บทความให้กำลังใจ(โรงเรียนวัดของพระไพศาล)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    เปลื้องใจจากอดีตที่เจ็บปวด
    ภาวัน
    แจ๊ค คอร์นฟิลด์ เป็นอาจารย์กรรมฐานที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของอเมริกา วันหนึ่งมีหญิงชื่อพอลล่ามาปฏิบัติธรรมในสำนักของเขา สีหน้าเธอบ่งบอกถึงความเสียใจระคนความโกรธเพราะเธอเพิ่งถูกสามีทิ้ง ในส่วนลึกของจิตใจ เธอรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ระหว่างที่เธอทำสมาธิภาวนา มีเสียงในใจพร่ำบอกเธออยู่ตลอดว่าเธอเป็นคนไม่น่ารัก ไม่มีใครที่ทนอยู่กับเธอได้นานหรอก สมควรแล้วที่เธอจะถูกทิ้ง

    เมื่อแจ๊คถามเธอว่ารู้สึกแบบนี้มานานเท่าใดแล้ว เธอจึงเปิดเผยว่า เมื่ออายุ ๓ ขวบ พ่อทิ้งเธอให้อยู่กับแม่ โดยไม่เคยกลับมาอีกเลย เขาตายในอีกหลายปีต่อมา เธอรู้สึกตลอดมาว่าการที่พ่อเดินจากไปนั้นเป็นความผิดของเธอ นับแต่นั้นมาเธอจึงมีความคิดฝังใจว่าเธอเป็นคนไม่น่ารักและไม่น่าคบ การถูกสามีทิ้งยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกดังกล่าวให้รุนแรงมากขึ้นจนกลัวที่จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนอื่นอีก

    การเจริญสติช่วยให้เธอรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยไม่ผลักไส เพียงแค่เห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และหายไป ขณะเดียวกันก็เจริญเมตตาจิต แผ่ความรักและความปรารถนาดีให้แก่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ความทุกข์ใจจึงบรรเทาเบาบางลง อย่างไรก็ตามความเสียใจ ความโกรธ และความกลัวก็ยังวนเวียนกลับมาหาเธอเป็นระยะ ๆ

    หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้หลายสัปดาห์ เธอก็พร้อมที่จะย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีตที่สร้างความเจ็บปวดให้เธอมากที่สุด แจ๊คแนะนำให้เธอหลับตาและหวนระลึกถึงคืนที่พ่อทิ้งเธอไป ตอนนั้นเธอยืนอยู่บันไดขั้นบนสุด ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงข้างล่าง แล้วเธอก็เห็นพ่อเดินออกจากบ้านไปด้วยความโกรธโดยไม่เงยหน้าหันมามองเธอเลย “พ่อไม่มองฉันเลย เขาไม่พูดอะไรกับฉันแม้แต่คำเดียว” เธอเล่าด้วยความรู้สึกรวดร้าว เมื่อแจ็คถามเธอว่า เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนี้คิดอะไรอยู่ตอนนั้น เธอตอบว่า “ฉันต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นพ่อก็ต้องอยู่กับเรา”

    ทั้งความเศร้าโศกและความโกรธทะลักทะลายสู่จิตใจของพอลล่า แต่สติก็ช่วยให้เธอรู้เท่าทันอารมณ์เหล่านั้น ไม่ปล่อยให้มันท่วมท้นใจ ขณะเดียวกันเธอได้แผ่ความรักความปรารถนาดีให้แก่เด็กหญิงวัย ๓ ขวบ ไม่นานใจของเธอก็ค่อย ๆ สงบลง ถึงตรงนี้แจ็คแนะนำให้เธอเปลี่ยนมาเป็นพ่อ แล้วถามเธอว่ารู้สึกอย่างไร เธอตอบว่ารู้สึกแย่มาก ตึงเครียด เป็นความรู้สึกของคนที่รู้สึกล้มเหลวในทุกเรื่อง ทั้งชีวิตครอบครัวและการทำงาน อยากจะหนีทุกอย่างไปให้พ้น

    แจ๊คถามต่อว่า คุณรู้ไหมว่าพอลล่าลูกของคุณกำลังยืนอยู่ที่บันไดชั้นบนนั้น “รู้ แต่ฉันทนมองหน้าเธอไม่ได้ ฉันทำไม่ได้จริง ๆ ถ้าเห็นหน้าเธอแล้ว ฉันทิ้งเธอไปไม่ได้แน่ ฉันรักเธอมากเหลือเกิน แต่ถ้าไม่ไป ฉันคงตายแน่ ฉันต้องไปจากที่นั่นให้ได้” แล้วพอลล่าก็ร้องไห้ด้วยความสงสารพ่อ

    ตอนนั้นเองที่เธอได้ตระหนักว่า พ่อทิ้งเธอไปไม่ใช่เพราะเธอไม่น่ารัก หรือเพราะเธอทำอะไรผิด แท้จริงแล้วพ่อรักเธอมาก แต่พ่อมีความจำเป็นที่ต้องทิ้งเธอไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาร่ำลาหรือมองหน้าเธอ ความรู้สึกโกรธพ่อที่ฝังลึกมาตลอดชีวิต ถูกแทนที่ด้วยความรักและความเห็นใจ ขณะเดียวกันความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองก็มลายหายไป บาดแผลในจิตใจที่เรื้อรังมานานได้รับการเยียวยาในที่สุด

    หากพอลล่าปล่อยให้อารมณ์ต่าง ๆ จากอดีตครอบงำใจ เธอก็คงโกรธพ่อและเกลียดตนเองไปตลอดชีวิต แต่สติและเมตตาช่วยให้เธอหันกลับมาพิจารณาเหตุการณ์ในอดีตอย่างพินิจพิเคราะห์ และได้เห็นอีกแง่มุมของมันที่ไม่เคยนึกมาก่อน ในที่สุดก็ได้พบว่าความทุกข์ที่รังควานเธอมาตลอดชีวิตนั้น เกิดจากการปรุงแต่งของเธอเอง

    คนเรามักทุกข์เพราะความคิดของตน หากไม่รู้จักทักท้วงหรือไตร่ตรองความคิดของตนเสียบ้าง ก็จะเป็นทุกข์ไม่หยุดหย่อน เหตุการณ์ในอดีตนั้นแม้จะเลวร้ายเพียงใด ก็ทำร้ายเราได้ไม่มากเท่ากับความคิดติดลบของเราเอง
    :- https://visalo.org/article/Image255704.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    ความดีที่น่าเสี่ยง
    ภาวัน
    คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างไหม ขณะที่กำลังรอรถเมล์อยู่ ก็มีผู้ชายสีหน้าเศร้า ๆ มาขอเงินคุณ เขาเล่าว่าเขามาตามหาญาติที่กรุงเทพ ฯ จนเงินเกลี้ยงกระเป๋า แต่ไม่พบ อยากจะกลับบ้านแต่ไม่มีเงินค่าโดยสาร จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคุณ

    คุณฟังแล้วก็สงสารจึงให้เงินไป ๕๐ บาท เขายกมือไหว้ขอบคุณคุณเป็นการใหญ่ก่อนที่จะจากไป แต่แล้วไม่กี่วันต่อมาคุณก็เห็นชายคนเดียวกันนี้เดินขอเงินจากใครต่อใครไม่ไกลจากจุดที่เขาเคยขอเงินคุณ
    เจอแบบนี้เข้าคุณจะรู้สึกอย่างไร?

    เป็นธรรมดาที่คุณจะเสียความรู้สึกหรือโมโหเมื่อรู้ว่าตนเองถูกหลอก หลายคนถึงกับตั้งใจเด็ดขาดว่าจะไม่ควักเงินให้อีกหากมีใครมาขอเงินเขา ก็พวกนี้มันสิบแปดมงกุฎกันทั้งนั้น

    การสรุปบทเรียนแบบนี้แม้จะดูสมเหตุสมผล แต่ก็น่าคิดว่าเป็นความยุติธรรมหรือไม่ที่เราจะเอาพฤติกรรมของคน ๆ หนึ่งมาเป็นข้อสรุปแบบเหวี่ยงแหว่าใครก็ตามที่แบมือขอเงินเราล้วนเป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น หากคุณถูกผู้ชายคนหนึ่งหลอก ควรหรือไม่ที่จะสรุปว่าผู้ชายทั้งโลกเชื่อไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณย่อมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยที่ถูกตราหน้าอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันอ้าปากหรือโอภาปราศรัยกันเลย

    แม้จะถูกหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างมากที่เราจะสรุปได้ก็คือคนที่แบมือขอเงินเรานั้นส่วนใหญ่ โกหกเรา ถึงแม้คุณจะถูก ๙ คนหลอก ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่สิบจะเป็นเช่นนั้นด้วย คำถามก็คือหากไม่แน่ใจว่าคนที่สิบจะมาหลอกเราด้วยหรือไม่ เราควรให้เงินเขาไหม? ถ้าคุณไม่อยากถูกหลอกอีก ก็ตัดสินใจไม่ยาก เบือนหน้าหนีเขาก็หมดเรื่อง

    แต่หากลองคิดอีกมุมหนึ่งว่า หากคน ๆ นั้นเขาเดือดร้อนจริง ๆ และมีความจำเป็นต้องกลับบ้านด่วน เพราะทิ้งพ่อที่พิการหรือลูกเล็ก ๆ เอาไว้ การปฏิเสธของคุณอาจมีผลกระทบต่อชีวิตของเขามาก แต่ถ้าคุณให้เงินเขา ก็อาจจะมีความหมายใหญ่หลวงต่อเขา

    ลองนึกอีกทีว่าหากคุณตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับเขา แล้วพบว่าไม่ว่าจะแบมือขอเงินจากใคร ก็ถูกปฏิเสธหมด ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เงินจำนวนมาก คุณจะรู้สึกอย่างไรกับผู้คน คุณจะยังมีศรัทธาในเพื่อนมนุษย์หรือไม่ และหากคุณทำความดีมาตลอด แต่ต้องได้รับผลอย่างนี้ คุณจะยังศรัทธาในความดีและเชื่อมั่นในบุญกุศลอีกหรือไม่
    เงิน ๕๐ บาทหรือ ๑๐๐ บาท อาจไม่มากสำหรับคุณ หากถูกหลอก ก็ไม่ทำให้คุณกระเทือนเท่าไร แต่หากเขาเดือดร้อนจริง ๆ เงินจำนวนเล็กน้อยนี้สามารถฟื้นศรัทธาและความหวังของเขาขึ้นมา และยังอาจมีผลต่ออีกหลายชีวิตที่รอการกลับบ้านของเขา มองในแง่นี้การให้เงินแก่เขาจึงเป็นการ “ลงทุน”ที่น่าเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะหากเสียก็เสียไม่มาก แต่หากได้ก็ได้มหาศาล เป็นแต่ว่าผลได้นั้นไม่ได้เกิดกับคุณ ยิ่งกว่านั้นโอกาสที่จะ “ได้” อาจมากกว่าแทงหวยใต้ดินเสียอีก
    การช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักนั้นจะว่าไปก็ไม่ต่างจากการเสี่ยงโชค เป็นไปได้ว่าโอกาสจะถูกหลอกมีมากกว่า ช่วยไป ๑๐ คนอาจกลายเป็นว่าเราถูก ๙ คนหลอก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดือดร้อนจริง แม้กระนั้นก็ยังคุ้มอยู่ดีมิใช่หรือ

    มีคำกล่าวว่า ปล่อยคนผิด ๑๐ คนยังดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์ ๑ คน ในทำนองเดียวกัน ในกรณีที่มีคนมาขอเงินเรา ก็อาจพูดได้เช่นกันว่า ถูกคนโกง ๑๐ คนหลอกก็ยังดีกว่าเมินเฉยผู้ทุกข์ยาก ๑ คน

    ใครที่ยังทำใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าถูกหลอกเอาเงินไป ลองฟังเรื่องราวของ โรเบอร์โต เดอ วิเซนโซ นักกอล์ฟชาวอาร์เจนตินาชื่อก้องโลกเมื่อ ๓๐ ปีก่อน

    ครั้งหนึ่งมีหญิงสาวมาพบเขาแล้วเล่าว่าลูกของเธอป่วยหนักและกำลังจะตาย เขาฟังแล้วก็สงสาร จึงมอบเช็คที่เพิ่งได้รับจากการชนะถ้วยรางวัลให้เธอไป
    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา มีเพื่อนมาบอกเขาว่า เขาถูกผู้หญิงคนนั้นหลอก เพราะเธอยังไม่ได้แต่งงาน และไม่มีลูกที่เจ็บป่วย ประโยคแรกที่ออกจากปากของโรเบอร์โตก็คือ “หมายความว่า ไม่มีเด็กที่กำลังจะตาย ใช่ไหม ?”

