตาไม้ในการต่อเรือ เพราะเกรงว่าอาจจะมีปัญหาเรือรั่วในภายหลังได้ เมื่อคุณแม่ได้ยินคุณพ่อพูดจึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า "ไม่รู้ใช้ไม้บ้าๆอะไรมาใส่ให้" หลังจากตรวจเรือเสร็จก็เดินทางกลับ ทางเข้าออกนั้นจะเป็นทางเดียวกันและเป็นสะพานไม้ซึ่งสามารถเดินได้ทีละคนเท่านั้น คุณแม่เดินข้ามเป็นคนสุดท้าย ช่วงจังหวะหนึ่ง คุณแม่ได้เดินไปเหยียบไม้แผ่นหนึ่งซึ่งตะปูที่ตอกไว้หลุดออกไป จะด้วยความบังเอิญหรือเหตุใดไม่ทราบ ไม้นั้นได้กระดกขึ้นมาตีโดนตรงปากของคุณแม่อย่างเต็มแรง คุณพ่อตกใจมาก เมื่อเห็นอาการคุณแม่ที่เหงือกหลุดห้อยออกมา และเนื่องจากอากาศร้อนทำให้เลือดยิ่งออกมากขึ้น คุณพ่อรีบพาคุณแม่ไปส่งคลีนิกใกล้ๆก่อน ซึ่งแพทย์ที่ประจำอยู่เห็นสภาพก็ยังตกใจ จึงรีบห้ามเลือดและดันเหงือกให้กลับเข้าที่พร้อมกับใช้ลวดมัดเอาไว้ก่อน หลังจากเหตุการณ์นั้น ฟันของคุณแม่ก็ไม่สามารถสบกันได้เมื่อหุบปาก ต่อมาเรือลำดังกล่าวก็ต่อเสร็จ คุณแม่ทราบภายหลังว่าไม้ที่นำมาต่อเรือลำนี้เป็นไม้ตะเคียนทอง และก็เป็นที่น่าแปลกว่า เรือลำนี้ก็ไม่เคยมีปัญหาเช่นเรือลำอื่นที่ต่อมาพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรือรั่ว เรือจม หรือถูกประเทศเพื่อนบ้านจับกุม หรือถูกโจรปล้นสะดม เรื่องเช่นนี้ก็พูดได้อย่างเดียวว่า…..ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!
    ----------------------------------

