บทความให้กำลังใจ(พรแห่งชีวิต : ความสุขของมนุษย์ที่แท้ )

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ช้างรับศีล
    หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี เป็นศิษย์คนสำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต แม้ท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ แต่ท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถือในหมู่ผู้ใฝ่ธรรมอย่างไม่เสื่อมคลาย

    ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ใฝ่ในธุดงควัตรมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อท่านได้ยินกิตติศัพท์พระอาจารย์มั่นก็บุกป่าฝ่าดงตามหาท่าน และเที่ยวติดตามท่านจนภายหลังได้รับเมตตาเข้าไปจำพรรษากับท่านอาจารย์ใหญ่

    คืนหนึ่งในพรรษา ขณะที่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ช้างบ้านใหญ่เชือกหนึ่งได้พลัดตรงเข้ามายังกุฏิท่าน แต่เผอิญกุฏิด้านหลังมีม้าหินใหญ่ก้อนหนึ่งบังอยู่ ช้างจึงไม่สามารถเข้ามาถึงตัวท่านได้ แต่กระนั้นก็เอางวงสอดเข้ามาในกุฏิจนถึงกลดและมุ้ง เสียงสูดลมหายใจดมกลิ่นท่านดังฟูดฟาดๆ จนกลดและมุ้งไหวไปมา แต่ท่านเองไม่ไหวติง นั่งภาวนาบริกรรมพุทโธ ๆ ตลอด ๒ ชั่วโมง ช้างใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมหนีไปไหนราวกับจะคอยทำร้ายท่าน ต่อมาก็เคลื่อนไปทางตะวันตกของกุฏิ แล้วล้วงเอามะขามมากิน

    ท่านเห็นว่าหากนิ่งเฉยคงไม่ได้การ จึงตัดสินใจออกไปพูดกับมันให้รู้เรื่อง เพราะเชื่อว่าช้างนั้นรู้ภาษาคน หากพูดกับช้างดี ๆ มันคงจะไม่พุ่งมาทำร้ายเป็นแน่

    เมื่อตกลงใจแล้วท่านก็ออกจากกุฏิมายืนแอบโคนต้นไม้หน้ากุฏิ แล้วพูดกับช้างว่า “พี่ชาย น้องขอพูดด้วยสักคำสองคำ ขอพี่ชายจงฟังคำของน้องจะพูดเวลานี้” ท่านว่าพอช้างได้ยินเสียงท่านก็หยุดนิ่งเงียบแล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

    “พี่ชายเป็นสัตว์ของมนุษย์นำมาเลี้ยงไว้ในบ้านเป็นเวลานานจนเป็นสัตว์บ้าน ความรู้สึกทุกอย่างตลอดจนภาษามนุษย์ที่เขาพูดกันและพร่ำสอนพี่ชายตลอดมานั้น พี่ชายรู้ได้ดีทุกอย่างยิ่งกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก ดังนั้นพี่ชายควรจะรู้ขนบธรรมเนียมและข้อบังคับของมนุษย์ ไม่ควรทำอะไรตามใจชอบ เพราะการกระทำบางอย่างแม้จะถูกใจเรา แต่เป็นการขัดใจมนุษย์ก็ไม่ใช่ของดี เมื่อขัดใจมนุษย์แล้วเขาอาจทำอันตรายเราได้ ดีไม่ดีอาจถึงตายก็ได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ฉลาดแหลมคมกว่าบรรดาสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกัน สัตว์ทั้งหลายจึงกลัวมนุษย์มากกว่าสัตว์ด้วยกัน ตัวพี่ชายเองก็อยู่ในบังคับของมนุษย์ จึงควรเคารพมนุษย์ผู้ฉลาดกว่าเรา ถ้าดื้อดึงต่อเขา อย่างน้อยเขาก็ตี เขาเอาขอสับลงที่ศีรษะพี่ชายให้ได้รับความเจ็บปวด มากกว่านั้นเขาฆ่าให้ตาย พี่ชายจงจำไว้อย่าได้ลืมคำที่น้องสั่งสอนด้วยความเมตตาอย่างยิ่งนี้”