    เมื่อได้รับคำยืนยัน เขาก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า“นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่ได้ยินมาตลอดอาทิตย์นี้เลย” แทนที่จะโมโห เขากลับยินดี เพราะเขานึกถึงเด็กมากกว่าเงินในกระเป๋าของเขา ใช่หรือไม่ว่าถ้าเรานึกถึงคนอื่นมากขึ้น การถูกหลอกจะกลายเป็นเรื่องเล็กลงไปทันที

    :- https://visalo.org/article/Image255112.htm



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2025
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    น้อยนั้นงาม
    ภาวัน
    เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ใครก็ตามจากประเทศสังคมนิยม หากได้ไปเยือนประเทศทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ ย่อมอดไม่ได้ที่จะตื่นตลึงกับความเจริญรุ่งเรืองของประเทศเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจอาคันตุกะจากแดนไกลเป็นพิเศษ เห็นจะได้แก่ความอุดมล้นเหลือและหลากหลายของสินค้าตามห้างร้าน


    เสน่ห์อย่างหนึ่งของทุนนิยมที่สามารถสะกดคนทั้งโลก จนสามารถเอาชนะระบบสังคมนิยมได้ ก็คือ การให้เสรีภาพที่จะเลือก เสรีภาพที่ว่ามีให้แก่ทุกคนตั้งแต่ออกจากบ้านไปจับจ่ายใช้สอยเลยทีเดียว เพราะมีของให้เลือกมากมาย ยิ่งมีของหลากหลายให้เลือกมากเท่าไร คนก็รู้สึกว่ามีเสรีภาพมากเท่านั้น

    ผลก็คือทุกวันนี้ ไม่ว่าจะซื้ออะไร ก็มีของให้เลือกมากมาย ไม่ใช่แต่หลากยี่ห้อเท่านั้น แม้ของยี่ห้อเดียวกัน ก็มีหลายรุ่นหลายแบบหลายสเป็คให้เลือก อย่าว่าแต่สบู่ ยาสีฟัน แชมพูเลย แม้กระทั่งบริการโทรศัพท์มือถือ แค่บริษัทเดียวก็มีหลายโปรโมชั่นจนผู้คนสับสนไม่รู้จะเลือกอะไรดี

    ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความหลากหลายของสินค้ามีมากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จำเพาะมันฝรั่งทอดอย่างเดียวมีถึง ๒๐ อย่าง แตกต่างทั้งรสชาติ ขนาด และหีบห่อ ยิ่งแชมพู ยาสีฟันด้วยแล้ว มีไม่น้อยกว่า ๙๐ อย่าง ทุกวันนี้ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม มีของให้เลือกโดยเฉลี่ยถึง ๕๗ อย่าง มีตัวเลขว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐขณะนี้มีสินค้าวางขายถึง ๔๘,๗๕๐ รายการ หรือเพิ่มขึ้น ๕ เท่าจากเมื่อ ๓๕ปีที่แล้ว

    ความหลากหลายอย่างล้นเหลือไม่ใช่เป็นเรื่องดีเสมอไป ทั้งกับลูกค้าและห้างร้าน เคยมีการทดลองนำแยม ๒๔ ชนิดมาวางบนโต๊ะให้ลูกค้าเลือกชิม วันต่อมาลดเหลือแยมแค่ ๖ ชนิด ใครที่หยุดดูและทดลองชิมแยมจะได้รับบัตรลด สามารถซื้อแยมยี่ห้อเดียวกันในราคาพิเศษจากในร้านได้ สิ่งที่ผู้ทดลองค้นพบก็คือ คนที่หยุดดูนั้นมีเพิ่มขึ้นหากวางแยมไว้ ๒๔ ชนิด แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เมื่อถึงเวลาซื้อ คนที่หยุดดูแยม ๖ ชนิดมีถึงร้อยละ ๓๐ ที่ เดินไปซื้อแยม ตรงกันข้ามกับคนที่หยุดดูแยม ๒๔ ชนิด มีเพียงร้อยละ ๓ เท่านั้นที่ยอมจ่ายเงิน

    มีการทดลองแบบเดียวกันนี้กับสินค้าชนิดอื่น เช่น ช็อคโกแลต ก็ได้ผลทำนองเดียวกัน ทำให้ได้ข้อสรุปว่าการมีของให้เลือกมากมายนั้น หาได้ส่งเสริมหรือกระตุ้นการขายไม่

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น การมีของให้เลือกอย่างมากมายจนลานตานั้นไม่เพียงทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน และรู้สึกตัดสินใจยาก เพราะไม่รู้จะเลือกอะไรดี แต่ยังทำให้เกิดความกังวลด้วย เพราะกลัวว่าจะเลือกอันที่ไม่ดี หรือพลาดอันที่ดีที่สุดไป ครั้นเลือกไปแล้ว พบว่าคนอื่นได้อันที่ดีกว่าตน ก็จะยิ่งรู้สึกแย่ (แม้อันที่ตัวเองเลือกจะคุ้มค่าคุ้มราคาแล้วก็ตาม)

    เป็นธรรมดาที่ว่ายิ่งมีของให้เลือกมากมาย ผู้คนก็ยิ่งตั้งความหวังไว้สูงว่าจะต้องเลือกได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีเวลาหาข้อมูลให้ครบถ้วน เมื่อไม่มีเวลาทำเช่นนั้นจึงมักลงเอยด้วยการเลือกไม่ได้อย่างที่หวัง ดังนั้นแม้จะเลือกได้สิ่งที่ดีแล้ว ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ผลก็คือ เกิดความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่เลือกผิด ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าหลายคนตัดสินใจไม่ซื้ออะไรเลยเมื่อเห็นสินค้าวางขายมากมายหลายชนิด

    ความทุกข์จากการมีของให้เลือกมากมายหลายหลากนับวันจะรุนแรงมากขึ้น จนถึงกับมีการแห่เข้าคอร์สฝึกอบรมเพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น “ผู้คนทำอะไรไม่ถูกแล้วเพราะมีทางเลือกมากเกินไป”เป็นความเห็นของผู้จัดคอร์สดังกล่าวซึ่งกำลังได้รับความนิยม นอกจากนั้นยังมีหนังสือมากมายที่แนะนำการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับทางเลือกที่มีมากมาย เช่น “Living Simply: Choosing less in a world of more”

    ปฏิกิริยาต่อสินค้าที่มีให้เลือกอย่างล้นเหลือลานตา ทำให้ผู้ผลิตจำนวนไม่น้อยหันมาลดจำนวนผลิตภัณฑ์ เช่น พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล ได้ลดชนิดของแชมพูจาก ๒๖ เหลือ ๑๕ ชนิด กลิดเดน ซึ่งเป็นผู้ผลิตสีรายใหญ่ ปรับลดชนิดสีทาผนังจาก ๑,๐๐๐ เหลือแค่ ๒๘๒ ชนิด ปรากฏว่านอกจากต้นทุนจะลดลงแล้ว ยอดขายยังเพิ่มขึ้นด้วย

    น้อยคือมาก หรือ “less is more” เป็นแนวทางใหม่ที่กำลังมาแรง ซึ่งมิได้หมายถึงการผลิตให้หลากหลายน้อยลงเท่านั้น แต่รวมถึงการซื้อให้น้อยลงด้วย นอกจากจะทำให้เงินออมเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเพิ่มพูนความสุขทางใจให้แก่ตนเองด้วย อย่างน้อยก็ช่วยให้ความสับสนวุ่นวายลดลงไปมาก

    :- https://visalo.org/article/Image255405.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    เมื่อโชคมาเยือน
    ภาวัน
    ถอยหลังไปเมื่อ ๔๐ ปีก่อน คอมพิวเตอร์ยังมีขนาดใหญ่เท่าห้อง ราคานับล้าน จำเพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร สายการบิน มหาวิทยาลัย เท่านั้นที่จะมีได้ เวลาใช้งานก็ต้องพิมพ์คำสั่งทีละบรรทัดลงในบัตรเจาะรู หนึ่งบรรทัดต่อหนึ่งบัตร ถ้าคำสั่งซับซ้อนก็ต้องใช้บัตรเจาะรูหนาเป็นรีม กว่าผลลัพธ์จะออกมาก็ใช้เวลานาน หากมีคนใช้งานหลายคน ก็ต้องเข้าคิวยาว

    เช้าวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ๒๕๑๙ หนุ่มวัย ๒๖ หนวดเครายาว ใส่เสื้อผ้าปอน ๆ ขอพบเจ้านายของเขาที่บริษัทฮิวเล็ทแพ็คการ์ด (HP) รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง สิ่งที่เขานำมาเสนอก็คือแบบและวงจรคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่ ซึ่งไม่เพียงมีขนาดเล็ก หากยังใช้คีย์บอร์ดในการป้อนคำสั่ง และแสดงผลทางจอโทรทัศน์ โดยไม่ต้องพิมพ์เป็นกระดาษยาวหลายทบ ตอนนั้น HP เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดัง จะเป็นรองก็แต่ไอบีเอ็ม ซึ่งครองตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกในเวลานั้น

    ชายหนุ่มคิดว่าเจ้านายและผู้บริหารจะสนใจ มองเห็นศักยภาพของคอมพิวเตอร์ที่เขาออกแบบ ว่าจะช่วยให้ HPเป็นผู้นำในวงการคอมพิวเตอร์ได้ แต่ผิดคาด ผู้บริหารเหล่านั้นมองว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้น “เป็นแค่ของเล่นยามว่าง เหมือนวิทยุ เหมือนหุ่นยนต์สมัครเล่น” ซึ่งมีแค่ไม่กี่คนที่จะสนใจ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างตลาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง ผู้บริหารใช้เวลาไม่นานก็สรุปว่า HP ไม่มีความคิดที่จะพัฒนาสินค้าตัวนี้ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง ไม่นานก็ลาออกจากHP และตั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ของเขาเองร่วมกับคู่หู

    ชายหนุ่มผู้นั้นคือ สตีเฟน วอซเนียก บริษัทที่เข้าก่อตั้งคือ แอปเปิ้ล ส่วนคู่หูนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก สตีฟ จ็อบส์ แบบคอมพิวเตอร์ที่วอซเนียกเสนอนั้นภายหลังได้กลายเป็น Apple II ซึ่งสร้างความร่ำรวยให้แก่เขาและเพื่อน อีกทั้งปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์และก่อความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก บริษัทของเขากลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวตอร์ที่มีสินทรัพย์มหาศาล

    ว่ากันว่า ความสำเร็จของคนเรานั้น เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยโชคด้วย ผู้คนจึงอยากมีโชค และพากันแสวงหาโชค แต่ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งโชคก็มาหาเราเอง สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราจะมองเห็นหรือรู้ไหมว่าโชคมาหาเราแล้ว

    ๔๐ ปีที่แล้ว โชคเดินเข้ามาหาผู้บริหาร HP ถึงสำนักงาน แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ตระหนัก ปล่อยให้โชคหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา นี้คือสิ่งที่เกิดกับผู้คนมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า หลายคนมักพูดว่าโชคไม่เข้าข้างเขา แต่ที่จริงโชคมาหาเขาแล้วแต่เขาเบือนหน้าหนีต่างหาก

    โชคนั้นบางครั้งมาในรูปลักษณ์ที่เราคาดไม่ถึง ไม่ใช่มาในรูปของชายหนุ่มแต่งตัวซกมกเท่านั้น

    สมไทย วงษ์เจริญ ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตั้งแต่เล็ก อายุ ๑๕ ก็ออกจากโรงเรียนมาค้าขาย เขาขายของสารพัด ไม่ว่าล็อตเตอรี่ หนังสือพิมพ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ภายหลังได้ยืมรถกระบะเก่า ๆ ของพ่อ ตระเวนขายของตามจังหวัดต่าง ๆ ตกค่ำก็นอนในรถ อาบน้ำตามปั๊ม แต่ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้น

    วันหนึ่งเขาไปขายของที่พิษณุโลก ได้เข้าไปกราบพระพุทธชินราช และอธิษฐานขอให้ประสบโชค จากนั้นก็ไปทำงานต่อ แต่ไม่ค่อยมีลูกค้า ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อย เห็นรถซาเล้งผ่านมา จึงสอบถามคนขับว่าเก็บขยะจากไหน เก็บอย่างไร ไปขายที่ไหน คำตอบที่ได้รับทำให้เขาตระหนักว่าขยะนั้นมีคุณค่าและสร้างรายได้ดี

    นับแต่นั้นเขาก็เบนเข็มมาค้าขยะและของเก่า ปรากฏว่าทำรายได้ให้แก่เขาเป็นกอบเป็นกำ ในเวลาไม่กี่ปีเขาก็ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ยิ่งขยายกิจการ ก็ยิ่งร่ำรวย จนทุกวันนี้นอกจากจะมีสาขาหลายร้อยสาขาทั่วประเทศแล้ว ยังมีโรงงานรีไซเคิลครบวงจรที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย

    โชคนั้นบางครั้งก็มาในรูปของรถซาเล้ง หากสมไทยไม่สนใจไยดี ปล่อยให้รถซาเล้งผ่านหน้า เขาก็คงไม่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

    โชคนั้นมักมีโฉมหน้าและมาในจังหวะที่เราคิดไม่ถึง ดังนั้นถ้าอยากมีโชค ก็ต้องเตรียมพร้อมต้อนรับโชคทุกขณะ ขณะเดียวกันก็ต้องฉลาดพอที่จะรู้จักโชคด้วย หาไม่แล้วโชคก็จะผ่านเราไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ประโยชน์
    :- https://visalo.org/article/Image255903.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    คอยได้ ใจเย็น
    ภาวัน
    คนไทยคนหนึ่งเล่าว่า เคยไปซื้อหนังสือที่ร้านดังกลางกรุงโอซากา ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ (รวมทั้งที่เมืองไทยด้วย) เมื่อเลือกหนังสือได้แล้ว ก็ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ๓,๙๗๑ เยนคือราคาหนังสือรวมภาษีด้วย อันที่จริงถ้าจ่ายด้วยธนบัตร ๕,๐๐๐ เยนก็ไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากเขามีเหรียญเยอะมาก จึงล้วงจากกระเป๋ามาเต็มกำมือ พร้อมกับธนบัตร ๑,๐๐๐ เยน ๓ ใบ ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ว่าเขาไม่คุ้นกับเหรียญญี่ปุ่น จึงนับเหรียญได้ช้ามาก เพราะมีทั้งเหรียญ ๑ เยน ๑๐ เยน ๕๐ เยน ๑๐๐ เยน และ ๕๐๐ เยน ยิ่งนับก็ยิ่งงง เพื่อนคนไทยเลยมาช่วยนับด้วย แต่ก็ไม่ทำให้เร็วขึ้นเท่าใด สุดท้ายก็เลยยื่นเหรียญทั้งกำให้พนักงานขายช่วยนับให้

    ระหว่างที่ลูกค้าง่วนอยู่กับการนับเหรียญ พนักงานขายก็ยืนรออย่างสงบ ไม่แสดงให้เห็นเลยว่าลูกค้ากำลังทำให้เขาเสียเวลา ครั้นลูกค้ายื่นเหรียญมาให้นับ เขาก็ยินดีทำโดยไม่มีอาการหงุดหงิดหรือเร่งรีบ ทั้ง ๆ ที่มีลูกค้าคนอื่นเข้าแถวรออยู่

    ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ถือว่าเวลาเป็นทรัพย์สินสำคัญ จะเรียกว่าเวลาเป็นเงินเป็นทองก็ได้ เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงจะถูกซอยถี่ยิบเป็นนาทีหรือวินาทีทีเดียว เห็นได้จากตารางรถไฟทั่วประเทศ เวลาที่รถไฟมาถึงและออกจากสถานี จะไม่เป็นตัวเลขกลม ๆ แต่จะระบุเป็นนาทีเลย (เช่น ๗.๕๘ น.) แล้วรถไฟก็มาตรงตามเวลาเป๊ะเสียด้วย หากมาช้าไปแค่นาทีเดียว ก็อาจก่อปัญหาตามมา