    ผีเจดีย์ร้างที่บ้านวังสิงห์คำ
    เมื่อปี พ.ศ.2488 ปลายสงครามโลกครั้งที่2 ผมรู้จักหมอผีชื่อดังผู้หนึ่ง อยู่บ้านเด่น อำเภอเมืองเชียงใหม่ ชื่ออาจารย์จันทร์ ผู้ขมังเวทย์ ทรงคุณวิชาไสยเวทย์สารพัด ได้เล่าให้ผมฟังถึงการที่เคยได้รับลายแทงบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นสมบัติของคนไทยในสมัยอยุธยา ที่เคยฝังไว้เมื่อคราวเสียกรุง ระบุถึงที่ซ่อนทรัพย์สินเงินทองที่ฝังไว้ไต้ฐานเจดีย์ร้าง ที่หมู่บ้านวังสิงค์คำ ริมฝั่งแม่น้ำปิง ซึ่งเป็นบ้านคหบดีชาวคริสเตียนผู้หนึ่ง ภายในบริเวณบ้านซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 4ไร่ มีเจดีย์ร้างเก่าแก่สูงประมาณ4เมตร และมีตึกสีแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ข้างหลังเจดีย์ สถานที่นี้เป็นวัดร้าง ไม่ค่อยมีใครกล้ามาอาศัยอยู่ เพราะลือกันว่า " ผีกั่น " เฮี้ยนมากๆ วันพระวันโกน จะมีเสียงร้องโหยหวนมากจากตึกอยู่เนืองๆ อยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์จันทร์ ก็ชวนบริวารลูกศิษย์ไปลักขุดตามแผนที่ลายแทงในเวลาค่อนดึก ก่อนไปก็ได้จัดการอุ่นเครื่องเลี้ยงฉลองด้วย แม่โขง เมื่อพรองไปแล้ว 1 ขวดกลม ขบวนนักขุดก็เริ่มดำเนินการขนหมูเห็ดเป็ดไก่ เครื่องเซ่นสังเวยใส่รถสามล้อ ถีบตรงไปที่เจดีย์ร้างดังกล่าว เมื่อถึงอาจารย์จันทร์ก็จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง แล้วจอมขมังเวทย์หมอผีชื่อดังก็เริ่มร่ายเวทมนตร์สยบผี โดยไม่ลืมวนด้ายสายสิญจน์ล้อมรอบตัวทุกคน อาจารย์เล่าด้วยขวัญที่ยังระทึกอยู่ไม่หายว่า เวลาค่อนข้างดึกของคืนนั้นเยือกเย็นและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ลมเย็นหอบหนึ่งกระโชกพัดมากระทบกายอย่างแรงจนแสงไฟจากเทียนพิธีดับ เสียงหมาหอนเยือกเย็นแว่วรับกันเป็นทอดๆ ขณะนั้นเอง ใต้ฐานเจดีย์ ที่เขานั่งทับทำพิธีก็มีเสียงกึกๆ กักๆ ดังจากซ้ายไปขวา คล้ายเกิดการเคลื่อนย้ายสิ่งของหนักๆด้วยคนหลายคน เสียงบริกรรมเวทมนตร์ก็ละล่ำละลักดังกระชั้นถี่ ฉับพลันนั้นเอง อาจารย์จันทร์ก็กระชากดายลงอาคมปักไปตรงบริเวณเสียงที่ดังลั่นขึกๆ อยู่ใต้ดิน โดยปักล้อมรอบเอาไว้ทั้งสี่ทิศเพื่อสกัดกั้นผีเฝ้าขุมทรัพย์มิให้ขนย้ายสิ่งของหลบหนี ทันใดนั้น บนยอดเจดีย์ก็มีเสียงร้องครวญครางราวกับได้รับความเจ็บปวด อาจารย์รีบยกจอบหมายจะขุดบริเวณที่ใช้ดาบปักล้อมไว้ข้างฐานเจดีย์ ขณะยกจอบเงี้อง่าจะขุด อาจารย์จันทร์ก็ล้มหงายหลังอย่างแรง เหมือนมีมือปีศาจมากระชาก พวกเขาก็แตกฮือวิ่งเผ่นกระเจิงออกนอกรั้วโดยไม่มีใครสั่งใคร หมอผีเองก็เผ่นกระโจนตามกันออกมาชนิดตัวใครตัวมัน อาจารย์จันทร์เล่าว่า พวกเขาเป็นไข้หัวโกร๋นกันไปหลายวันโดยไม่ได้นัดหมายกันเลย แล้วก็เข็ดไม่ยอมเป็นนักธรณีวิทยานอกระบบขุดสมบัติลายแทงกันอีก ถึงจะมีสมบัติมากมายแค่ไหนก็จะไม่ขอแตะต้องอีกชั่วชีวิต ข้อสังเกต ในบรรดานักขุดทั้งหลาย มีอยู่คนหนึ่งได้ขุดสมบัติจนร่ำรวย โดยสามารถตั้งโรงเลื่อยได้ แต่แล้วโรงเลื่อยก็ถูกไฟไหม้ไม่รู้สาเหตุ ครอบครัวได้รับความวิบัติต่างๆนาๆเป็นที่โจษขานกันในเมืองเชียงใหม่มาจนกระทั่งบัดนี้
    -------------------------------------

    ผีเปรต…คืนวันพระ
    เมื่อ พ.ศ. 2530 หนูได้ไปทำงานที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นงานเย็บผ้า และช่วงกลางคืนจะมีโอทีให้ทำและเป็นธรรมดาที่หนูชอบให้คนเล่าเรื่องผีให้ฟัง ซึ่งหนูก็ถามพี่เอกว่า เคยเห็นผีไหมถ้าเคยเห็นก็ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม พี่เอก ก็เล่าให้ฟังแต่พวกเราไม่ค่อยเชื่อว่าผีมีจริงหรือไม่ พี่เอกก็แนะนำว่าถ้าอยากเจอ เปรตให้ไปที่วัดชมนิมิตในคืนวันพระเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตี 3 ซึ่งคนที่ฟังพี่เอก เล่ามี 3 คน มี จันทร์ ต้อย และหนู พี่เอกบอกว่าถ้าไปถึงวัดแล้วให้ก้มลงมองลอด ใต้ขาตัวเองแล้วจะเห็นเปรต
    พอถึงวันพระหนูกับเพื่อนก็ได้ไปที่วัดชมนิมิต พอไปถึงรู้สึกว่ามันเงียบ อากาศเย็น ลืมบอกไปว่า ต้องอยู่คนเดียว หนูก็พูดกับจันทร์และต้อยว่าเรามาด้วย กัน 3 คน แต่จันทร์ เป็นผู้ชายให้จันทร์เป็นคนลงมือดีกว่านะ เรามารอจันทร์อยู่ข้าง วินมอเตอร์ไซค์ประมาณสัก10 นาทีได้ ก็ได้ยินเสียงคนร้องขึ้นมา ซึ่งเราก็จำได้ว่า เป็นเสียงของจันทร์นั่นเอง