    แล้วท่านก็ขอให้ช้างรับศีลห้า และกำชับให้รักษาให้ดี เมื่อตายไปจะได้สู่ความสุข มีชาติที่สูงขึ้น จากนั้นท่านก็สรุปว่า “เอาละ น้องสั่งสอนเพียงเท่านี้ หวังว่าพี่ชายจะยินดีทำตาม ต่อไปนี้ขอให้พี่ชายจงไปเที่ยวหาอยู่หากินตามสบายเป็นสุขกายสุขใจเถิด น้องก็จะได้เริ่มบำเพ็ญภาวนาต่อไปและอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้พี่ชายเป็นสุขทุก ๆ วัน และไม่ลดละเมตตา เอ้าพี่ชายไปได้แล้วจากที่นี่”
    ท่านว่าขณะที่ท่านกำลังให้โอวาทสั่งสอน ช้างยืนนิ่งราวก้อนหินไม่กระดุกกระดิกหรือเคลื่อนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งแม้แต่น้อย ต่อเมื่อท่านให้ศีลให้พรเสร็จและบอกให้ไปได้ มันจึงเริ่มหันหลังกลับออกไปจากที่นั้น

    เมตตาและปิยวาจานั้นไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แม้ช้างก็ซาบซึ้งและสัมผัสได้ด้วยใจ

    เมตตาของหลวงพ่อ

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แห่งวัดระฆังนั้น ท่านเป็นคนสมัยรัชกาลที่ ๑ หากแต่มีกิตติศัพท์เลื่องลือจนถึงปัจจุบัน แต่ส่วนมากเวลานึกถึงท่าน ผู้คนมักมองไปในแง่อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หรือพระเครื่อง ทั้ง ๆ ที่คุณธรรมของพระองค์ท่านมีอยู่อเนกประการที่สมควรน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ คุณธรรมของท่านประการหนึ่งได้แก่ ความเมตตา ไม่เฉพาะต่อผู้คน หากยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อย

    มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งเขานิมนต์ท่านไปในงานบ้านแห่งหนึ่งที่จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านได้ไปโดยทางเรือ ครั้นเรือจะเข้าทางอ้อม ท่านได้ขึ้นบกลัดทุ่งนาไปด้วยหมายจะให้ถึงเร็ว ปล่อยให้ศิษย์แจวเรือไปตามลำพัง ระหว่างทางท่านได้พบนกกระสาตัวหนึ่งติดแร้วอยู่ จึงแก้บ่วงปล่อยนกนั้นไป แล้วท่านเอาเท้าของท่านสอดเข้าไปในบ่วงแทน เมื่อศิษย์แจวเรือถึงบ้านงาน ไต่ถามได้ความว่าท่านขึ้นบกเดินมาก่อนนานแล้ว เจ้าภาพจึงได้ให้คนออกติดตามสืบหา ไปพบท่านติดแร้วอยู่ พอจะเข้าไปแก้บ่วง ท่านร้องห้ามว่า “อย่า อย่าเพิ่งแก้ เพราะขรัวโตยังมีโทษอยู่ ต้องให้เจ้าของแร้วเขาอนุญาตให้ก่อนจ้ะ”

    ครั้นท่านได้รับอนุญาตแล้วจึงบอกให้เจ้าของแร้วกรวดน้ำ แล้วท่านได้กล่าวคำอนุโมทนา ยถา สัพพี เสร็จแล้วท่านจึงได้เดินทางต่อไปยังบ้านงาน

    หลวงพ่อชากับรถยนต์

    ทุกวันนี้รถยนต์กลายเป็นปัจจัยที่ ๕ สำหรับคนมีเงินไปแล้ว เป็นธรรมดาอยู่เองที่ฆราวาสเห็นอะไรดีก็อยากถวายให้พระได้ใช้บ้าง เพราะเชื่อว่าจะได้บุญมาก ดังนั้นการถวายรถยนต์แก่พระจึงเป็นที่นิยมในหมู่คนมีเงิน จนกระทั่งรถกลายเป็นเครื่องแสดงสถานภาพของพระว่าเป็นที่ศรัทธานับถือของญาติโยม ผลก็คือพระที่มีสมณศักดิ์ท่านใดที่ไม่มีใครถวายรถให้ ก็ต้องถือเป็นกิจที่จะขวนขวายหารถมาประดับบารมี