    มองในแง่นี้การมีชีวิตเร่งรีบของคนญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งเรากลับพบว่าคนญี่ปุ่นมีความอดทนในการรอคอยมาก ไม่ใช่จำเพาะในร้านหนังสือชื่อดังเท่านั้น แต่เห็นได้ในแทบทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งบนท้องถนน
    ใกล้ ๆ ร้านหนังสือดังกล่าว เป็นศูนย์การค้าที่มีคนพลุกพล่านมาก บาทวิถีเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าใครจะเร่งรีบมาจากไหน แต่พอเห็นไฟแดงบนถนนฝั่งตรงข้าม ทุกคนก็หยุดหมด ทั้ง ๆ ที่ถนนบางสายแคบชนิดที่เรียกว่าซอยจึงจะถูก เพราะกว้างแค่ ๓-๔ เมตร แถมไม่มีรถวิ่งเลย คนนับร้อยก็ยังรอคอยอย่างสงบ ต่อเมื่อไฟเขียวสว่างจ้า จึงพากันเดินข้ามถนน

    เป็นธรรมดาที่เราจะเห็นคนเข้าคิวยาวอยู่หน้าร้านอาหารตอนเที่ยง ในเมืองไทยหรือแม้แต่กรุงเทพ ฯ ภาพแบบนี้หาได้ยากเพราะคนไทยไม่ค่อยยอมเสียเวลากับการรอคอยเพียงเพื่อจะได้กินอาหารสักมื้อ ที่จริงกับเรื่องอื่น ๆ คนไทยก็ไม่ค่อยอดทนกับการรอคอยเช่นกัน พนักงานขายหากเจอลูกค้าควักเหรียญเป็นกำมานับต่อหน้า หรือจ่ายเป็นเหรียญ แทนที่จะจ่ายด้วยธนบัตร มักแสดงอาการไม่พอใจให้เห็น (มีบางคนโดนพนักงานเก็บเงินบนเรือด่วนขว้างเหรียญลงพื้นต่อหน้าต่อตา) ส่วนพนักงานขับรถ หากจอดเข้าป้ายแล้ว ผู้โดยสารไม่รีบขึ้นรถ ก็มักจะชิงออกรถไปก่อน
    แต่ในญี่ปุ่นภาพที่เห็นกลับตรงกันข้าม ในเมืองฟูกูโอกะ ขณะที่รถโดยสารกำลังจะเคลื่อนจากป้าย พนักงานขับรถมองกระจกหลังเห็นคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาแต่ไกล เขาดับเครื่องทันทีเพื่อคอยคุณยายมาขึ้นรถ ไม่มีผู้โดยสารคนใดบ่นหรือไม่พอใจพนักงานขับรถ ทั้ง ๆ ที่ต้องคอยนานหลายนาที

    การรู้จักคอยกับความเจริญก้าวหน้าของคนญี่ปุ่น น่าจะมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง เมื่อรู้จักคอย อดทนได้กับผลลัพธ์ที่ยังมาไม่ถึง จึงทำให้ขยันหมั่นเพียรได้ต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามกับคนที่คอยไม่เป็น หวังเห็นผลเร็ว ๆ พอทำไปได้สักพัก ไม่เห็นผลสำเร็จเสียที ก็ท้อแท้และเลิกกลางคัน

    สาเหตุที่คนไทยเป็นอันมากนิยมทางลัด อยากรวยเร็ว ๆ ดังเร็ว ๆ จนต้องหันไปใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น เล่นพนัน คอร์รัปชั่น ใช้เส้นสาย หรือเอาตัวเข้าแลก ส่วนหนึ่งก็เพราะคอยไม่เป็นนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/Image255609.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    โมงยามที่เปี่ยมชีวิตชีวา
    ภาวัน
    วิลโก้ จอห์นสัน เป็นนักร้องและมือกีต้าร์ชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการก่อเกิดขบวนการพั้งค์ของอังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาต้องยกเลิกการแสดงสดอย่างกะทันหันเพราะล้มป่วยจนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล หมอได้แจ้งเขาในเวลาต่อมาว่า เขามีมะเร็งในตับอ่อน ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ และเป็นโรคเดียวกันกับที่คร่าชีวิตของสตีฟ จ๊อบส์

    นี้คือข่าวร้ายที่สุดข่าวหนึ่งเท่าที่สามารถเกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง แต่วิลโก้ศิลปินวัย ๖๕ กลับต้อนรับข่าวนี้ด้วยความดีใจ เขาเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกตัวเบา ใจฟู “จู่ ๆ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา คุณมองต้นไม้ ท้องฟ้า มองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วรู้สึกว่า “วิเศษ”จริง ๆ”

    ทั้ง ๆ ที่เขามีเวลาเหลือไม่เกิน ๙-๑๐ เดือนจากการคาดคะเนของหมอ แต่เขากลับแปลกใจที่พบว่าไม่มีความรู้สึกเศร้าสร้อยเลย กลับตรงข้ามด้วยซ้ำ “ความรู้สึกตอนนี้มันมหัศจรรย์มาก คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา แค่เดินบนถนน คุณก็รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างมาก”

    ใครที่คิดว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว วิลโก้เป็นคนหนึ่งที่ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา เขากลับรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาที ประสบการณ์แต่ละขณะเป็นสิ่งมีค่าอย่างมาก ความรู้สึกซึมเศร้าที่เคยรบกวนจิตใจของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทุกอย่างที่สัมผัสไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นความสดใหม่ขึ้นมาทันที

    “สิ่งเล็ก ๆ ทุกอย่างที่เห็น ลมเย็นทุกสายที่สัมผัสใบหน้า อิฐทุกก้อนบนถนน คุณรู้สึกเลยว่า ฉันมีชีวิต ฉันมีชีวิต” เขายังให้สัมภาษณ์อีกว่า “ผมรู้สึกเหมือนขนนกที่ปลิวไหวไปตามสายลม และลมก็พัดมากระทบผมอย่างเดียวกัน แต่ในใจผมก็ยังรู้สึกถึงความอิสระเสรี เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก”

    ครั้งหนึ่งสตีฟ จ๊อบส์ ได้พูดถึงตัวเองเมื่อระลึกถึงความตายว่า “เกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความตาย” ความรู้สึกทำนองนี้ก็เกิดขึ้นกับวิลโก้ เช่นกันเมื่อรู้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา “อะไรก็ตามที่เคยทำให้ผมเศร้าสร้อย วิตกกังวล หรือรำคาญ มันไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป จนผมอดคิดไม่ได้ว่า “เฮ้ย” ทำไมถึงไม่เป็นแบบนี้มาก่อนหน้านี้วะ ?”

    ในสายตาของคนทั่วไป ความตายคือสิ่งตรงข้ามกับชีวิต แต่อันที่จริงแล้วความตายสามารถทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและมีชีวิตชีวา แทนที่จะอยู่อย่างซังกะตาย เพราะทันทีที่รู้ว่าชีวิตของเรากำลังจะหมดสิ้นไป และโลกทั้งโลกที่เรารู้จักกำลังจะปลาสนาการไป เราจะเห็นคุณค่าของทุกวินาทีที่มีอยู่ และซาบซึ้งกับทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น มันจะไม่ใช่สิ่งซ้ำซากจำเจอีกต่อไป เราจะรับรู้และสัมผัสมันด้วยความรู้สึกสดใหม่

    เป็นความรู้สึกทำนองเดียวกันเมื่อรู้ว่าคนคุ้นเคยกำลังจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เราจะไม่ปฏิบัติกับเขาอย่างเดิม ๆ อีกต่อไป แทนที่จะเมินเฉยหรือรู้สึกรำคาญ กลับให้ความใส่ใจกับเขาอย่างเต็มที่ ทุกถ้อยคำที่เขาเปล่งออกมา จะไม่ปล่อยให้ลอยไปกับสายลม แต่จะเปิดใจรับตระหนักรู้ ขณะที่ความทรงจำเกี่ยวกับเขา โดยเฉพาะในโมงยามสุดท้าย จะประทับแน่นในใจเรา

    ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องรอให้ความตายมาประชิดตัว จึงค่อยเห็นคุณค่าของชีวิตและทุกประสบการณ์ เพียงแค่ระลึกถึงความตายว่าจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอนไม่วันใดวันหนึ่ง ก็ช่วยให้เราไม่จมอยู่ในความเฉื่อยเนือย แต่จะใช้ทุกนาทีอย่างมีค่าและมีชีวิตอย่างกระตือรือร้น รวมทั้งปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำให้เศร้าหมอง หดหู่ แค้นเคือง ได้ง่ายขึ้น

    ความตายนั้นหาใช่ศัตรูของเราไม่ มันสามารถนำสิ่งดี ๆ มาให้แก่เราหากรู้จักมองหรือใช้ให้เป็นชีวิต
    :- https://visalo.org/article/Image255604.html
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    รักคนไกล ระอาคนใกล้
    ภาวัน
    “แอม” เสาวลักษณ์ ลีละบุตร เล่าว่าได้พบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากการไปปลูกป่า หน้าตาของเธอเบิกบานด้วยความปีติที่ได้ช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ เธอพรรณนาถึงคุณประโยชน์มากมายของการปลูกป่า ทั้งบรรเทาโลกร้อน เพิ่มออกซิเจน ให้ร่มเงา ปกป้องหน้าดิน และช่วยให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ฯลฯ เธอยังเล่าถึงนักปลูกป่าอย่าง ด.ต.วิชัย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมาย
    vichai2.jpg


    “ดีจังเลย” แอมยินดีกับเพื่อน “ตอนนี้เธอปลูกต้นไม้ที่บ้านเยอะเลยซีท่า”

    เพื่อนทำหน้าเซ็งทันทีแล้วตอบว่า “โอ๊ย ใครจะไปกวาดใบไม้ไหว ร่วงอยู่ได้ เลยตัดทิ้งไปแล้ว” รักป่ารักต้นไม้ทั่วทั้งโลกนั้น บางครั้งกลับง่ายกว่ารักต้นไม้ในบ้าน เราพร้อมจะไปปลูกป่าทั่วทุกหนแห่ง แต่คร้านที่จะดูแลต้นไม้ในบ้าน ปลูกป่านอกบ้านไม่ใช่เรื่องยาก แค่หย่อนกล้าไม้ลงหลุมแล้วกลบ จากนั้นก็กลับบ้านได้เลย แต่ปลูกต้นไม้ที่บ้านสิ เรายังต้องรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยนานนับปี ครั้นต้นไม้เติบโตสูงใหญ่ ก็ยังต้องเสียเวลากวาดใบไม้ร่วงไม่หยุดหย่อน วันดีคืนดีกิ่งไม้อาจตกมากระแทกหลังคาเป็นรู

    เป็นเพราะต้นไม้นอกบ้านให้แต่สิ่งดี ๆ มีแต่สิ่งที่น่าชื่นชม ไม่เป็นภาระแก่เราเลย เราจึงรักเขาได้ง่าย ส่วนต้นไม้ในบ้านนั้นเรียกร้องการดูแลเอาใจใส่จากเรา แถมยังอาจก่อปัญหาให้ด้วย หลายคนจึงมองเห็นแต่ข้อเสียของเขา จนรู้สึกระอาขึ้นมา

    เป็นเพราะเหตุผลเดียวกันนี้หรือเปล่า ผู้คนเป็นอันมากจึงรักและชื่นชมคนอื่นได้ง่ายกว่าคนในบ้าน เราเห็นแต่ความดีของคนไกลตัวเพราะเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลย ส่วนคนในบ้านนั้นอยู่ใกล้กับเรามากเกินไปจึงเห็นแต่ข้อเสียของเขา หรือเห็นเขาเป็นภาระที่ต้องดูแลเอาใจใส่จนกลบข้อดีของเขาไปเกือบหมด ผลก็คือเรามักสุภาพอ่อนโยนกับคนไกล แต่มึนตึงฉุนเฉียวง่ายมากกับคนใกล้ตัว

    ลองมองให้เห็นคุณประโยชน์หรือความดีของต้นไม้ในบ้านบ้าง เราอาจจะรักเขาได้ง่ายขึ้น หลายคนมาเห็นประโยชน์ของต้นไม้ในบ้านก็หลังจากที่โค่นจนเหลือแต่ตอ แต่นั่นก็สายไปแล้ว จะไม่ดีกว่าหรือหากเรารู้จักชื่นชมเขาขณะที่ยังอยู่กับเรา

    กับคนในบ้านก็เช่นกัน เราควรหัดชื่นชมคุณความดีของเขาบ้าง ที่แล้วมาเราอาจมองข้ามไปเพราะคุ้นชินความดีที่เขาทำกับเราจนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพลงที่แสนไพเราะ หากได้ฟังทุกวันทุกคืนก็กลายเป็นเพลงดาษ ๆ ไม่มีเสน่ห์สำหรับเรา ฉันใดก็ฉันนั้น คำพูดที่ไพเราะของภรรยา น้ำใจของสามี หรือความใส่ใจของพ่อแม่ หากเราได้ยินได้ฟังหรือได้รับติดต่อกันเป็นปี ๆ หรือนานนับสิบปี ก็กลับกลายเป็นสิ่งสามัญจนเรามองไม่เห็นความสำคัญ ไม่ต่างจากอากาศที่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าทั้ง ๆ ที่ขาดมันไม่ได้เลย

    น่าแปลกก็ตรงที่หากคนใกล้ตัวทำผิดพลาดหรือสร้างความไม่พอใจแก่เรา แม้เพียงครั้งเดียว การกระทำนั้น ๆ กลับฝังใจเราได้นานหรือลึกกว่าความดีที่เขาทำกับเรานับร้อยนับพันครั้ง ใช่หรือไม่ว่าเวลาเขาทำดีกับเรา เรามองว่านั่นเป็น “หน้าที่ของเขา” หรือเป็น “สิทธิที่เราควรได้รับ”แต่เมื่อใดที่เขาทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราไม่พอใจ เรากลับมองว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น “สิ่งที่ไม่สมควร” เป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” ดังนั้นจึงฝังใจเราได้ง่ายกว่า อันที่จริงเขาอาจไม่ได้ทำผิดพลาดเกินวิสัยปุถุชน แต่ความที่เรามักจะมีความคาดหวังสูงจากคนใกล้ชิด ความผิดพลาดของเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เราหัวเสีย ขุ่นเคือง หรือน้อยเนื้อต่ำใจได้ง่ายและนาน

    คนในบ้านหรือคนใกล้ตัวนั้น ไม่ว่าจะดีแสนดีเพียงใด ก็ย่อมมีวันที่ต้องกระทบกระทั่งกับเราบ้าง แต่หากเราไม่ฝังใจอยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้น หันมามองและชื่นชมคุณความดีของเขา เปิดใจรับรู้ความรักที่เขามีต่อเรา เราจะรักเขาได้ง่ายขึ้น และตระหนักว่าเขามีความสำคัญต่อชีวิตของเรายิ่งกว่าคนไกลตัวเสียอีก อย่ารอให้เขาจากไปเสียก่อนถึงค่อยมาเห็นคุณค่าของเขา ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว

    อะไรก็ตามยิ่งอยู่ใกล้ตัวมากเท่าไร เราย่อมหน่ายแหนงและระอาได้ง่ายมากเท่านั้น เพราะใจที่ชอบเห็นแต่แง่ลบมากกว่าแง่บวก มิใช่แค่ต้นไม้ในบ้าน หรือคนในบ้านเท่านั้น หากยังรวมถึงทรัพย์สมบัติในบ้านด้วย แต่นั่นยังไม่ใกล้เท่ากับร่างกายและจิตใจของเราเอง ไม่ว่าสวยเท่าใดก็ยังเห็นแต่ความไม่งามของตัวเอง ไม่ว่าจะทำดีเพียงใดก็ยังเห็นแต่ตัวเองในแง่ร้าย คนที่เกลียดตัวเองนั้นทุกวันนี้มีมากมาย ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียดเพราะไม่ดีอย่างที่หวัง ยิ่งยึดติดคาดหวังกับความสมบูรณ์พร้อม ก็ยิ่งเห็นแต่ความพร่องของตนเอง

    ลองมองให้เห็นความดีของตัวเองบ้าง ให้อภัยกับความผิดพลาด ยอมรับความไม่สมบูรณ์พร้อม ใช้สิ่งที่มีอยู่แม้น้อยนิดเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม แล้วคุณจะรักตัวเองได้มากขึ้น
    :- https://visalo.org/article/Image255209.htm


     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    Buddhaandlotusamazon.jpg
    ศาสนาในฐานะพลังทางนิเวศวิทยา
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อพูดถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมหรือนิเวศวิทยา ส่วนใหญ่แล้วผู้คนมักนึกถึงแต่เฉพาะในแง่กายภาพ เช่น ผลกระทบต่อสุขภาพ หรือการแก้ไขด้วยเทคโนโลยีและมาตรการทางเศรษฐกิจ ทั้ง ๆ ที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีมิติทางด้านจิตวิญญาณมาเกี่ยวข้องด้วยไม่ต่างจากปัญหาอื่น ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่จำต้องคำนึงในการถกเถียงทางด้านนิเวศวิทยา นั่นคือการนำมิติทางด้านจิตวิญญาณหรือศาสนามาเชื่อมโยงกับมุมมองทางด้านนิเวศวิทยา

    ความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์มักจะมาควบคู่กับการเหินห่างและแปลกแยกจากธรรมชาติมากขึ้น จนถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์ ดังปรากฏให้เห็นเด่นชัดในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความสัมพันธ์ในลักษณะปฏิปักษ์ดังกล่าวนับว่าแตกต่างอย่างมากกับท่าทีของมนุษย์เมื่อครั้งยังอยู่ในป่าเขาและล้าหลังทางเทคโนโลยี เผ่ามิสตัสซินี ครีในอเมริกาเหนือ อะบอริจิ้นในออสเตรเลีย ไอนุในญี่ปุ่น และโคยุคอนในอลาสก้า มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน ได้แก่ความเคารพในธรรมชาติ แม้กระทั่งกับสัตว์ที่ตนล่ามาเป็นอาหาร ก็ต้องเคารพด้วยการปฏิบัติตามพิธีกรรมอย่างเคร่งครัดทั้งก่อนและหลังการล่า การล่าสัตว์มิอาจแยกจากพิธีกรรมทางศาสนารวมทั้งการ “ชำระตน”ให้บริสุทธิ์ ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือการมองว่าสัตว์ที่ถูกล่านั้นมอบตัวเองเป็น “ของขวัญ”แก่ผู้ล่า เนื้อที่ได้มาจึงมิได้เกิดจากความสามารถของมนุษย์ หากเป็นความกรุณาของสัตว์หรือเทพที่แปลงร่างเป็นสัตว์

    เมื่อมนุษย์ก้าวหน้าในทางสติปัญญาจนพัฒนาศาสนาที่ซับซ้อนขึ้น สายสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ก็ยังดำรงอยู่ พุทธศาสนาถือว่าสัตว์ทั้งหลายไม่เพียงเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ในวัฏสงสารเท่านั้น หากยังมีสายสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้องอย่างน้อยก็ในชาติก่อน ๆ เพราะมนุษย์และสัตว์สามารถเลื่อนภพภูมิหรือกลับมาเกิดใหม่ข้ามพันธุ์กันได้ แต่ทัศนะดังกล่าวได้ลางเลือนไปในปัจจุบันโดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้นำเอาแนวคิดแบบวัตถุนิยมเข้ามาแพร่หลายจนเป็นกระแสหลัก ถึงตอนนี้ธรรมชาติได้แปรสภาพเป็นสินค้าและวัตถุสำหรับสนองความต้องการของมนุษย์อย่างเดียว ผลคือความเสื่อมโทรมทางด้านสิ่งแวดล้อมจนเป็นวิกฤตของโลก

    ท่ามกลางวิกฤตดังกล่าว ขบวนการนิเวศวิทยาได้เติบใหญ่ขึ้น ด้านหนึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เห็นธรรมชาติเป็นเพียงวัตถุที่มีขึ้นเพื่อปรนเปรอมนุษย์เท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความเชื่อมโยงกับศาสนาดั้งเดิม ชีวิตและผลงานของบุคคลที่ยืนหยัดอย่างโดดเด่น อาทิ เฮนรี เดวิด ธอโร, จอห์น มูร์ และอัลโด ลีโอโปลด์ เป็นต้น เป็นรากฐานสำคัญให้แก่ขบวนการนิเวศวิทยาร่วมสมัย ไม่ว่าขบวนการสิทธิสัตว์ ขบวนการนิเวศวิทยาแนวลึก ขบวนการกรีนพีซและเอิร์ธเฟิสต์ และขบวนการสตรีนิเวศนิยม ทั้งหมดนี้ได้สร้างความหลากหลายและรุ่มรวยให้แก่ขบวนการนิเวศวิทยาในปัจจุบัน ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงขบวนการนิเวศวิทยาในตะวันออก เช่น ขบวนการชิปโกในอินเดีย

    การเกิดขึ้นของขบวนการนิเวศวิทยาแนวลึก ซึ่งไม่เพียงเคารพสิทธิของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากยังเคารพสิทธิของแม่น้ำ ป่าเขา ทะเล และระบบนิเวศทั้งมวล ขณะที่ขบวนการสตรีนิเวศนิยมสนับสนุนการบูชาเทพีซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ปรากฏการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะบอกเราว่าหลังจากที่มนุษย์วิวัฒน์พัฒนาจนห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเราก็อาจจะหวนกลับมาสู่จุดเดิมที่เคารพธรรมชาติและนับเอาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มาเป็นเครือญาติกับมนุษย์ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์คงไม่กลับมาบรรจบที่จุดเดิม หากก้าวไปสู่จุดใหม่โดยอาศัยภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นพื้นฐาน

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)
    กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาสังคมพอ ๆ กับปัญหาทางจิตวิญญาณ นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแล้ว เราจำต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสำนึกควบคู่ไปด้วย ดังนั้นศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญมากในการพามนุษย์พ้นจากวิกฤตทางนิเวศวิทยา
    อย่างไรก็ตามคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นมาในใจก็คือ ทั้ง ๆ ที่ศาสนากระแสหลักส่วนใหญ่มีท่าทีที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถต้านทานแนวคิดหรือกระแสที่มุ่งครอบงำและทำร้ายธรรมชาติได้ ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยม บริโภคนิยม หรือวิทยาศาสตร์แบบวัตถุนิยม ปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมฟ้องว่าศาสนากระแสหลักนั้นอ่อนพลังลงไปมาก ในขณะเดียวกันเมื่อมองไปยังขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เรากลับพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับศาสนาน้อยมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าขบวนการเหล่านี้เป็นขบวนการทางโลกล้วน ๆ เพราะเมื่อพิจารณาลงไปถึงรากฐานทางปรัชญาของขบวนการเหล่านี้ เราจะพบแนวคิดทางด้านจิตวิญญาณ อย่างชัดเจน ดังขบวนการกรีนพีซ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบรหัสยนัยของอินเดียนแดง อาทิ ความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนมีจิตใจที่มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารได้ และโลกเป็นส่วนหนึ่งของ “ร่างกาย” ของเรา หากรักตัวเรา ก็ต้องรักปลาวาฬ แมวน้ำ ป่าเขา และทะเลด้วย

    กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ขบวนการศาสนา แต่ก็ใช่ว่าจะไร้มิติทางด้านจิตวิญญาณ ในทางตรงกันข้ามแม้เป็นขบวนการศาสนา แต่ก็อาจไร้มิติทางจิตวิญญาณก็ได้ นั่นหมายความว่า ศาสนากับมิติทางจิตวิญญาณไม่จำต้องเป็นเรื่องเดียวกันเสมอไป ในยุคโลกาภิวัตน์ เราได้พบขบวนการจำนวนมากที่ไม่มีรูปลักษณ์ทางด้านศาสนาเลย แต่มีมิติทางด้านจิตวิญญาณอย่างเด่นชัด อันแสดงออกด้วยการเสียสละอุทิศตนเพื่อเพื่อนร่วมโลก ชนิดที่ไปพ้นเส้นแบ่งทางด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา เผ่าพันธุ์ หรือแม้กระทั่งชนิดพันธุ์ (species) ด้วยซ้ำ (ตรงกันข้ามกับขบวนการทางศาสนาจำนวนไม่น้อยที่มีความคิดที่คับแคบ และรังเกียจเดียดฉันท์หรือเลือกปฏิบัติเพียงเพราะความต่างทางศาสนา ภาษา เชื้อชาติ หรือผิวสี จนเป็นสาเหตุแห่งความรุนแรงนานาชนิดในปัจจุบัน)

    ในขณะที่ศาสนาซึ่งไร้มิติทางจิตวิญญาณกำลังมีบทบาทเด่นชัดโดยเฉพาะในด้านลบ อาทิ การเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการก่อการร้ายทั้งในรูปขบวนการก่อการร้ายและการก่อการร้ายโดยรัฐ สิ่งท้าทายสำหรับศาสนาที่ยังมีมิติทางจิตวิญญาณอยู่ก็คือ จะฟื้นตัวจากความอ่อนแอและกลับมีพลังในการสร้างสรรค์โลกได้อย่างไร นิมิตดีก็คือ ขบวนการทางนิเวศวิทยาที่ทรงพลังในปัจจุบัน หลายขบวนการได้รับแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณจากศาสนาดั้งเดิม นั่นหมายความว่าศาสนาที่มีจิตวิญญาณ กำลังฟื้นตัวขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างประโยชน์แก่โลกอีกครั้งหนึ่ง
    :- https://visalo.org/article/NatureSasana.htm


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2025 at 22:25
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    มองไม่เป็น เห็นแต่ทุกข์
    ภาวัน
    มาถึงนาทีนี้แทบไม่มีคนไทยคนใดที่ไม่รู้จัก “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ยิ่งแฟนบอลด้วยแล้ว ย่อมรู้ว่าก่อนที่เขาจะเป็นโค้ชปั้นทีมไทยให้กลับมาเป็นหนึ่งในอาเซียนนั้น ซิโก้เป็นนักเตะฝีมือดีระดับซูเปอร์สตาร์ที่คว้าชัยชนะครั้งสำคัญให้แก่ทีมไทยมานักต่อนักแล้ว ต่อเมื่ออิ่มตัวแล้วเขาจึงเบนเข็มไปเป็นนักเตะอาชีพในต่างประเทศ

    ราว ๆ ๑๔ ปีก่อนเขากลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อเซ็นสัญญาไปค้าแข่งในอังกฤษ เช่นเดียวกับนักเตะชาวไทยทุกคน เขาใฝ่ฝันมานานแล้วที่จะได้ลงสนามในนามสโมสรอังกฤษ และมีส่วนสร้างสีสันให้แก่ลีกฟุตบอลที่โด่งดังที่สุดในโลก ความฝันของเขาใกล้จะเป็นจริงแล้ว แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้เล่นเป็นตัวจริงเสียที ได้แต่นั่งอยู่ข้างสนามในฐานะตัวสำรองนัดแล้วนัดเล่า

    เขารู้สึกผิดหวังมาก เครียดหนัก รู้สึกด้อยค่า เสียเวลาเปล่า ใช้เวลานานกว่าจะทำใจได้

    อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอีก วันนี้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป “จริง ๆ มันไม่มีอะไรเลย” เขาเคยให้สัมภาษณ์กับวรพจน์ พันธุ์พงศ์ แต่ตอนนั้นเขาทุกข์จนทุรนทุรายก็เพราะ “เราไปคิดมากเอง คิดผิด ๆ”

    เมื่อหันกลับมามองใหม่ เขาพบว่าการไปอังกฤษครั้งนั้นไม่ใช่ความล้มเหลวเลย “ไปอังกฤษมีแต่ได้กับได้ ได้บ้าน ได้รถ ได้ภาษา ได้พัฒนาร่างกาย ได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ ได้รู้จักคนมากมาย ได้เดินทาง ได้สัมผัสลีกฟุตบอลที่มีสีสันมากที่สุดในโลก เสียแค่ไม่ได้ลงเล่น”

    เขาสรุปว่าที่เขาทุกข์นั้นเป็นเพราะ “เรามองไม่ออก มองไม่เห็น”

    อะไรทำให้ซิโก้มองไม่เห็นว่าเขาได้อะไรมากมายจากอังกฤษ ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะเขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดียว นั่นคือ การไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ทั้ง ๆ ที่นั่นเป็นข้อเสียอย่างเดียวของการไปอังกฤษ แต่เมื่อจดจ่ออยู่กับมัน ก็ทำให้ไม่รับรู้สิ่งดี ๆ มากมายที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
    บ่อยครั้งมีสิ่งดี ๆ มากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา แต่เรามองไม่เห็น เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา หลายคนมีอะไรต่ออะไรมากมาย เช่น เงินทอง สุขภาพ คนรัก ความสำเร็จ แต่แทนที่จะเป็นสุข กลับทุกข์เพราะมองเห็นแต่สิ่งที่ตนยังไม่มีหรือเพิ่งเสียไป เช่น ไอโฟนรุ่นใหม่ กระเป๋าหรูเรือนแสน หรือเงินที่ถูกโกงไป