    จันทร์คงจะเจอดีเข้าแล้วจะเข้าไปหาก็ไม่กล้าเลยตัดสินใจบอก วินมอเตอร์ไซค์ช่วยไปเป็นเพื่อน เมื่อช่วยกันหาก็เห็นจันทร์นอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เรา ช่วยกันพยุงออกมาแล้วช่วยเรียกแท็กซี่กลับบ้านเราช่วยปฐมพยาบาลจันทร์จนฟื้น พอฟื้นแล้วอาการของจันทร์ก็ยังสั่นอยู่ พูดจาไม่รู้เรื่อง หนูกับเพื่อนก็ได้พักที่บ้าน ของจันทร์ เพราะว่ากลัวจนไม่กล้ากลับห้องพัก ตอนเช้าแม่ของจันทร์ก็พาเขาไป อาบน้ำมนตร์ที่วัดเดิม และก็ได้เล่าให้พระท่านฟังพระท่านก็พูดว่าทีหลังอย่าทำอีก ดีนะที่ไม่เป็นบ้า กว่าอาการของจันทร์จะหายได้ก็ประมาณ 2 สองอาทิตย์ เขาเล่า ให้ฟังว่าพอก้มลงมองลอดใต้ขาตัวเองเขาก็เห็นเปรต ตัวมันสูงมาก ปากแหลม มือยาว ตาสีแดง พอเตรียมตัวจะวิ่งหนีก็วิ่งไม่ออก เพราะเปรตยื่นมือมาจับขาเอา ไว้เขาร้องออกมาเพราะความกลัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
    -------------------------

    วิญญาณพระ…..ในภาพถ่าย

    เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2539 คือวันสงกรานต์ที่ผ่านมาทางหมู่บ้านของ ข้าพเจ้าคือ หมู่บ้านโพธิ์ศรี ตำบลบางปลาม้า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้จัดการแข่งเรือที่บริเวณทุ่งนา ที่ไม่มีใครไปทำนา
    ตั้งแต่เช้าผู้คนดูครึกครื้นมาก และงานได้ดำเนินไปจนเย็นและได้เลิกงานในที่สุด ตามปกติเมื่อเลิกงาน ช่างภาพก็นำภาพที่ถ่ายไปอัด เมื่อรับภาพเขาก็ตกใจเมื่อภาพที่ตนถ่ายนั้นมีพระร่างโตลอยอยู่เหนือศีรษะ เมื่อข้าพเจ้าได้ไปเห็นก็อดขนลุกไม่ได้
    ต่อมาชาวบ้านได้ไปหาคนทรง
    จากการสอบถาม คนทรงบอกว่า
    พระที่เห็นนั้นแท้จริงไม่ใช่พระพุทธรูป แต่เป็นพระสงฆ์ที่มรณภาพแล้วและได้อยู่บริเวณวัดร้าง