    สำหรับหลวงพ่อชา สุภทฺโทนั้น ท่านไม่ต้องขวนขวายหารถ เพราะมีคนอยากถวายรถยนต์ให้ท่าน แต่แทนที่ท่านจะตอบรับ ท่านได้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสงฆ์วัดหนองป่าพงหลังสวดปาฏิโมกข์เพื่อฟังความเห็นพระสงฆ์ ทุกรูปต่างเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะรับด้วยเหตุลว่าสะดวกแก่หลวงพ่อเวลาไปเยี่ยมสำนักสาขาต่าง ๆ ซึ่งมีมากมายกว่า ๔๐ สาขาในเวลานั้น อีกทั้งเวลาพระเณรอาพาธก็จะได้นำส่งหมดได้ทันท่วงที

    หลังจากที่หลวงพ่อชารับฟังความคิดเห็นของที่ประชุมแล้ว ท่านก็แสดงทัศนะของท่านว่า “สำหรับผม มีความเห็นไม่เหมือนกับพวกท่าน ผมเห็นว่าเราเป็นพระ เป็นสมณะ คือผู้สงบระงับ เราต้องเป็นคนมักน้อยสันโดษ เวลาเช้าเราอุ้มบาตรออกไปเที่ยวบิณฑบาตรับอาหารจากชาวบ้านมาเลี้ยงชีวิตเพื่อยังอัตภาพนี้ให้เป็นไป ชาวบ้านส่วนมากเขาเป็นคนยากจน เรารับอาหารมาจากเขา เรามีรถยนต์แต่เขาไม่มี นี่ลองคิดดูซิว่ามันจะเป็นอย่างไร เราอยู่ในฐานะอย่างไร เราต้องรู้จักตัวเอง เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าไม่มีรถ เราก็อย่ามีเลยดีกว่า ถ้ามี สักวันหนึ่งก็จะมีข่าวว่ารถวัดนั้นคว่ำที่นั่น รถวัดนี้ไปชนคนที่นี่...อะไรวุ่นวาย เป็นภาระยุ่งยากในการรักษา

    “เมื่อก่อนนี้จะไปไหนแต่ละทีมีแต่เดินไปทั้งนั้น ไปธุดงค์สมัยก่อนไม่ได้นั่งรถไปเหมือนทุกวันนี้ ถ้าไปธุดงค์ก็ธุดงค์กันจริง ๆ ขึ้นเขาลงห้วยมีแต่เดินทั้งนั้น เดินกันจนเท้าพองทีเดียว แต่ทุกวันนี้พระเณรเขาไปธุดงค์มีแต่นั่งรถกันทั้งนั้น เขาไปเที่ยวดูบ้านนั้นเมืองนี้กัน ผมเรียกทะลุดง ไม่ใช่ธุดงค์ เพราะดงที่ไหนมีทะลุกันไปหมด นั่งรถทะลุมันเลย ไม่มีรถก็ช่างมันเถอะ ขอแต่ให้เราประพฤติปฏิบัติให้ดีเข้าไว้ก็แล้วกัน เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใสศรัทธาเองหรอก

    “ผมไม่รับรถยนต์ที่เขาจะเอามาถวายก็เพราะเหตุนี้ ยิ่งสบายเสียอีก ไม่ต้องเช็ดไม่ต้องล้างให้เหนื่อย ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้ อย่าเห็นแก่ความสะดวกสบายกันนักเลย”
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กระต่ายน้อย นั่งภาวนา
    ก่อนที่พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ จะมาบุกเบิกสร้างวัดเจติยาคิริวิหารที่ภูทอก กิ่งอำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคายนั้น ท่านใช้ชีวิตเยี่ยงพระธุดงค์กรรมฐานอย่างไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย เจริญรอยตามพระอาจารย์ใหญ่คือหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จะอยู่ประจำที่ใดที่หนึ่งก็จำเพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ออกพรรษาเมื่อใดก็ออกเที่ยววิเวก ถือเอาป่าเขาและเพิงถ้ำเป็นที่พักพิง กระนั้นก็มีอยู่หลายปีที่ท่านได้อาศัยป่าเป็นที่จำพรรษา