    หญิงสาวจำนวนไม่น้อยมีทุกอย่างเท่าที่คน ๆ หนึ่งพึงจะมี แต่กลับมองไม่เห็นว่าตนโชคดีเพียงใด เพราะใจหมกมุ่นอยู่กับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้า
    หลายคนเสียเวลาหลายวันและเงินเป็นแสนเพื่อไปไกลถึงน้ำตกไนแอการ่า แต่ใจไม่อาจซึมซับความงามของทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าได้เลย เพียงเพราะมัวหงุดหงิดอยู่กับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ส่งเสียงดังอยู่ใกล้ ๆ
    คนเราส่วนใหญ่ทุกข์ก็เพราะความคิดหรือมุมมอง ถ้ามองไม่เป็น เห็นแต่ข้อเสียหรือข้อผิดพลาด ถึงจะได้โชคลาภมากมายเพียงใด ใจก็มีแต่ความหงุดหงิดขึ้งเครียด

    ความสุขนั้นบ่อยครั้งมารออยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ผู้คนกลับปล่อยให้มันผ่านเลยไป เพราะมัวจดจ่ออยู่กับจุดเล็ก ๆ ที่เป็นลบแค่ไม่กี่จุดเท่านั้น หากมองข้ามมันไปบ้าง ความสุขก็จะมานั่งในใจเราทันที

    :- https://visalo.org/article/Image255812.html
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    นายหรือทาสความคิด
    ภาวัน
    ขณะที่เขานั่งรถประจำทางระหว่างอำเภอ ได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง คะเนแล้วอายุคงไม่ถึง ๒๐ สนทนากันจนคุ้นเคย เธอก็เล่าว่ามีอาชีพเป็น “โคโยตี้” พอได้ยินคำนี้ เขาก็รู้สึกลบต่อเธอขึ้นมาทันที ในใจนั้นนึกเห็นภาพโคโยตี้นุ่งน้อยห่มน้อย เต้นยั่วยวนบนเวทีในงานวัด อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคุยกับเธอต่อไป ช่วงหนึ่งเขาถามเธอว่า กำลังจะไปไหน เธอตอบว่าจะกลับบ้านไปเกี่ยวข้าว เพราะพ่อแม่ไม่มีคนช่วยเลย

    ความรู้สึกของเขาต่อเธอเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มหญิงสาวเวลานี้มีกี่คนที่แม้มีชีวิตสุขสบายในเมืองแต่พร้อมจะเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเพื่อช่วยพ่อแม่ในทุ่งนา ประโยคต่อมาของเธอทำให้เขารู้สึกละอายใจที่นึกตำหนิเธอก่อนหน้านี้ “หนูไปเป็นโคโยตี้เพื่อหาเงินมาให้พ่อแม่ เพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอาชีพอะไร”

    หากไม่ได้คุยกันให้มากกว่านี้ เขาคงเข้าใจเธอผิด หลงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิง “ไม่ดี” เพียงเพราะได้ยินคำว่า “โคโยตี้”

    หมอผู้หนึ่งเล่าว่า เคยมีคนไข้เป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบ เขาได้กำชับกับพ่อเด็กว่าเวลาหมอขึ้นเวรเช้าเพื่อตรวจคนไข้ พ่อต้องอยู่กับลูกด้วย หมอจะได้สอบถามอาการลูก รวมทั้งให้คำแนะนำพ่อว่าจะต้องดูแลลูกอย่างไรบ้าง เพราะพยาบาลมีงานล้นมือ ผ่านไปเกือบอาทิตย์ เช้าวันหนึ่งหมอขึ้นไปตรวจคนไข้ ไม่เห็นพ่อเด็กเหมือนเคย ก็ไม่พอใจ วันต่อมา พ่อก็หายตัวไปอีก เขารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที ตอนเย็นเขาเห็นพ่อเด็กอยู่ข้างเตียงลูก จึงเดินไปต่อว่า ตอนเช้าคุณหายหัวไปไหน ทำไมไม่ใส่ใจลูก เป็นพ่อประสาอะไร รู้ไม่ใช่หรือว่าลูกป่วยหนัก

    พ่อเด็กพนมมือขอโทษขอโพยหมอ พร้อมกับบอกว่า สองสามวันมานี้เขาไม่มีเงินกินข้าวเลย ที่เตรียมมาไม่กี่สิบบาทก็หมดแล้ว ตอนเช้าจึงต้องไปขอกินข้าววัดข้าง ๆ โรงพยาบาล กว่าจะได้กินก็ต้องรอพระฉันเสร็จก่อน กินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องล้างถ้วยล้างชามให้วัด กว่าจะเสร็จก็สายแล้ว เลยไม่ทันเจอคุณหมอ

    หมอได้ฟังเช่นนั้นก็หายโกรธ รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ต่อว่าพ่อเด็ก เพราะคิดว่าเขาเถลไถล ไม่รับผิดชอบ ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเขาจะลำบากยากจนถึงเพียงนี้

    เมื่อได้ยินหรือเห็นอะไร เรามักคิดหรือขยายความเกินกว่าสิ่งที่รับรู้อยู่ต่อหน้า บ่อยครั้งก็นึกคิดในทางลบ เท่านั้นไม่พอ ยังเชื่อหรือสำคัญมั่นหมายว่าความคิดเหล่านั้นเป็นความจริงอีกด้วย สิ่งที่ตามมาก็คือความไม่พอใจ หรือถึงขั้นโกรธเกลียด นำไปสู่การทำร้ายกันด้วยคำพูดหรือทำสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น

    จะว่าไปแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การคิดเกินกว่าสิ่งที่รับรู้ แต่อยู่ที่การด่วนสรุปหรือหลงเชื่อความคิดนั้น ขืนทำเช่นนั้นเราย่อมกลายเป็นทาสความคิดได้ง่าย ๆ คนที่เป็นนายความคิดคือ คนที่รู้จักทักท้วงความคิดที่เกิดขึ้นในใจตน นอกจากไม่ด่วนสรุปแล้ว ยังไม่หลงเชื่อหรือทำตามมันง่าย ๆ

    เคยมีชายผู้หนึ่งถูกพี่ชายพามาบวชกับหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ที่ชัยภูมิ ท่านจึงสอนให้เขาทำสมาธิภาวนาตั้งแต่วันแรก อยู่ว่าง ๆ ก็ให้เดินจงกรม ผ่านไปแค่ ๒-๓ วัน เขาก็มาขอสึก ให้เหตุผลว่าไม่ได้มาบวชเพื่อมาเดินจงกรม แต่มาบวชเพราะพี่ชายขอร้อง ตอนนี้เขาไม่อยากอยู่แล้ว แต่หลวงพ่อไม่ยอมสึกให้ บอกให้เขากลับไปเดินจงกรม เขาหายไปไม่ถึงชั่วโมงก็กลับมาขอสึกอีก หลวงพ่อปฏิเสธเช่นเคย ให้เขากลับไปเดินจงกรม พักใหญ่เขาก็กลับมาขอสึกอีก

    คราวนี้หลวงพ่อจึงถามว่า “อะไรพาให้คุณมาหาผม?” “ความคิดครับ” เขาตอบ ท่านจึงย้อนกลับไปว่า “มันคิดแล้วต้องทำตามความคิดทุกอย่างหรือ? ถ้าคุณทำตามความคิดทุกอย่าง ไม่แย่หรือ?”

    เขาไม่พอใจกับคำตอบ แต่เมื่อรู้ว่าสึกไม่ได้แน่ ก็เดินหายไป รุ่งเช้าทันทีที่เห็นหลวงพ่อ เขาก็เข้ามากราบท่านอย่างนอบน้อม ขอบคุณหลวงพ่อเป็นการใหญ่ แล้วบอกว่า หากหลวงพ่อยอมให้เขาสึก เขาต้องกลายเป็นฆาตกรแน่ เพราะเขาตั้งใจจะไปฆ่าภรรยากับชู้ให้หายแค้น แต่เมื่อหลวงพ่อทักท้วงเขา เขาจึงได้สติ และเปลี่ยนใจไม่สึก

    ความคิดนั้นมีประโยชน์หากเราเป็นฝ่ายใช้มัน แต่ถ้ามันใช้เราเมื่อไร ก็วุ่นวายหรือหายนะได้เมื่อนั้น
    :- https://visalo.org/article/Image255606.html



     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    เยียวยาด้วยรัก
    ภาวัน
    ตอนอายุสามขวบ เธอถูกพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศ หกปีต่อมาเธอก็มีพ่อเลี้ยงคนใหม่ เป็นนักบิดรูปร่างใหญ่โต วัน ๆ ง่วนอยู่กับแก๊งมอเตอร์ไซค์ ชอบเสพยาในบ้าน ร้ายกว่านั้นก็คือ ชอบใช้กำลังกับแม่ของเธอและตัวเธอ เธอจึงกลายเป็นคนก้าวร้าวตั้งแต่เด็ก มีเรื่องตบตีกับเพื่อนเป็นประจำ

    พออายุ ๑๔ เธอหนีออกจากบ้าน ไปมั่วสุมกับเพื่อนวัยรุ่นด้วยกัน อายุ ๑๕ เธอถูกตำรวจจับ กว่าแม่จะมารับตัวเธอกลับบ้านก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไม่กี่ปีต่อมาเธอก็ถูกชายสองคนข่มขืน เธอโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของเธอเองที่ไปบ้านเขาทั้ง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน เธอต้องทนอยู่กับความอับอายดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ต้องเข้าหายาเสพติดเพื่อกลบความอับอายและเพื่อลืมความทรงจำอันเลวร้ายตั้งแต่วัยเด็ก ไม่นานก็ติดยาเต็มขั้น ยังดีที่ตอนอายุ ๒๑ เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อายุไล่ ๆ กับเธอ แต่ดูแก่เกินวัยมากราวกับอายุ ๔๐ เธอกลัวจะเป็นอย่างนั้น จึงตัดใจเลิกยา

    แล้วเธอก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีสามี มีลูกที่น่ารัก และมีงานที่ดี แต่ก็มีปัญหานอนไม่หลับและฝันร้ายเป็นประจำ จึงหันเขาหาธรรมะ ช่วยให้ใจสงบลงได้บ้าง แต่แล้ววันหนึ่งเธอเห็นผู้หญิงถูกตบตีกลางถนน ความรู้สึกบางอย่างกระตุกขึ้นมาในใจทันที เธอเกือบจะวิ่งเข้าไปหาชายอันธพาลคนนั้น แต่เพื่อนฉุดเธอไว้ได้ทัน เหตุการณ์นั้นได้ปลุกกระตุ้นความรู้สึกเก่า ๆ ให้ผุดโพลงขึ้นมาอย่างรุนแรง มันเป็นทั้งความโกรธ ความรู้สึกไร้คุณค่า และสิ้นไร้ไม้ตอก แล้วฝันร้ายก็กลับคืนมา รวมทั้งความทรงจำอันเลวร้ายในอดีต เธอไม่กล้าเข้าหายาเสพติด แต่หันไปพึ่งเหล้าแทน เพื่อปัดเป่าความรู้สึกย่ำแย่ดังกล่าวออกไปจากจิตใจ

    แน่นอนเหล้าไม่ได้ช่วยเธอเลย เมื่อตั้งสติได้เธอหันไปหาสมาธิภาวนา เธอฝึกสติอย่างจริงจัง เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้หลงไปกับอดีต ขณะเดียวกันก็รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ผลักไส เธอได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่า เธอรู้สึกกับมันอย่างไร เมตตาภาวนายังช่วยให้เธอรับมือกับความทรงจำอันเจ็บปวดได้ รวมทั้งสามารถให้อภัยคนที่ทำร้ายเธอ

    คราวหนึ่งเธอได้ไปปฏิบัติธรรม โดยเน้นที่การเจริญเมตตาจิต คืนหนึ่งเธอฝันถึงพ่อเลี้ยงที่เป็นนักบิดติดยา ในฝันนั้นตัวเขาเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม นั่งทรุดพิงกำแพงราวกับคนหมดสภาพ ขณะที่เธอเดินเข้าไปหาเขา เธอพบว่าเขาเป็นคนที่สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงรังควานและคุกคามคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกว่ามีอำนาจ ทันทีที่รู้เช่นนี้ ความโกรธเกลียดที่เคยมีต่อเขาก็หายไป เกิดความสงสารขึ้นมาแทนที่ เป็นครั้งแรกที่เธอเมตตาเขาและให้อภัยเขาได้อย่างแท้จริง

    วันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาโล่ง ความทรงจำอันเจ็บปวดที่เธอแบกมานานกว่า ๒๐ ปี หลุดไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดเธอก็เป็นอิสระจากอดีตอันเลวร้าย หลังจากวันนั้นฝันร้ายก็ไม่มารบกวนเธออีก ต่อมาไม่นานเธอได้พบกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คำพูดบางประโยคของเขา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเจ็บปวด แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอะไรแล้ว แทนที่จะตอบโต้ด้วยความโมโห เธอกลับพูดด้วยความสงบ จิตเปี่ยมเมตตา เธอรู้สึกว่าที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพราะเขามีความทุกข์ มีความเจ็บปวด

    จากคนที่ขาดความอบอุ่น รู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่าและไม่มีใครรัก เจ็บแค้นเพราะถูกข่มเหงรังแก เธอได้กลายมาเป็นคนใหม่ เพราะได้คิดว่า คนที่ทำร้ายเธอนั้นแท้จริงเป็นคนน่าสงสาร ที่มีบาดแผลในจิตใจมาก่อน ความโกรธแค้นเปลี่ยนมาเป็นความเห็นใจและความเมตตา ขณะเดียวกันความเมตตาที่เติมเต็มจิตใจ ก็ทำให้เธอกลับมารักตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่รู้สึกเกลียดชังตนเอง หรือรู้สึกว่าตนไร้คุณค่า ไม่คู่ควรต่อความรักอีกต่อไป

    เบื้องหลังพฤติกรรมอันเลวร้ายของผู้คนนั้น มักได้แก่การขาดความรักและรู้สึกไร้คุณค่า ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เพียงทำร้ายคนอื่นเท่านั้น หากยังนำไปสู่พฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองอีกด้วย ต่อเมื่อจิตใจได้รับการเติมเต็มด้วยความรัก ชีวิตจึงจะหันไปสู่ความดีงามทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ความรักที่ได้จากใครนั้น มากเพียงใดก็ไม่สำคัญเท่ากับความรักที่บ่มเพาะในใจตน รวมทั้งความรักที่ให้แก่ตนเอง เมื่อรักตนเองได้อย่างแท้จริง ความรักผู้อื่นก็จะเป็นเรื่องง่าย
    :- https://visalo.org/article/Image255702.html