    โดย อ.แอ็ม
    ------------------------

    เสียงแขกห้อง 661
    ผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบก็ยังติดอกติดใจแสง สี เสียง จึงพยายามหา งานทำ จนในที่สุดก็ได้งานที่ไม่ตรงกับสาขาที่เรียนจบสักเท่าไร แต่มันก็สนุกสนานดี เพราะ เป็นงานประเภทบริการซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชายต่างประเทศมากกว่า
    คือผมทำงานที่โรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท ต้องคอยตรวจตราไปทั้งโรงแรม หรือดูแลแขกในเรื่องทรัพย์สินเงินทองข้าวของ หรือแม้แต่การไปแจ้งความก็ต้องพาแขกชาว ต่างประเทศไปแจ้งของหาย
    ผมทำหน้าที่แม้แต่จดถามชื่อคุณตัว จดที่อยู่เมื่อแขกพาตัวคุณมาค้างคืน
    ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของแขกนั่นเอง เพราะเป็นหน้าที่และป้องกันชื่อ เสียงของโรงแรมอีกด้วย
    วันหนึ่งมีแขกจากประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ชาย มาทำธุรกิจในประเทศไทย เดินทาง ระหว่างญี่ปุ่นและประเทศไทยเป็นประจำ
    และแขกคนนี้เป็นแขกพิเศษของโรงแรมอีกด้วย พนักงานหลายคนรู้จักดี รวมทั้งผม รู้จักพูดคุยเสมอมา
    บางครั้ง ผมจะขึ้นไปส่งถึงห้อง คือห้อง 661 แขกคนนั้นพักได้แค่ 2 วัน รุ่งขึ้นอีกวัน พนักงานพูดกันว่า แขกญี่ปุ่นที่ห้อง 661 ตายเสียแล้ว
    โดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุเลย แม้บ้านทำความสะอาดเปิดห้องเจอตายเสียแล้ว
    อยู่มา 2-3 วันเดินผ่านห้อง 661 ก็มีเสียงดังจากในห้อง ผมเข้าใจว่ามีคนไปพักแล้ว เลยเดินไปถามแม่บ้านว่าห้อง 661 มีแขกมาพักแล้วหรือ
    แม่บ้านบอกว่า ยังไม่มีใครมาพักหรอก ตั้งแต่วันนั้นแล้ว เอาไว้สักระยะหนึ่งก่อนแล้ว ค่อยให้แขกมาพัก มีอะไรหรือ
    ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มก่อนเดินจากไป
    -----------------------------------
    เพราะลืมกรวดน้ำ
    เมื่อต้นปี 2516 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาร่วมงานฌาปนกิจศพของเพื่อน ชื่อ ป๋อใช้ ซึ่งเขาเป็นเจ้าพ่อใหญ่ในวงการพนันแห่งเมืองนครปฐม ถูกนักเลงใหญ่ต่างถิ่น ยิงตายในร้านอาหาร ศพของเขาถูกนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดปฐมเจดีย์ ในงานศพมีญาติ พี่น้องเพื่อนฝูงไปร่วมงานอีกมากมาย เพราะเขาเป็นคนมีอิทธิพลและกว้างขวางมาก ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเรียนชั้นมัธยมมาด้วยกัน มาทราบข่าวอีกครั้งหนึ่งก็ ทางหน้าหนังสือพิมพ์
    เจ้าภาพเห็นข้าพเจ้าเป็นเพื่อนสนิทกันเลยให้ทอดผ้าบังสกุลในลำดับที่ 3 ภายหลังจากการทอดผ้าบังสกุลเสร็จ ข้าพเจ้ารู้สึกปวดท้องรุนแรงจึงต้องเข้าห้องน้ำใน บริเวณวัดนั่นเอง พอออกมาก็ได้เวลาเผาหลอก เมื่อเสร็จพิธีเผาศพแล้วข้าพเจ้าก็ได้ลา ญาติพี่น้องกลับบ้าน
    ค่ำคืนนั้นเองเจ้าสุนัข 2 ตัวที่ข้าพเจ้าซื้อมาได้เห่าหอนกันใหญ่ ข้าพเจ้าเลย ออกมาดูที่หน้าบ้านเพราะกลัวพวกขโมยมาปีนรั้วขโมยของในบ้าน เนื่องจากว่าข้าง บ้านโดนประจำ
    สิ่งที่ขาดไม่ได้คือปืน 11 มม. ซึ่งเป็นเพื่อนคู่ใจออกมาด้วย ข้าพเจ้าสอดส่าย สายตามองดูรั้ว และถนนหน้าบ้านก็ไม่เห็นมีใครเดินผ่าน เลยเดินเข้าบ้านไปนอนต่อจน รุ่งเช้าของวันใหม่
    ในคืนต่อมาสุนัข 2 ตัว ก็เห่าหอนอีก คราวนี้ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาเงี่ยหูฟัง ก็ได้ ยินเรียกชื่อข้าพเจ้ามาแต่ไกล พอจับใจความได้ว่า
    " พัน โว้ย! ทำไมไม่กรวดน้ำให้ข้าวะ ข้ามาคอยวันกับคืนแล้ว เพราะทุก คนกรวดน้ำให้ข้ากันหมดแล้วนะ" แล้วเสียงนั้นก็หายไป
    เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าจึงรีบตื่นมาทำอาหารคาวหวานใส่บาตรพระที่เดินมา บิณฑบาตหน้าบ้านจำนวน 3 รูปด้วยกัน เสร็จแล้วก็ไม่ลืมกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้กับเพื่อนรักของข้าพเจ้าดังกล่าว
    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดจาก เพื่อนอีกเลย
    ------------------------------
    โดนกุมารทองเข้าสิง
    พี่รุ่งอุษาเล่าให้ดิฉันฟังว่า สามีของเธอเช่ากุมารทองมาจากวัดแห่งหนึ่ง หน้า
    ตาสะสวย พอซื้อมาแล้วก็นำไปไว้ในห้องพระ
    จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเพื่อนมาเยี่ยมที่บ้าน พอเดินเข้าไปในห้องพระก็ทักขึ้น
    มาว่า " เอามาเลี้ยงไว้ทำไม มันไม่ดีนะ"
    สามีของพี่รุ่งก็บอกว่า เขาไม่รู้ คิดว่ามันสวยดีก็ซื้อมาไม่คิดว่าจะมีอะไรก็
    เลยเอามาเก็บไว้ในห้องพระ
    เพื่อนของพี่ก็บอกว่าให้เอาไปทิ้งเสีย พวกนี้เลี้ยงแล้วไม่ดี ทำให้บ้านไม่ดีไป
    ด้วย สามีของเธอเลยเอามาไว้ที่ห้องรับแขก
    ปรากฏว่า พอพี่รุ้งเอาลูกชายคนเล็กมาอาบน้ำ แกทำท่าเหมือนกลัวอะไรสัก
    อย่างหนึ่ง พี่รุ่งจึงเดาว่า คงเป็นกุมารทองเป็นแน่ก็เลยเอ็ดขึ้นมาลอยๆว่า
    "นี่อย่ามารังแกน้องนะ เดี๋ยวเอาไปทิ้งเลย"
    พอวันต่อมา ป้าของเด็กก็มีอาการเหมือนเด็กเล็กๆ เข้ามากอดสามีของพี่รุ่ง และพูดเป็นเสียงเด็กว่า
    "พอจ๋า อย่าทิ้งหนูนะ ขอหนูอยู่ที่นี่" พูดซ้ำหลายๆครั้ง แล้วก็พูดอีกทีว่า "ไม่ได้รังแกน้องสักหน่อย หนูมาช่วยพ่อ หนู ไม่เคยทำไม่ดี ไม่เคยทำให้พ่อเสียหาย" แล้วแกก็ล้มลง
    ป้าเป็นบ่อยมาก และทุกครั้งที่พูดถึงกุมารทอง ก็จะมีอาการเป็นแบบนี้อยู่ ทุกครั้ง พี่รุ่งเลยให้ป้าเอาไปไว้ในห้องของแก แต่พอพูดถึงกุมารทองทีไรก็จะโดน เข้าสิงแล้วพูดว่า
    "พ่อจ๋าให้หนูอยู่ที่นี่เถอะ อย่าเอาหนูไปทิ้งเลย หนูไม่ทำความเดือดร้อนให้ พ่อหรอก"
    ทุกวันนี้ ทุกคนในบ้านของพี่รุ่งจะไม่กล้าพูดเรื่องกุมารทองอีกเลยเพราะสง สารป้า
    โดยเข้าสิงทีไร แกหมดแรงเหนื่อยอ่อนทุกที
    ---------------------------