    เมื่อ ๕๐ ปีก่อน อีสานทั้งภาคเต็มไปด้วยป่าทึบเป็นที่สิงอาศัยของสัตว์นานาชนิด จึงเป็นธรรมดาที่พระธุดงค์อย่างท่านจะต้องพานพบสัตว์ร้ายน้อยใหญ่ บางครั้งช้างและเสือก็แวะเวียนให้เห็นใกล้ ๆ กุฏิที่พัก มีพรรษาหนึ่ง ท่านและหมู่มิตรได้ร่วมกันบำเพ็ญเพียรที่ดงหม้อทองในจังหวัดสกลนคร ท่านเล่าว่าคราวหนึ่งอาหารเกิดผิดสำแดงทั้งพระและเณรเกิดท้องเสียกลางดึก แต่ส้วมมีไม่พอ พระบางรูปจึงต้องเลี่ยงเข้าป่า แต่ไม่ทันจะได้ถ่ายทุกข์ เสือตัวหนึ่งก็เกิดผลุนผลันโผล่มาแล้วกระโดดข้ามหัวท่าน ไปยังทางส้วมที่เณรกำลังอยู่ พอรู้ว่าเสือมาเท่านั้น เณรก็กระโจนออกจากมา วิ่งป่าราบเลยทีเดียว

    บางวันช้างก็มาเดินเล่น พอมาถึงกระต๊อบของผ้าขาวผู้หนึ่งก็ยื่นงวงเข้าไปหยิบรองเท้าออกมาเล่นแล้วโยนเข้าป่าไป เท่านั้นไม่พอ ยังรื้อบันไดกุฏิออกมาอีกด้วย พอควานหาของเล่นพักใหญ่ก็เตรียมกลับ แต่ก่อนจะกลับก็เอางวงดุนฝาจนกุฏิโยก ตอนนั้นผ้าขาวอยู่กุฏิพอดี แต่ตอนที่ช้างหยิบรองเท้า ถอนบันไดนั้น แกคงไม่รู้สึกผิดปกติด้วยเป็นคนหูตึง แต่ครั้นรู้สึกว่ากุฏิโยกก็เลยออกมาดู พอเห็นช้างป่าเต็มตาเท่านั้นแหละ ก็กระโจนหนีออกจากกุฏิ

    แต่ชีวิตในป่ามิได้มีแต่เรื่องน่ากลัวตัวสั่นเท่านั้น สิ่งอภิรมย์น่าชื่นชมก็มีให้เห็นอยู่เนือง ๆ ในระหว่างจำพรรษาที่ถ้ำพวง จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์จวนเล่าว่า ทุกวันที่ท่านออกเดินจงกรมเวลาบ่ายแก่ ๆ จะมีกระต่ายน้อยน่ารักตัวหนึ่งมานั่งหลับตานิ่งอยู่ห่างจากทางจงกรมเพียง ๑ ศอกเท่านั้น ทำเช่นนี้เป็นประจำโดยไม่มีอาการตื่นกลัวท่านเลย อาการนั่งหลับตาพริ้มเช่นนี้ ดูราวกับว่ามันจะขอมานั่งภาวนากับท่านด้วย แต่ถ้าได้ยินเสียงคนเดินมา กระต่ายก็จะวิ่งเข้าไปทันที

    ท่านเองก็ไม่แน่ใจว่า จริง ๆ แล้วกระต่ายต้องการจะภาวนากับท่านหรือไม่ แต่ท่านเชื่อว่า มันเคยมี “นิสัยวาสนา” ทางนี้มาแล้ว
    กระต่ายมานั่งหลับตาพริ้มยามท่านเดินจงกรมอยู่หลายวัน ก่อนที่ต่างจะแยกย้ายไปตามวิถีทางของตน
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ในหลวงกับหลวงตา
    หลวงพ่อโตหรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านเป็นผู้ไม่ปรารถนายศศักดิ์ แม้จะเชี่ยวชาญทางพระปริยัติธรรมแต่ก็ไม่ยอมเข้าสอบเพื่อเป็นเปรียญ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งท่านเป็นพระราชาคณะ ท่านก็ทูลขอตัว ว่ากันว่าท่านเกรงว่าจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ จึงมักธุดงค์หลีกเร้นไปยังจังหวัดห่างไกลเนือง ๆ

    ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ อาจเป็นเพราะหลวงพ่อโตมีอายุมากแล้ว จึงไม่ขัดข้องที่จะรับพระราชทานสมณศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในชั่วเวลาไม่ถึง ๑๕ ปี ท่านได้รับเลื่อนเป็นถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ ซึ่งเป็นพระราชาคณะชั้นสูง แต่แม้กระนั้นท่านก็ยังดำรงตนเป็นพระธรรมดาสามัญ