     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    โรงเรียนวัดของพระไพศาล
    พระไพศาล วิสาโล
    เชียงดาว 12-6-49
    เราคงทราบดีว่าสถานที่แห่งนี้ คือดอยเชียงดาว มีความสำคัญในทางนิเวศวิทยาและอุดมสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นทั้งแหล่งต้นน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอันมากมาย ขณะเดียวกันก็มีความสำคัญต่อจิตใจของผู้คนด้วย

    ในสายตาของชาวบ้าน ดอยเชียงดาวมีคุณค่าทั้งในทางกายภาพหรือทางนิเวศวิทยา และในทางจิตใจหรือทางวัฒนธรรม พระภิกษุที่ชาวบ้านเคารพสักการะหลายท่าน เช่น ครูบา
    ศรีวิชัย และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็เคยใช้ชีวิตบางช่วงที่สำคัญในสถานที่แห่งนี้
    ช่วงหนึ่งของพระอาจารย์มั่น ท่านได้มาบำเพ็ญกรรมฐานที่นี่ หลังจากนั้นครูบาอาจารย์หลายท่านซึ่งเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ก็มาธุดงค์หรือบำเพ็ญกรรมฐานที่นี่ รวมทั้งหลวงปู่สิม ซึ่งได้มาตั้งวัดถ้ำผาปล่องอยู่บนดอยนี้

    ที่จริง ไม่ใช่เฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้นเดียวที่มีความสำคัญในทางนิเวศวิทยาและในทางวัฒนธรรมหรือศาสนธรรม ธรรมชาติหลายแห่งในประเทศนี้มีคุณค่าสองด้านควบคู่กันตลอดเวลา คือด้านกายภาพและด้านจิตใจ เวลาชาวบ้านมองธรรมชาติเช่นป่าเขา เขาไม่ได้เห็นเป็นแหล่งวัตถุที่มีประโยชน์ในทางกายเท่านั้น แต่ยังเห็นเป็นสถานที่ที่มีคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งแม้จะมองไม่เห็น แต่สามารถรับรู้ได้ด้วยใจ พูดให้ชัดเจนก็คือ ชาวบ้านเห็นว่าป่าไม่ใช่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ป่ายังเป็นที่อยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขานับถือด้วย เช่น เทพารักษ์ หรือเจ้าป่าเจ้าเขา

    แม้แต่นาข้าวก็มิได้มีแต่ต้นข้าวหรือรวงข้าวที่เลี้ยงชีวิตของเราให้เติบโตเท่านั้น แต่ยังมีแม่โพสพซึ่งชาวบ้านนับถือสถิตอยู่ด้วย ในทำนองเดียวกัน แม่น้ำลำห้วยก็ไม่ได้ประกอบไปด้วยน้ำซึ่งสามารถกินหรือใช้เท่านั้น แต่ยังมีพระแม่คงคาที่สามารถปกปักรักษาแหล่งน้ำให้อุดมสมบูรณ์

    ทัศนคติเช่นนี้ส่วนหนึ่งสะท้อนถึงแนวคิดและประเพณีทางด้านพุทธศาสนา อาทิ ประวัติของพระพุทธศาสนานั้นแยกไม่ออกจากธรรมชาติ เริ่มตั้งแต่ประวัติของพระพุทธเจ้า พระองค์ไม่เพียงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานใต้ต้นไม้ แต่ยังทรงสอนธรรมท่ามกลางธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ตลอด ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นต้นไม้และธรรมชาติจึงมีความหมายในทางวัฒนธรรมสำหรับคนไทยที่นับถือพุทธศาสนา

    ทัศนคติเช่นนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะชาวพุทธเท่านั้น ถ้ามองให้กว้างแล้ว ทัศนคติที่ตระหนักถึงคุณค่าทางจิตใจของธรรมชาติ เป็นทัศนคติที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกชาติทุกภาษามาเป็นเวลาช้านาน แต่เพิ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง

    ธรรมชาติเป็นวัตถุ
    คุณประโยชน์หรือคุณค่าของธรรมชาติในส่วนที่สัมพันธ์กับมนุษย์อย่างแรกที่เห็นได้ชัดคือ คุณประโยชน์ในทางวัตถุหรือทางกายภาพ ได้แก่ปัจจัยสี่ ธรรมชาติให้อาหาร ให้ยารักษาโรค ให้วัสดุที่ใช้ทำเป็นอาคารบ้านเรือน รวมทั้งให้วัสดุที่ใช้เป็นเสื้อผ้า

    ประโยชน์ในส่วนนี้รวมไปถึงการให้ออกซิเจน ให้อากาศ ให้น้ำ รวมทั้งให้วัสดุที่เป็นประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม ประโยชน์ในส่วนนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้เกิดขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติและการปกป้องสิ่งแวดล้อมขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์ป่า รักษาแหล่งน้ำ หรือการปกป้องสัตว์บางชนิดมิให้สูญพันธุ์ เช่น วาฬ โลมา หรือฉลาม รวมทั้งมีการรณรงค์เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เพราะถ้าหากโลกร้อนขึ้นมากกว่านี้ จะเกิดวิกฤตการณ์ทางด้านสิ่งแวดล้อม ฝนแล้ง น้ำท่วม โรคระบาด ซึ่งเป็นเรื่องที่เราทราบกันดี
    ธรรมชาติน่าพิศวง
    แต่ว่าประโยชน์ของธรรมชาติไม่ได้มีเท่านี้ เราคงทราบดีว่าธรรมชาติยังมีประโยชน์ในทางนามธรรม นั่นคือประโยชน์ในทางจิตใจ เช่นเมื่อได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม เราย่อมรู้สึกเป็นสุข การได้ชื่นชมความงดงามของธรรมชาติหรือได้เห็นทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์

    ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากท่องป่าเพื่อจะได้เห็นน้ำตกที่ตระการตา เราไปเที่ยวทะเลเพราะอยากจะเห็นดวงอาทิตย์ดวงกลมโตลอยขึ้นจากขอบฟ้าหรือลับหายไปในทะเล เราอยากขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อจะได้เห็นทะเลหมอกสุดสายตา หรือเที่ยวทุ่งทานตะวันที่เหลืองอร่ามละลานตา เราอยากไปแม้กระทั่งแกรนด์แคนยอนเพื่อจะได้เห็นทัศนียภาพที่ใหญ่โตมโหฬาร ธรรมชาติมีเสน่ห์สำหรับเราเพราะเต็มไปด้วยความงดงาม น่าตื่นตาตื่นใจ และความพิศวงอลังการ

    นี้คือคุณค่าทางนามธรรมของธรรมชาติซึ่งเราทุกคนรับรู้ดีและไม่อาจปฏิเสธได้ คุณค่าดังกล่าวเป็นที่มาของวัฒนธรรมต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ภาพวาด บทเพลง บทกวี วรรณกรรมสถาปัตยกรรม รวมทั้งประเพณีและเทศกาลต่าง ๆ
    ธรรมชาติสงบใจ
    แต่ถ้าจะถามว่าคุณค่าของธรรมชาติมีเพียงเท่านี้หรือ พุทธศาสนาเห็นว่ายังมีมากกว่านั้น คุณค่าอย่างที่สามคือความสงบทางจิตใจ
    ความสงบทางจิตใจเป็นภาวะที่ต่างจากความรู้สึกในข้อที่สอง คือความเพลิดเพลินใจหรือความตื่นตาตื่นใจ ซึ่งเป็นลักษณะของจิตที่ถูกกระตุ้นเร้าให้ฟูฟ่องหรือบรรเจิด ส่วนความสงบทางจิตใจนั้นเป็นภาวะที่สุขุมและปลอดจากสิ่งเร้าเย้าย้วน จึงประณีตกว่าความตื่นตาตื่นใจ
    ในขณะที่คุณค่าประเภทที่สองเกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจด้วยภาพ ด้วยเสียง ด้วยกลิ่นที่แปลกใหม่ชวนพิศวง คุณค่าประเภทที่สามช่วยกล่อมใจให้สงบลงและลุ่มลึกขึ้น
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ )
    คุณค่าส่วนนี้ผู้คนไม่ค่อยตระหนักมากนัก เพราะไปติดอยู่กับความเพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจ อยากเห็นสิ่งสวยงาม อยากเห็นสิ่งบันเทิงใจ หลงใหลอยู่กับสีสรรพ์ที่เย้ายวนใจ และมักจะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น พอได้เห็นก็อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ หรือยิ่งกว่านั้นก็คือสนใจจะใช้ธรรมชาติที่งดงามเป็นเพียงแค่ฉากหลังในการพูดคุย หยอกล้อ สนุกสนาน หรือกินเหล้า จึงไม่สามารถไปถึงหรือสัมผัสกับความสงบทางจิตใจได้

    อาตมาเชื่อว่าเราทุกคนต้องการความสงบใจ แต่บ่อยครั้งก็ไม่ง่ายที่ใจจะสงบ เพราะมีสิ่งรบกวนใจ และใจก็ชอบฟุ้งซ่าน แต่เมื่อเรามาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติใหม่ๆ หรือ ๒-๓ วันแรก อาจจะกระสับกระส่าย รู้สึกหงอยเหงา แต่หลังจากนั้น โดยเฉพาะเมื่อไม่มีโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่น MP3 หรือ iPod เราจะค่อยๆ รู้สึกถึงความสงบในจิตใจ นี้เป็นธรรมชาติของใจที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ หากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติภายนอกที่เงียบสงบ โดยไม่หาอะไรมาเร้าจิตกระตุ้นใจให้ฟูฟ่องหรือฟุ้งซ่าน

    ธรรมชาติเป็นสถานที่ที่สามารถน้อมใจเราให้สงบได้ มิใช่เป็นเพียงสถานที่ที่ให้ความสนุกสนานแก่เราเท่านั้น คนทั่วไปมักเข้าใจว่าความสนุกคือความสุข แต่ถ้าได้สัมผัสกับความสงบ จะพบว่าความสงบนั้นให้ความสุขที่ละเอียดประณีตกว่าความสนุกมาก
    เราสามารถสัมผัสกับความสงบได้เมื่อพินิจดวงจันทร์ยามค่ำคืน เมื่อได้เห็นแสงจันทร์ลูบไล้ยอดเขา หรือเห็นดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลับทะเล หรือเห็นสายน้ำไหลผ่านหุบเขาอย่างช้าๆ ภาพเหล่านี้สามารถบันดาลใจเราให้สงบมากกว่าที่จะกระตุ้นความตื่นตาตื่นใจหรือความเพลิดเพลินใจ

    แต่บางทีความสงบก็เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยทัศนียภาพอันงดงามในธรรมชาติ ใจเราสามารถสงบได้เพียงเมื่ออยู่ในป่าเขียวครึ้มธรรมดาๆ หรือเมื่อมองดูดาวในคืนเดือนมืด โดยไม่จำเป็นต้องมีดาวหางมาพาดผ่านเพื่อให้เราตื่นตาตื่นใจ เพียงดาวที่กะพริบวับ ๆ อย่างไร้สรรพสำเนียงกลางท้องฟ้าก็สามารถให้ความสุขแก่เราได้ เป็นความสุขที่ไม่ต้องอาศัยการกระตุ้นเร้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เกิดจากการที่จิตใจเราได้ซึมซับความสงบจากธรรมชาติเข้ามา นี้คือคุณค่าจากธรรมชาติที่เราควรจะได้สัมผัส

    ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะให้พระภิกษุไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า การเดินธุดงค์ในป่า หรือใช้ชีวิตในป่า จึงเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาที่สืบต่อกันเรื่อยมานับแต่สมัยพุทธกาล เมื่อได้อยู่ในป่า ความสงบในธรรมชาติจะช่วยน้อมใจท่านเหล่านั้นให้นิ่งสงบตามไปด้วยจนเกิดเป็นสมาธิขึ้นมา ในยามที่จิตเรานิ่ง บังเกิดความสงบ เราจะพบว่าความสุขจากวัตถุนั้นมีเสน่ห์น้อยลงมาก และมีความสุขที่ประเสริฐกว่าการเสพหรือการได้ครอบครองวัตถุ นั่นคือความสงบใจ ความสุขชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อปลอดพ้นจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวนทางกาย เมื่อบังเกิดความสงบใจขึ้นมา เราจะรู้สึกเต็มอิ่มกับชีวิต ไม่ปรารถนาที่จะดิ้นรนแข่งขันเพื่อแสวงหาสิ่งเสพ

    ธรรมชาติให้ปัญญา
    ความสงบใจคือคุณค่าจากธรรมชาติที่เราอาจจะเคยรับรู้มาบ้าง หรือได้สัมผัสด้วยตนเองมาแล้ว แต่คุณค่าของธรรมชาติจะมีเพียงเท่านี้ก็หาไม่ ยังมีประโยชน์ที่ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง เป็นประโยชน์หรือคุณค่าชั้นที่สี่

    ในทางพุทธศาสนา เมื่อความสงบเกิดขึ้น ก็สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา เกิดความสว่างในจิตใจขึ้นได้ ไม่ใช่แค่ความสงบเท่านั้น ปัญญาเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากธรรมชาติ ธรรมชาติสามารถสอนเราเกี่ยวกับสัจธรรมหรือความจริงเกี่ยวกับชีวิตได้ เช่นใบไม้ที่ปลิดขั้วและร่วงลงมาอาจทำให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต มีพระบางรูปที่บรรลุธรรมเมื่อพิจารณาดอกบัวที่ตูมแล้วก็ร่วงโรย บางท่านเห็นพยับแดดที่เต้นอยู่บนพื้นดินกลางแดดก็บรรลุธรรมได้ เพราะตระหนักถึงมายาภาพของสังขาร หรือความลวงแห่งตัวตน

    เช่นเดียวกันมีบางท่านเมื่อเห็นเงาของดวงจันทร์หรือต้นไม้บนผิวน้ำ ก็เข้าใจเรื่องอนัตตา คือการไม่มีตัวตน สิ่งที่เห็นด้วยตานั้นหาได้มีตัวตนเป็นแก่นแท้ไม่ แม้แต่หยดน้ำค้างหยดเดียว ก็สามารถเปิดเผยสัจธรรมทุกแง่มุมของชีวิต โคบายาชิ อิสสะ (ค.ศ. 1763-1827) กวีชาวญี่ปุ่นเคยเขียนไว้ว่า “พุทธธรรม เปล่งประกาย ในหยดน้ำหยาดใบ”