    โลงศพลอยน้ำ
    เรื่องนี้เกิดเมื่อประมาณ 3 ปีมาแล้วเห็นจะได้ ผมได้เดินทางไปเยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัด เมื่อไปถึงก็ประมาณ5 โมงแล้ว ผมได้เดินเท้าไปเยี่ยมผู้ใหญ่บ้านก่อน ผมได้ทักทายผู้ใหญ่บ้านอยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วก็กินข้าวที่บ้านผู้ใหญ่บ้านด้วย กว่าจะเสร็จก็เลยค่ำมืดแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็เลยชวนผมค้างที่บ้านเขาก่อนมืดมากแล้วเดี๋ยวโดนหลอกหรอก ผมได้แต่หัวเราะแล้วก็ตอบไปว่าผมโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆไม่กลัวหรอก ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะตนเองก็ไม่เคยเจอ ผมจึงรีบลาแล้วออกจากบ้าน ผมเห็นว่ามืดมากแล้ว แล้วก็ทางไกลมากกว่าจะถึงบ้านแม่ ก็เลยมองหาเรือเผื่อจะติดไปด้วยพอดีเลย มีเรือลำหนึ่งแจวผ่านมาผมจึงขออาศัยไปด้วย แล้วระหว่างทางผมก็คุยกับคนแจวไปเรื่อย คนแจวใจดีมากเป็นตาแก่คนหนึ่ง เล่าว่าตาเขาเพิ่งย้ายเข้ามาไม่นานนักทำสวนอยู่แถวนี้ แล้วออกไปซื้อของก็เลยกลับดึก แล้วก็ถามผมว่าทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้หล่ะ แถวนี้เวลาค่ำมืดเขาไม่ออกจากบ้านหรอก ผมก็ตอบไปว่ามาเยี่ยมแม่ เขาก็ชวนผมคุยไปเรื่อยๆแล้วก็ถามว่าไม่กลัวผีหรือ ผมก็ตอบว่าไม่กลัวหรอก ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนมีเส้นผมยาวหล่นมาที่ไหล่ ผมตกใจมากเมื่อแข็งใจมองก็เห็นว่าเป็นแค่ใบไม้เท่านั้น แล้วผมก็คุยต่อไป คุณตาคุยถึงเรื่องผีพรายที่เขาบอกว่ามีอยู่ในคลองนี้ ยังคุยไม่ทันจบผมก็ร็สึกเหมือนมีใครมาจับมือข้างที่เกาะกาบเรืออยู่ ผมก็รีบหันไปมองปรากฏว่าเป็นปลิง ผมรีบแกะปลิงออกจากมือแล้วหันไปคุยกับคุณตาต่อ เมื่อถึงบ้านผมก็ขอบคุณ คุณตาแล้วก็ขึ้นบ้านไป แม่ผมนั่งเล่นอยู่ในบ้านเมื่อเห็นผมก็ทำท่าตกใจปนดีใจที่เห็นผมมา แล้วก็ถามว่ามาได้ยังไง ผมก็ตอบว่า นั่งเรือมา แม่ก็แปลกใจว่าทำไมมีเรือ ป่านนี้ไม่มีใครเขาออกจากบ้านแล้ว ผมก็บอกว่านั่นไงเรือของตาหน่ะ แล้วผมก็พาแม่ออกไปดูเรือที่ผมนั่งมา แต่เมื่อผมออกมายืนที่ท่าน้ำ ผมกลับไม่เห็นเรือลำนั้นเลยคุณตาไม่น่าจะพายเร็วอย่างนี้ เมื่อผมมองไปทั่วๆแล้ว สิ่งเดียวที่ผมเห็นอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก ก็คือโลงศพเก่าๆใบหนึ่งที่ลอยตามน้ำอยู่……….ผมจะไม่คิดว่าสิ่งที่ผมนั่งมาคือโลงศพใบนั้
    -------------------------------------
    แค่ชั่ววูบ
    เมื่อสองวันก่อน ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถในการทำนายทายทักและสามารถมองเห็นอมนุษย์ต่างๆได้ ผมขอเรียกเขาว่าคุณอานะครับ
    คุณอาได้เล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งซึ่งเพิ่งผ่านไปไม่นาน ให้ผมฟัง เรื่องมีอยู่ว่า