    ธรรมชาติยังอาจเตือนเราให้ตระหนักว่ามนุษย์เราช่างเล็กน้อยกระจิริด ยามเมื่ออยู่กลางทะเลภูเขา หรือเพ่งพินิจแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดวงดาว เราจะรู้สึกได้ว่าตัวเราไม่ได้ยิ่งใหญ่เลย การเอาตัวเป็นศูนย์กลางของโลกช่างเป็นความเขลาโดยแท้ เพราะแท้จริงเราก็ไม่ต่างจากมดหรือฝุ่นในอวกาศ นี้คือความจริงที่เรามักจะมองข้ามไป
    บางครั้งธรรมชาติก็สอนเราว่า อิสรภาพหรือเสรีภาพไม่ได้เกิดขึ้นจากการครอบครองวัตถุ นกนั้นมีเพียงปีกสองข้างก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี เห็นนกแล้วก็น่าหัวเราะตัวเองที่ขนข้าวของเต็มรถเพื่อไปท่องเที่ยว เราเรียกการกระทำเช่นนั้นว่าอิสรภาพในการเดินทาง แต่แท้จริงแล้วการครอบครองวัตถุกลับทำให้เรามีเสรีภาพน้อยลงด้วยซ้ำ

    เคยมีพระราชาคณะท่านหนึ่งถามพระอาจารย์มั่นว่า ท่านไม่ได้ร่ำเรียนในทางปริยัติ ตำรับตำราก็อ่านน้อย แต่ท่านเข้าใจธรรมะและสอนธรรมะได้อย่างไร พระราชาคณะท่านนี้เป็นพระชั้นสมเด็จ จบประโยค ๙ ท่านไม่เข้าใจว่าพระที่เอาแต่ธุดงค์ในป่าจะเข้าใจธรรมะได้อย่างไร พระอาจารย์มั่นตอบว่า “สำหรับผู้มีปัญญา ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า” พระอาจารย์มั่นเข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านเรียนจากธรรมชาติในป่านั่นเอง พวกเราก็เช่นกันสามารถเรียนธรรมะได้จากธรรมชาติ หากรู้จักมองให้เป็น ก็เห็นธรรมะได้ในทุกที่

    ธรรมะกับธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญกับธรรมชาติมาก จนเรียกว่าสนิทแนบแน่นกับธรรมชาติ
    ท่าทีต่อธรรมชาติเช่นนี้ให้ประโยชน์แก่อาตมามาก ไม่เฉพาะในฐานะเป็นพระเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าแก่อาตมาในฐานะที่ทำงานทางสังคม ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าการอนุรักษ์ธรรมชาติ สันติภาพ สันติวิธี สิทธิมนุษยชน ในการทำงานเพื่อสังคม อาตมาพบว่าถ้าจะทำงานให้ได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีรากฐานภายในที่มั่นคงเข้มแข็งและหยั่งลึก
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ )
    ไม่ต่างจากต้นไม้ใหญ่
    ชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากต้นไม้ ต้นไม้จะเติบใหญ่ แทงยอดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และแผ่กิ่งก้านออกไปได้กว้างเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับรากใต้ดินว่าจะหยั่งลึกและแผ่กว้างไปได้แค่ไหน เวลาเรามองเห็นต้นไม้ใหญ่ เรารู้สึกทึ่งที่ต้นไม้เหล่านั้นมีเรือนยอดหนาครึ้ม กิ่งก้านก็แผ่กว้างมาก แต่เราอาจไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะมันมีรากที่หยั่งลึกและแผ่กว้างอยู่ใต้ดิน ถ้ารากไม่หยั่งลึก ลำต้นก็ไม่อาจพุ่งขึ้นสูงได้ และถ้ารากไม่แผ่กว้าง กิ่งก้านก็ไม่อาจขยายใหญ่ได้ ต้นไม้จะไม่สามารถทนทานต่อลมพายุหรือให้สัตว์นานาชนิดมาพึ่งพาอาศัยได้เลย

    ในฤดูแล้ง ต้นไม้ใหญ่ๆ ยังเขียวสดอยู่ได้ ขณะที่ไม้ล้มลุกเหี่ยวแห้งตายไป ในเมืองไทย แม้ฤดูร้อน แดดจะแรง อากาศจะร้อนแค่ไหน และถึงจะไม่มีฝนตกลงมา ต้นไม้ใหญ่ๆ ในป่าก็ยังเขียวสด ไม่ทิ้งใบร่วงหล่น นั่นเป็นเพราะมันมีรากที่หยั่งลึกไปถึงตาน้ำใต้ดิน จึงดูดน้ำมาเลี้ยงลำต้น กิ่ง ก้าน และใบได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องพึ่งฝน แถมยังสามารถเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าได้ด้วย

    อาตมาได้เรียนรู้อะไรจากต้นไม้เหล่านี้ ต้นไม้เหล่านี้สอนว่า ถ้าชีวิตด้านในของเรามีความลุ่มลึกเพียงพอ เราก็สามารถหยั่งลงไปถึงความสุขอันลึกซึ้งที่อยู่กลางใจได้ ความสุขจากกลางใจนี้แหละที่จะช่วยหล่อเลี้ยงเราให้สามารถทำงานได้อย่างมั่นคงและมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุภายนอก คนเรานั้นประกอบด้วยสองส่วน คือชีวิตด้านนอก ได้แก่การทำงาน การประกอบอาชีพ การติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น อีกส่วนคือชีวิตด้านใน ซึ่งมองไม่เห็น แต่เป็นรากฐานที่สำคัญของชีวิตด้านนอก เหมือนรากไม้ที่ค้ำจุนและหนุนส่งให้ลำต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาได้กว้าง ชีวิตด้านนอกของเรา ต้องอาศัยชีวิตด้านใน งานการภายนอกไม่อาจเจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน ถ้าชีวิตด้านในไม่ลึกพอ เหมือนกับต้นไม้ ถึงแม้ลำต้นจะสูงใหญ่ แต่รากไม่ลึก พอโดนพายุ ก็โค่นลงมาได้

    การมีชีวิตด้านในที่หยั่งลึกจนค้นพบความสุขภายใน ทำให้เราสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตและการทำงานได้ เราอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ เราอาจประสบความล้มเหลว แต่เราก็ยังสามารถเป็นสุข เบิกบาน และเข้มแข็งได้ ก็เพราะลึกลงไปภายในเราสามารถเข้าถึงความสุขที่ประณีตลึกซึ้งได้ คนส่วนใหญ่จะมีความสุขได้ก็ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น เงินทอง ทรัพย์สมบัติ คำชม ชื่อเสียง หรือผู้คนที่ห้อมล้อม สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และง่ายด้วย หากเราเอาความสุขไปฝากไว้กับสิ่งซึ่งป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืนเหล่านี้ ชีวิตเราจะผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ หาความสงบได้ยาก แต่ถ้าเราสามารถเข้าถึงต้นตอแห่งความสุขที่อยู่กลางใจเรา เราสามารถมีชีวิตที่เป็นสุข แม้จะไม่ร่ำรวย แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ประสบความล้มเหลว ผู้คนเข้าใจผิด เปรียบเสมือนต้นไม้ในหน้าร้อน แม้จะไม่มีฝน แดดก็ร้อน แต่ก็ยังเขียวอยู่เสมอ เพราะมีรากที่หยั่งลึกถึงตาน้ำใต้ดิน

    ด้วยเหตุนี้เราจึงควรพัฒนาชีวิตด้านในของเราให้มีรากที่หยั่งลึก เพื่อค้ำจุนและหนุนส่งชีวิตและกิจกรรมภายนอกให้เจริญงอกงามอย่างยั่งยืน นี้แหละคือคุณค่าของศาสนธรรม

    อาตมาเองได้เรียนรู้จากต้นไม้มากเมื่อได้มาอยู่ป่า อย่างหนึ่งที่ได้เรียนจากต้นไม้ก็คือ ต้นไม้สามารถเปลี่ยนซากพืชซากสัตว์ให้กลายเป็นดอกไม้สวยงาม และเปลี่ยนขยะปฏิกูลให้กลายเป็นผลไม้ที่เอร็ดอร่อย อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนแดดที่ร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็นสบาย คนเราก็เช่นกัน ควรรู้จักเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้เราฉลาดและเข็มแข็งขึ้น ควรรู้จักเปลี่ยนคำวิพากษ์วิจารณ์ให้กลายเป็นคำชี้แนะในการปรับปรุงตัว ควรรู้จักเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นบทเรียนสำหรับสร้างสุข ไม่ใช่ปล่อยให้อุปสรรคและความทุกข์มากระทำกับเราจนแทบจะปางตาย

    ไม่แน่นอน/ไม่เที่ยงในทุกสิ่ง
    ในฐานะของคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสังคม อาตมาพยายามเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์และความผันผวนปรวนแปรในชีวิตและในโลกรอบตัว การที่จะทำเช่นนั้นได้ สมาธิภาวนาเป็นสิ่งสำคัญมาก เราเจริญสมาธิภาวนาก็เพื่อความสงบใจเป็นประการแรก สงบด้วยการอยู่ในป่าที่สงัด ต่อมาก็สงบเพราะมีสติรู้เท่าทันอารมณ์อกุศลต่างๆ เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความผิดหวัง ความหดหู่เศร้าหมอง เมื่อรู้ทันอารมณ์เหล่านั้นแล้ว ก็สามารถปล่อยวางได้ ไม่เก็บมาให้ค้างคาหรือหมักหมมในใจ

    ใหม่ๆ เราสงบได้เพราะรอบตัวเรานั้นสงบสงัด ปราศจากสิ่งรบกวน ธรรมชาติ เช่น ป่า
    ทะเล ภูเขา เป็นสถานที่ที่ให้ความสงบสงัดแก่เราได้ เมื่อเราซึมซับความสงบจากธรรมชาติ ใจเราก็จะสงบตามไปด้วย แต่ถ้าหากรอบตัวเรานั้นอึกทึกวุ่นวาย ใจของเราก็ยากจะสงบได้
    แต่เมื่อเราเรียนรู้ที่จะรักษาใจให้สงบด้วยสติหรือความรู้ตัวทั่วพร้อม เราก็สามารถสงบใจได้แม้จะอยู่ในเมืองหรือท่ามกลางผู้คน ความสงบที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจ สิ่งแวดล้อมเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น แต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด
    เมื่อใจสงบ เราก็สามารถพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งก็ด้วยการพินิจธรรมชาติ จนแลเห็นความไม่เที่ยงในทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว และเห็นกระทั่งความไม่เที่ยงของตัวเรา การเห็นที่หยั่งลึกไปถึงใจ มิใช่แค่ความคิด จะช่วยให้เราปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งละวางความยึดถือตัวตนได้ในที่สุด
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,120
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ )
    พิจารณาให้ดี ความไม่เที่ยงในธรรมชาติกับความไม่เที่ยงของชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ ความสำเร็จ หรือชีวิตของเรา ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้กฎอนิจจังเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเรามีชื่อเสียง เมื่อผู้คนสรรเสริญชื่นชมเรา เราพึงตระหนักว่าชื่อเสียงและคำสรรเสริญจะไม่อยู่กับเราไปตลอด มันจะต้องแปรเปลี่ยนไป ชื่อเสียงอาจกลายเป็นความอื้อฉาว คำสรรเสริญอาจกลายเป็นคำนินทา ความแข็งแรงกลายเป็นความเจ็บป่วย ความสำเร็จกลายเป็นความล้มเหลว มีบางคนพูดไว้น่าสนใจว่า ความสำเร็จคือความล้มเหลวในระยะยาว หรือความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ พระพุทธเจ้าก็ตรัสเช่นกันว่า ความเจ็บป่วยมีอยู่ในความไม่มีโรค ความแก่มีอยู่ในความหนุ่มสาว และความตายมีอยู่ในชีวิต สิ่งที่ดูเหมือนอยู่ตรงข้ามกันนั้น แท้จริงไม่ได้แยกจากกัน ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ เราจะไม่หลงเพลิดเพลินในชื่อเสียง สุขภาพ ความร่ำรวย ความสำเร็จ เพราะเรารู้ดีว่าไม่ช้าไม่นานมันก็จะกลายเป็นตรงกันข้าม

    มีคนถามอาตมาว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์เวลาถูกต่อว่า อาตมาตอบว่า ก็อย่าไปดีใจเวลามีคนชมเรา เพราะถ้าเราดีใจเวลามีคนชม ก็ย่อมเสียใจเวลาถูกตำหนิ มันเป็นของคู่กัน ในทำนองเดียวกัน ถ้าคุณหลงระเริงเวลาได้รับชัยชนะ คุณก็จะคร่ำครวญเสียใจเวลาประสบความพ่ายแพ้ คนที่หัวเราะเสียงดัง ก็มักจะร้องไห้เสียงดังเช่นเดียวกัน ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ เวลาตกลงมาก็เจ็บมากเท่านั้น เมื่อรู้ว่าบวกกับลบเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน และมันสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ เราก็จะวางใจเป็นปกติได้มากขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ดีหรือชั่ว บวกหรือลบ เราจะนิ่งได้มากขึ้น

    นี้แหละคือความสงบ ความสงบเป็นสิ่งที่เราเข้าถึงได้จากสมาธิภาวนา และสามารถเรียนรู้จากสัจธรรมในธรรมชาติ โดยส่วนตัวของอาตมา วิธีการเหล่านี้ช่วยให้เผชิญกับความผันผวนปรวนแปรในชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการทำงาน ไม่ผิดหวังง่ายเวลาเจอสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ

    มีบางคนถามอาตมาว่า ชีวิตแบบนี้ไม่น่าเบื่อหรือ? สำหรับอาตมา ชีวิตอย่างนี้ไม่น่าเบื่อเลย เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ มิใช่จากวัตถุหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก ความสุขที่มาจากภายในนั้นยั่งยืนกว่าความสุขที่มาจากภายนอก

    พุทธศาสนามองว่า ธรรมชาติภายในกับธรรมชาติภายนอกมิได้แยกจากกัน ปรากฏการณ์หรือความจริงในธรรมชาติ ในป่า หรือในท้องทะเล กับความจริงภายในจิตใจของเรา จึงใกล้ชิดกันมาก ดังนั้นเมื่ออาตมาสอนสมาธิภาวนาแก่คนในเมือง อาตมาแนะให้เขาหัดสังเกตและชื่นชมธรรมชาติในชีวิตประจำวันหรือแม้แต่บนท้องถนน เพราะเฟิร์นที่เขียวสดใสซึ่งขึ้นอยู่ตรงซอกตึก หรือดอกไม้แรกแย้มข้างถนน ก็สามารถชูใจเราให้ชื่นบานได้ หากใจเราพร้อมจะเปิดรับความสดชื่นจากธรรมชาติ