    คุณอาได้รับโทรศัพท์ให้ไปช่วยผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งสงสัยว่าจะโดนผีเข้า คุณอาจึงรีบไปที่บ้านผู้หญิงคนนั้น เมื่อถึงก็พบเขาอยู่ในสภาพร้องไห้ไม่หยุด ร้องแบบโหยหวนมากจนคนที่ได้ยินถึงกับขนลุก ทราบความจากคนในบ้านว่า ผู้หญิงคนนี้ซักผ้าอยู่ดีๆก็เป็นลมไป คนในบ้านก็ช่วยปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาก็ร้องไห้ไม่หยุดอย่างที่เห็น คุณอาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจึงถามผู้หญิงคนนั้นว่า เป็นใคร มาจากไหนแล้วต้องการอะไร เขาก็ตอบว่าเขาเป็นคนที่อยู่บ้านข้างๆ เขาคิดถึงลูกเลยมาก วิญญาณเขาไม่มีที่ไป ไม่รู้จะไปไหน คุณเลยถามคนแถวนั้นว่าข้างบ้านเกิดอะไรขึ้น ก็ได้รับคำตอบว่าเมื่อ3วันก่อนมีคนผูกคอตายในบ้าน เนื่องจากน้อยใจที่สามีไปมีภรรยาน้อย แล้วปล่อยให้เขากับลูกอายุ2เดือน อดอยาก คุณอาจึงพอสรุปได้ว่าเมื่อตอนทำพิธีย้ายศพไม่ได้ทำพิธีเชิญวิญญาณไปด้วยเลยทำให้วิญญาณต้องเร่ร่อนไม่มีที่ไป
    คุณอาจึงได้บอกแก่ผู้หญิงคนนั้นว่าจะพาวิญญาณไปส่งให้ถึงที่หลุดศพ แต่ผู้หญิงก็ยังร้องไห้ไม่หยุด คุณอาจึงถามต่อว่า แล้วอยากได้อะไรอีก เขาก็บอกว่าเขาคิดถึงลูก คุณอาก็เลยบอกว่า คิดถึงลูกแล้วฆ่าตัวตายทำไม แล้วอย่างใครจะดูแลลูก ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมแล้วก็พูดว่า เขาทำไปเพราะชั่ววูบหนึ่งเท่านั้น พร้อมบอกว่าต้องการจะเจอสามีด้วย คนแถวนั้นก็เลยโทรไปตามสามี เมื่อสามีก็มาแต่ไม่ยอมพบ เพราะไม่เชื่อว่าจะเป็นภรรยาตนจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นเลยพิสูจน์โดยการบอกว่าข้าวของอะไรว่างไว้ตรงไหนบ้าง แล้วยังแถมด่าสามีตัวเองด้วยพร้อมบอกว่าจะเอาไปอยู่ด้วย สามีจึงเชื่อว่าภรรยาตัวเองมาจริงๆ แล้วก็กล่าวขอโทษภรรยา แล้ววิญญาณก็เริ่มสงบลง คุณอาเลยอัญเชิญวิญญาณผู้หญิงคนนั้นลงขวดแล้วก็เก็บไว้ในรถเพื่อที่จะเอาไปไว้แถวร่างของผู้หญิงคนนั้น
    จากนั้นก็ยังไม่ว่างเอาไปสักที ประมาณ3วันผ่านไป ผู้หญิงคนเดิมก็โดนผีเข้าอีก คราวนี้ก็มีคนโทรมาตามคุณอา ตอนแรกคุณอาไม่เชื่อบอกว่าจะเป็นไปได้ยังก็จับใส่ขวดแล้ว คุณอาเลยรีบวิ่งไปดูขวดที่รถ ปรากฏว่าขวดหายไป คราวนี้คุณอาก็เลยไล่หาว่าขวดหายไปได้ยังไง จึงได้ความมาว่าคนขับรถเอาไปทิ้งเพราะไม่รู้ว่าขวดอะไร เลยทำให้คุณอาต้องไปอัญเชิญวิญญาณลงขวดใหม่ แล้วคราวนี้คุณอาก็เอาติดตัวไปด้วยแล้วก็รีบหาเวลาว่างเพื่อที่จะเอาวิญญาณตนนี้ไปปล่อยแถวร่างเขาเสียที คุณอายังเสริมให้อีกด้วยว่า วิญญาณยังไปไหนไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลาตาย แล้วถ้าเขาได้ไปเกิดใหม่เขาก็ต้องฆ่าตัวตายเช่นนี้ไปอีก500ชาติ
    --------------------------------

    สั่งสอน
    เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ผมและพี่เขยได้เดินทางไปในหลายๆจังหวัด เพื่อไปเช่าโรงงานที่เจ้าของปล่อยเช่า เนื่องจากว่าโรงงานเดิม มีพื้นที่ไม่พอในการนำเครื่องจักรมาลง
    เราเดินทางไปถึงที่โรงงานแห่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างมืดและวังเวง ผมกับพี่เขยซึ่งเป็นคนขี้เล่นอยู่แล้ว จึงแซวกันขึ้นมาว่า โรงงานนี้มีผีแหง เดี๋ยวได้ขอหวยทั้งวันทั้งคืน ไม่หวาดไม่ไหวแน่ สงสัยว่าก่อนจะเช่า ต้องเอาหมอผีมาปราบก่อนซะแล้ว ผมก็ได้แต่เออ ออตาม แล้วก็แซวตามเขาไปด้วย แล้วเราสองคนก็กลับบ้าน โดยไม่ได้ตกลงใจว่าจะเช่าที่นั่นหรือปล่าว
    แล้วคืนนั้นเองก็เกิดเรื่อง ผมกับพี่เขยเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อผมถึงบ้าน ผมก็ขึ้นห้องแล้วก็อาบน้ำแต่งตัว ขณะนั้นผมก็มองนาฬิการู้สึกว่าจะประมาณ 4 ทุ่ม เห็นว่าดึกแล้วเลย เตรียมตัวนอน ยังไม่ทันจะได้หวีผม ไฟก็ดับลง มันกระพริบสองทีแล้วก็ดับ ผมจึงลงไปด้านล่างแล้วเปิดไฟดูว่าไฟบ้านดับหรือปล่าว ปรากฏว่ามีห้องผมห้องเดียวที่ดับ ห้องของพี่น้องผมไม่มีคนไหนดับเลย ผมจึงกลับขึ้นไปดูว่ามีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว จึงรีบย้ายห้องไปนอนห้องพี่ชายโดยไม่ลืมสวดมนต์ก่อนนอนและห้อยพระไว้ด้วย
    หลังจากนั้นประมาณตี 2 พี่เขยผมที่ไปดูโรงงานด้วยกัน ก็ขับรถพาครอบครัวมาหาผมที่บ้าน แล้วบอกว่าบ้านเขาไฟดับขอมาค้างที่นี่คืนนึงรู้สึกใจไม่ดี อยู่ๆมันก็ดับข้างบ้านไม่เห็นดับเลย ไปตรวจดูก็หาสาเหตุไม่ได้ ผมจึงถามเขาว่าดับตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็ตอบว่าดับตอนประมาณ 4 ทุ่ม รอสักครู่แล้วไฟก็ยังไม่มาเลยขอมานอนด้วย ผมก็เลยเล่าเรื่องไฟดับในห้องผมให้เขาฟัง เราสองคนได้แต่มองหน้ากัน แปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าทำไมมันถึงบังเอิญได้ขนาดนี้ แล้วคืนอันแสนน่ากลัวนั้นก็จบลงด้วยการที่เราต้องอพยพไปนอนห้องพี่ชายผมทั้งหมด และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ถือเป็นโชคดีของผมที่เจอแค่ไฟดับ เรายังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเขามาสั่งสอนทั้งตัวจะเกิดอะไรขึ้น