    หากเราเปิดรับธรรมชาติ แม้จะอยู่ในคุก ใจเราก็สามารถเป็นอิสระได้ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีบางคนที่ถูกจองจำในค่ายกักกันชาวยิวที่เอาชวิตซ์ คนเหล่านี้ถูกขังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายราวกับนรก แต่เขาสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ หลายคนบอกว่าเขามีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ก็เพราะได้เห็นดอกไม้สดใสจากหน้าต่าง หรือเห็นนกร้องเจื้อยแจ้วท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ สิ่งที่เขาได้เห็นทำให้เขามีพลังที่จะฟันฝ่าอุปสรรคที่ยากเย็นแสนเข็ญมาได้ในที่สุด ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่า ขณะที่เธอกำลังจะตายนั้น เธอเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งทางหน้าต่าง ต้นไม้ต้นนี้มีดอกตูมอยู่ ๒ ดอก เธอเล่าว่าต้นไม้ต้นนี้ให้กำลังใจเธอ และทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปจนได้รับอิสรภาพ

    การได้เห็นต้นกล้าต้นน้อยๆ แทงยอดพ้นดินที่แข็งกระด้าง เป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนสามารถเอาชนะความท้อแท้ และเพียรต่อสู้จนประสบความสำเร็จ นี้คือคุณค่าที่ประมาณมิได้จากธรรมชาติ

    ธรรมจากธรรมชาติ
    นอกจากความจริงเกี่ยวกับชีวิตแล้ว ธรรมชาติยังสอนถึงจริยธรรม คือสิ่งที่ควรดำเนิน หรือควรประพฤติปฏิบัติ ทั้งกับตนเองและกับผู้อื่น

    พระพุทธเจ้าเคยแนะให้เราดูตัวอย่างจากผีเสื้อว่า ผีเสื้อดูดน้ำหวานจากดอกไม้ แต่ไม่เคยทำให้ดอกไม้บอบช้ำหรือเสียสี มนุษย์เราก็ควรปฏิบัติกับธรรมชาติแบบนั้นเหมือนกัน คือเราแสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติ แต่เราก็ไม่ทำลายธรรมชาติ

    เราสามารถเรียนรู้ความเสียสละและความไม่เห็นแก่ตัวของผึ้ง ของมด หรือความขยันอย่างไม่ลดละของแมลงเล็กๆ เหล่านี้ มีหลายคนที่ท้อแท้ท้อถอย แต่เมื่อเห็นแมลงเหล่านี้ทำงานก็เกิดความเพียรพยายามขึ้นมา เอาชนะอุปสรรคได้ในที่สุด

    มีพระบางรูปที่ท้อแท้ในการขัดเกลากิเลสของตนเอง วันหนึ่งท่านเห็นช้างตกหล่ม ช้างตัวนั้นพยายามขึ้นจากหล่มให้ได้ ผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ ช้างตัวนั้นก็ไม่ยอมลดละความพยายาม ท่านเห็นเช่นนั้น ก็ได้คิดว่าแม้แต่สัตว์ยังไม่ยอมแพ้ เราเป็นมนุษย์ ควรแล้วหรือที่จะท้อถอยง่ายๆ ดังนั้นท่านจึงรวบรวมพลังเพียรพยายาม จนกระทั่งสามารถเอาชนะกิเลสตัณหาของตัวเองได้

    บางครั้งเรายังสามารถเรียนรู้ได้จากต้นไม้ต้นเล็กๆ เมื่อปีที่แล้วอาตมาจัดธรรมยาตรา มีการเดินเท้าผ่านชุมชนต่าง ๆ บนภูโค้ง จังหวัดชัยภูมิ เราเดินกันกลางแดดเจ็ดวันเต็มๆ แดดก็แรง อากาศก็ร้อน คนเดินทั้งร้อนทั้งเหนื่อย จนเดินกันไม่เป็นขบวน แต่มีช่วงหนึ่งพวกเราเดินผ่านต้นประทัดจีนซึ่งขึ้นอยู่ริมทางเป็นต้นเล็กๆ ค่อนข้างแบบบาง ที่สะดุดใจคือ ดอกของเขาแดงสด และที่สำคัญบานกลางแดดที่ร้อน มิหนำซ้ำยังหันดอกไปทางพระอาทิตย์ รับแดดเข้าไปเต็มที่ ไม่มีทีท่ากลัวแดดเลย แถมชอบด้วยซ้ำ ดอกประทัดจีนแผ่กลีบบานเต็มที่สีแดงสด เหมือนกับจะยิ้มรับแดด

    เราเห็นแล้วก็เกิดกำลังใจขึ้นมาทันที ขนาดดอกไม้ที่แสนแบบบางยังไม่กลัวแดดเลย แล้วเราจะทำใจห่อเหี่ยวเพราะแดดได้อย่างไร เราพบว่าเราสามารถเรียนรู้จากต้นไม้ได้มากมาย ต้นไม้เป็นครูที่วิเศษ เวลาต้นไม้เจอแดด นอกจากจะไม่กลัวแดดแล้ว ยังเปลี่ยนแดดให้กลายเป็นร่มเงา คนเราเวลาเจออุปสรรค ควรเรียนจากต้นไม้ นั่นคือพยายามเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นประโยชน์ เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขให้ได้

    เวลาอยู่วัด อาตมาจะพักที่ศาลากลางน้ำ ทุกๆ ปีราวๆ เดือนตุลาคม จะมีนกกระเต็นตัวหนึ่งมาเยี่ยมเยียน เขามาตัวเดียว ทั้งวันจะเกาะบนก้านบัวกลางสระ แดดก็ร้อน แต่นกกระเต็นเกาะอย่างเงียบสงบ ไม่ทีท่าว่าทุกข์ร้อน อาตมาเห็นแล้วก็ละอายใจ เพราะบางครั้งอาตมาก็ทนอยู่คนเดียวไม่ได้ จะรู้สึกเหงาหรือกระสับกระส่าย แต่กระเต็นน้อยอยู่เอกาอย่างเป็นสุข เวลาเจอแดดร้อนๆ อาตมาก็ทนได้ไม่นาน แต่นกกระเต็นเกาะก้านบัวอย่างสงบราวกับฤาษี เวลาจับปลาได้ แม้จะตัวเล็กแค่ไหน นกกระเต็นตัวนี้ก็จะดีใจและพอใจกับปลาที่หามาได้ แต่อาตมา บางครั้งก็ไม่พอใจกับสิ่งที่มี อยากได้ที่ดีกว่านั้น มากกว่านั้น ใหญ่กว่านั้น หรือทันสมัยกว่านั้น เช่น คอมพิวเตอร์ แต่นกกระเต็นตัวนี้พอใจทุกอย่างที่ได้ มีความสุขที่อยู่เอกา เวลาอาตมาเป็นทุกข์ขึ้นมาแล้วนึกถึงกระเต็นตัวนี้ ก็จะรู้สึกดีขึ้น อาตมาเรียนรู้หลายอย่างจากกระเต็นตัวนี้ จึงถือว่ากระเต็นตัวนี้เป็นครูด้วยเหมือนกัน ครูของอาตมาตัวนี้ชอบมาปลายฤดูฝน ต้นฤดูหนาว เพื่อเตือนอาตมาให้เป็นสุขกับชีวิตที่สันโดษ

    ตอนที่เห็นนกกระเต็นตัวนี้ใหม่ๆ อย่างแรกที่เห็นคือความสวยงามของเขา เขามีปีกและขนที่สวยสดใส เห็นแล้วก็เพลิดเพลินใจ แต่เมื่อดูนานๆ ความเพลิดเพลินใจก็กลายเป็นความสงบใจ และจากความสงบใจอาตมาก็เริ่มเห็นธรรมะจากกระเต็นน้อยตัวนี้ เขาสอนอะไรมากมายที่ทำให้เกิดความสว่างขึ้นในจิตใจ ไม่ใช่แค่ความสงบเท่านั้น อาตมาคิดว่าสัตว์ต่างๆ อีกมากมายก็สามารถสอนใจเราได้ ใหม่ๆ เราเห็นความสวยงามของนกนานาพันธุ์ แต่ยิ่งพิจารณา ก็ยิ่งเห็นบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับตัวเรา หรือบทเรียนที่สอนใจเรา รวมทั้งได้สัมผัสกับสิ่งดีงามในตัวเรา เช่นความสงบ และความสว่าง ทำให้เห็นสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและคุณธรรมในการดำเนินชีวิต เช่น การร่วมมือกัน การอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัว หรือแม้แต่การเสียสละ อย่างที่เราเห็นจากต้นไม้และสัตว์นานาชนิด

    มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้ ห่านตัวหนึ่งเกิดไปติดอยู่กลางลำธารซึ่งเป็นน้ำแข็ง มันมีทีท่าอ่อนแรง ปีกหุบ ทั้งสองเท้าจมหายไปในน้ำแข็ง ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย คนที่เห็นเหตุการณ์นี้บอกว่า ทีแรกเธอคิดจะไปช่วย แต่บังเอิญเห็นหงส์ฝูงหนึ่งบินผ่านมา จึงเฝ้าดูเหตุการณ์

    เมื่อหงส์ฝูงนี้เห็นห่าน ก็แปรขบวนเป็นวงกลมและร่อนลงบนพื้นรอบๆ ตัวห่าน ทีแรกเธอรู้สึกกังวลมากเพราะห่านกับหงส์ปกติไม่ค่อยถูกกัน เธอกลัวว่าหงส์จะบินมาจิกตีห่าน แต่กลับตรงข้าม เธอประหลาดใจมากกับสิ่งที่เห็น เพราะว่าเมื่อหงส์ฝูงนี้มาถึง ก็ช่วยกันใช้จะงอยปากแซะน้ำแข็งที่ยึดเท้าห่านอยู่ ทำอยู่นานจนห่านสามารถยกเท้าขึ้นจากน้ำแข้งได้ แต่ห่านก็ยังบินไม่ได้ เพราะปีกมีเกล็ดน้ำแข็งติดอยู่ หงส์เลยเข้ามาไซ้ปีกห่านทั้งด้านนอกและด้านใน จนห่านสามารถสยายปีกและหุบปีกได้ พอรู้ว่าห่านเริ่มจะบินได้ หงส์ฝูงนี้ก็พากันบินต่อไป

    นี่เป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่ง มันชี้ให้เห็นว่าสัตว์นั้นมีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ไม่เฉพาะในหมู่พวกเดียวกันเท่านั้น แต่ยังมีน้ำใจข้ามเผ่าพันธุ์ เราจึงสามารถเรียนรู้จากสัตว์เหล่านี้ได้ในเรื่องความเอื้อเฟื้อและความร่วมมือกัน นี่คือธรรมะอีกอย่างหนึ่งที่เราสามารถเรียนได้จากธรรมชาติ จากสัตว์นานาชนิด นอกเหนือจากสัจธรรมเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิต

    จุดใจให้สว่าง
    ธรรมชาติมีคุณค่าหลายด้านหลายมิติ พุทธศาสนาจึงเน้นให้เรารู้จักอยู่กับธรรมชาติอย่างสันติเพื่อน้อมใจให้เกิดความสงบ และเมื่อใจเราสงบ ความจริงจากธรรมชาติก็จะจุดใจเราให้สว่างได้ ความจริงเหล่านี้แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เห็นเพราะใจเราไม่ว่าง ใจเราวุ่น แต่ถ้าใจเราสงบ มีสติ ก็จะแลเห็นสัจธรรมคือความจริงจากธรรมชาติได้ รวมทั้งเก็บเกี่ยวบทเรียนหรือจริยธรรมในการดำเนินชีวิตจากธรรมชาติ ถ้าทำเช่นนั้นได้ใจเราก็จะสว่าง เพราะเมื่อความสว่างเกิดขึ้น เงามืดในจิตใจเราก็หายไป ความทุกข์ไม่อาจหลบซ่อนได้อีกต่อไป

    ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ซึ่งเรากำลังฉลองร้อยปีแห่งชาตกาลของท่านในปีนี้ (๒๕๔๙) ท่านได้ตั้งสวนโมกข์ขึ้นมาเพื่อให้เราได้อยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เวลาคนมาหาท่านที่สวนโมกข์ ท่านก็มักแนะให้คนเหล่านี้หัด “ฟังเสียงต้นไม้พูด ฟังก้อนหินสอนธรรมะ” บ้าง

    เราสามารถตื่นรู้ได้จากธรรมชาติ และถ้าเราตื่นรู้ได้มากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถเป็นอิสระจากความทุกข์ได้มากเท่านั้น ความสว่างหรือปัญญาที่เกิดขึ้น สามารถทำให้เราสงบสุขหรือมีสันติได้ในทุกที่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เราอยู่ในเมือง อยู่ในที่ทำงาน หรืออยู่บนถนนที่อึกทึก เราก็สามารถสงบได้ เพราะว่าเรามีปัญญาที่ช่วยปลดเปลื้องใจให้พ้นจากความทุกข์ได้ง่าย ไม่ว่าอะไรมากระทบกายและใจ ก็รู้จักปล่อยวาง ไม่เอาตัวตนเข้าไปรับการกระทบกระแทกหรือปรุงแต่งให้เป็นความทุกข์

    ความสงบนี้ ถึงที่สุดแล้วเราสามารถสัมผัสหรือเข้าถึงได้ในทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมที่สงบก็ได้ ถ้าเรามีความสว่างในใจ คือมีปัญญาครองใจ แม้จะมีเสียงอึกทึก หรือเสียงคนก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์ เราก็ไม่ทุกข์ สามารถสงบได้ เพราะไม่เอาตัวตนเข้าไปรับคำด่า กลับจะนำคำเหล่านั้นมาพิจารณาว่ามีข้อดีอย่างไรบ้างที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างที่บางท่านได้พูดว่า ความทุกข์มิได้มีไว้คร่ำครวญ แต่มีไว้ใคร่ครวญ ถ้าเรามีปัญญาหรือท่าทีเช่นนี้ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ ก็สามารถสงบได้ เพราะความสงบที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่แค่ในธรรมชาติเท่านั้น

    ความสว่างในใจจะทำให้เราพบกับความสงบอย่างยั่งยืนได้ ความสงบที่ยั่งยืนจึงเกิดจากจิตใจที่สว่างไสวหรือมีปัญญา ตรงนี้คือประโยชน์สูงสุดที่เราจะได้จากธรรมชาติ ซึ่งถ้าเรามีปัญญาถึงขั้นหนึ่ง เราจะพบว่าเรากับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง ระหว่างเรากับธรรมชาติไม่ได้มีอะไรสำคัญไปกว่ากัน เราไม่ได้สำคัญกว่าธรรมชาติ และธรรมชาติก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าเรา

    ถึงที่สุดแล้ว เรากับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน
    :- https://visalo.org/article/NatureTempleSchool.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...