    โดย อมิวเลต

    ----------------------------------------

    เมื่อวันก่อนอ่านนิยายเรื่อง "พรายปรารถนา" ของคุณ กิ่งฉัตร
    ....
    ประมาณนางเอกเจอผีในอพาร์ทเมนท์
    ก็เลยนึกถึงตัวเองเมื่อตอนที่เคยเช่าอยู่ในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งอยู่กับเพื่อนๆ อีกสองคน
    หลายครั้งที่เจอเรื่องแปลกๆ
    เช่นว่า กำลังอยู่ในห้องน้ำ ได้ยินเสียงใครบางคนวางที่แปรงผมลงกับโต๊ะหน้ากระจก
    เราก็นึกว่าเพื่อนคงกลับมาแล้ว
    ก็ร้องถาม "กลับมาแล้วเหรอ ..กินข้าวยัง" พออกมาจากห้องน้ำ ก็ไม่เห็นใคร
    ....
    เออ...คงหูแว่วไปเอง ก็ลืมไป
    แต่แล้วคืนหนึ่ง...จำได้ในปี 1994 ซึ่งเป็นเดือนที่มีฟุตบอลโลก
    คืนซึ่ง...เหลือแต่เราอยู่ในห้อง เวลานั้น ประมาณ ตีสองกว่าๆ
    กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มที่ตรึงเราไม่ให้ลุกไปไหน
    ดึงเราให้นิ่งลึก หลุดไปจากทุกสรรพเสียงรอบข้าง
    อยู่ๆๆๆๆก็แว่วเสียงร้องไห้กระซิกๆ
    เสียงร้องไห้...มันเหมือนอย่างที่เราเคยได้ยินได้ฟังจากนิยายหรือละคร
    ฟังดูโหยหวนรวดร้าวจากใครบางคน ซึ่งเป็นผู้หญิง...
    เราก็เอ๊ะ..เสียงนี้เข้ามาแทรกผ่าน
    ในขณะจิตอันนิ่งสงบ ขณะดื่มด่ำกับตัวหนังสือได้อย่างไร
    มองไปรอบๆห้อง เสียงนั้นกังวานแผ่ว
    เอ..หรือว่าจะเป็นห้องข้างๆๆ
    และเมื่อดึงสมาธิจากตัวหนังสือได้
    เราก็ได้ยินเพียงเสียงอึงอลจากโทรทัศน์ที่กำลังถ่ายทอดฟุตบอลโลกเท่านั้น จากห้องข้างๆ หรือได้ยินมาแต่ไกล
    แต่แปลกในขณะนั้น เสียงร้องไห้ยังแทรกผ่านเข้ามาในโสตแผ่วเบา
    แต่กังวานจนไม่รู้ทิศทาง
    ไม่กล้าเปิดประตูออกไป...เพราะดึกสงัดแล้ว
    รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
    .....
    เพราะคิดว่า....มันมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเองแน่นอน
    .......
    แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
    ได้แต่นั่งฟังเสียงร้องไห้นั้นอย่างขนลุกขนพอง
    กระทั่ง...หายเงียบไปในที่สุด
    ......
    เล่าให้เพื่อนฟัง
    ...
    เขาบอกเราคงหูแว่ว
    เหรอ...เราถามตัวเอง
    และในคืนต่อมา...
    ซึ่งต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว เพราะเพื่อนได้งานใหม่ จึงหาที่อยู่ใหม่
    เราไม่ได้อ่านหนังสือเหมือนคืนก่อน
    แต่กำลังเขียนต้นฉบับ
    เป็นบทสัมภาษณ์ของคนที่ขึ้นปก
    ในหนังสือที่เราทำงานอยู่ในขณะนั้น
    .....
    หูเราฟังเสียงสัมภาษณ์จากหูฟังเซาว์เบาวน์
    มือก็พิมพ์ดีดงานไป
    ......
    ขณะที่ทำงานอยู่นั้น หูเราก็ได้ยินเพียงเสียงสัมภาษณ์เท่านั้น
    จวบเวลาผ่านไปสักครู่...
    ให้ตายเถอะ...
    เสียงร้องไห้นั่นก็ดังแทรกผ่านเสียงสัมภาษณ์นั้นเข้ามาอีกแล้ว
    เราหันไปมองที่นาฬิกาบนโต๊ะตรงหน้า
    เวลาตีสองกว่าๆๆ
    เหมือนคืนก่อน
    ......
    โอย....อยากจะคลั่งเสียให้ได้
    โทร.ไปหาเพื่อนคนหนึ่ง
    เขาก็กลัว...เราก็เลยวางสาย เดินออกไปที่ระเบียงห้อง
    ท่ามกลางเสียงเชียร์บอลที่อื้ออึงนั้น
    เสียงร้องไห้โหยหวนเจ็บปวดนั้น ก็ดังแทรกเข้ามาในหู
    ......
    ได้แต่มองไปยังอีกตึก...
    กลัวจนอยากจะโดดจากระเบียงลงไปเบื้องล่าง
    นานนับสิบนาทีเสียงนั้นก็จางหายไปเฉยๆๆ
    .......
    รุ่งขึ้น....ย้ายออกเลย........
    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเราจริงๆนะ
    เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัว...เลยเล่าสู่กันฟัง
    .......
    และรู้แล้วว่า...ผีหรือวิญญาณนั้นติดต่อคนได้ในสภาวะไหน
    สภาวะที่จิตเรานิ่ง......หรือที่เขาเรียกว่าสมาธินั่นกระมัง
    ......
    เวลาเราไม่สบายใจ หลายๆ คนก็จะบอกให้นั่งสมาธิสิ...
    เราก็บอก....โอย...ไม่เอา
    ชอบอะไรที่อึกทรึกครึกโครมดีกว่า
    ......
    แต่เวลานี้...กระดานอย่าเงียบน่า
    ......
    เรากลัว....อิอิ
    ----------------------------------------

    เสียงสวดมนต์ไล่ผี
    เสียงสวดบำเพ็ญกุศลศพให้ผี
     
  4. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,828
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,021
    มีหลายเรื่องมากมาย น่ากลัวดีครับ ขอบคุณสําหรับการเเบ่งปัน อนุโมทนาครับ ( เเผ่เมตตาก่อนนอนนะครับ )
     

แชร์หน้านี้

Loading...