    ลักษณะพิเศษของท่าน นอกเหนือจากความสันโดษและไม่ถือยศถืออย่าง ก็คือความกล้าหาญ ท่านไม่เพียงสอนธรรมแก่ชาวบ้านเท่านั้น หากยังกล้าตักเตือนพระมหากษัตริย์ โดยไม่กลัวว่าจะทรงกริ้วหรือไม่โปรดปราน

    คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จงานลอยกระทงหลวง ขณะที่ทรงประทับที่ตำหนักแพพร้อมด้วยฝ่ายในเป็นอันมาก ก็ทอดพระเนตรเห็นหลวงพ่อโตแจวเรือข้ามฟากมา เจ้ากรมเรือต้องไปขวางเอาไว้ ครั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่าเป็นเรือของหลวงพ่อโต ก็รับสั่งถามว่าจะไปไหน ท่านตอบว่าตั้งใจมาเฝ้า

    “ทำไมเป็นถึงสมเด็จเจ้าแล้วต้องแจวเรือเอง เสียเกียรติยศแผ่นดิน”

    หลวงพ่อโตตอบว่า “ขอถวายพระพร อาตมาภาพทราบว่าเจ้าชีวิตเสวยน้ำเหล้า สมเด็จก็ต้องแจวเรือ”

    พระองค์พอทรงสดับเช่นนั้นก็ได้สติ ตรัสว่า “อ้อ จริง จริง การกินเหล้าเป็นโทษ เป็นมูลเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติยศแผ่นดินใหญ่โตทีเดียว ตั้งแต่วันนี้ไปโยมจะถวายพระคุณเจ้า จักไม่กินเหล้าอีกแล้ว”

    อีกคราวหนึ่งท่านจุดไต้เข้าไปในพระราชวังเวลากลางวันแสก ๆ แล้วเอาไต้นั้นทิ่มกำแพงวังจนดับก่อนกลับวัด พระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็น ตรัสว่า “ขรัวโตเขารู้แล้ว ๆ ๆ “

    เรื่องของเรื่องก็คือท่านวิตกว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงหมกมุ่นมัวเมาในกามคุณมากเกินไป จึงทำอุบายถือไต้เข้าไปในราชวังกลางวัน ประหนึ่งว่าในพระราชฐานนั้นกำลังมืดมิดดังกลางคืน

    มีอีกหลายครั้งที่หลวงพ่อโตกล้าขัดพระราชหฤทัย คราวหนึ่งท่านได้ถวายเทศน์ในพระราชฐาน ๓ วันติดต่อกัน บังเอิญวันที่ ๒ นั้น พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะทรงสดับแต่พอสังเขป ด้วยมีพระราชกิจอย่างอื่น (นัยว่าเจ้าจอมจะมีประสูติกาล) แต่หาได้ตรัสอย่างใดไม่ ปรากฏว่าท่านถวายพระธรรมเทศนาอย่างยืดยาว ครั้นวันต่อมาพอท่านตั้งนโมเสร็จก็กล่าวสั้น ๆ ว่า “พระธรรมเทศนาหมวดใด ๆ มหาบพิตรก็ทราบหมดแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้” แล้วก็ลงธรรมาสน์ พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสถามว่าเหตุใดวันก่อนจึงถวายเทศน์มาก วันนี้กลับถวายน้อย หลวงพ่อโตถวายพระพรว่า “เมื่อวานนี้มหาบพิตรมีพระราชหฤทัยขุ่นมัว จะทำให้หายขุ่นมัวได้ด้วยทรงสดับพระธรรมเทศนาให้มาก วันนี้มีพระราชหฤทัยผ่องใส จะไม่ทรงสดับก็ได้”

    มีครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วท่านมาก เพราะท่านถวายเทศน์เกี่ยวกับเมืองกบิลพัสดุ์ว่า พี่เอาน้อง น้องเอาพี่ เอากันเรื่อยมาไม่ว่ากัน เพราะถือว่าบริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ จนถึงประเทศสยามก็เอาอย่าง เอาพี่เอาน้อง ขึ้นราชาภิเษกแล้วก็สมรสกันเป็นธรรมเนียมมา

    พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงพอพระราชหฤทัย ไล่ลงธรรมาสน์ตรัสว่า “ไป ไป ไป ไปให้พ้นพระราชอาณาจักรไม่ให้อยู่ในดินแดนของฟ้าไปให้พ้น”

    หลวงพ่อโตออกจากวังแล้วกลับวัดระฆัง เข้าไปนอนในโบสถ์ ไม่ออกมา บิณฑบาตในโบสถ์ ไม่ลงดิน

    ครั้นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถวายพระกฐินวัดระฆังพบท่านก็รับสั่งว่า “อ้าว ไล่แล้วไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักรทำไมยังขืนอยู่”

    “ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ได้อยู่ในพระราชอาณาจักร อาศัยอยู่ในพุทธจักรตั้งแต่วันมีพระราชโองการ ไม่ได้ลงดินของมหาบพิตรเลย”
    “ก็กินข้าวที่ไหน ไปถานที่ไหน”
    “ขอถวายพระพร บิณฑบาตบนโบสถ์นี้ ถานในกระโถน เทวดาเป็นคนนำไปลอยน้ำ”

    “โบสถ์นี้ไม่ใช่อาณาจักรสยามหรือ”

    “โบสถ์เป็นวิสุงคาม เป็นส่วนหนึ่งจากพระราชอาณาจักร กษัตริย์ไม่มีอำนาจขับไล่ได้ ขอถวายพระพร”

    “ขอโทษ ๆ” แล้วทรงถวายกฐิน รับสั่งใหม่ว่าให้สมเด็จโตอยู่ในสยามประเทศได้

    โบสถ์เป็นของพระพุทธเจ้าฉันใด หลวงพ่อโตก็ถือว่าท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าฉันนั้น หาใช่พระของในหลวงไม่แม้ท่านจะเป็นพระราชาคณะก็ตาม ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล้าเตือนพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไม่หวั่นเกรงภัยใด ๆ ทั้งนี้ด้วยกรุณาและปัญญาของท่านเป็นสำคัญ
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ทุนที่ไม่มีวันหมด
    หลังจากที่หลวงพ่อชา สุภทฺโท ได้ริเริ่มบุกเบิกวัดหนองป่าพงแต่พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นต้นมา วัดนี้ก็ค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นเหตุให้มีผู้คนหลั่งไหลมาจาริกบุญศึกษาธรรมที่วัดนี้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งมีความคิดว่าวัดหนองป่าพงควรมีมูลนิธิเหมือนอย่างวัดอื่นบ้างเพื่อวัดจะได้มีทุนดำเนินงานอย่างมั่นคง

    เมื่อลูกศิษย์นำความดังกล่าวไปปรึกษาหลวงพ่อ ประโยคแรกที่ท่านตอบก็คือ

    “อย่างนั้นก็ดีอยู่ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถูกต้อง” แล้วท่านก็ให้ความเห็นต่อว่า “ถ้าพวกท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วคงจะไม่อด พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่เคยมีมูลนิธิเลย ท่านก็โกนหัวปลงผมทำอะไรเหมือนพวกเรา ท่านก็ยังอยู่ได้ ท่านได้ปูทางไว้ให้แล้ว เราก็เดินตามทางก็น่าจะพอไปได้นะ”

    แล้วหลวงพ่อก็สรุปว่า

    “บาตรกับจีวรนี่แหละ มูลนิธิที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ให้ เรากินไม่หมดหรอก”

    หลวงพ่อชาเป็นอยู่อย่างมักน้อยสันโดษมาก กุฏิของท่านแทบจะโล่ง เพราะมีแต่เตียงนอนและของใช้ที่จำเป็น เช่น กระโถน ไม่มีของใช้ฟุ่มเฟือยเลย ส่วนวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่ญาติโยมนำมาถวายอยู่เสมอนั้นท่านก็ส่งต่อไปให้ลูกศิษย์ตามวัดสาขาต่าง ๆ หมด

    ท่านไม่เคยมีบัญชีเงินฝากส่วนตัว ปัจจัยหรือเงินทำบุญที่โยมถวายนั้น ท่านให้เป็นของกลางหมด “เราพอกิน พออยู่แล้ว จะมาอะไรทำไมนะ กินข้าวมือเดียว” ท่านเคยพูดให้ฟัง

    บ่อยครั้งที่โยมมาตัดพ้อต่อว่า เพราะได้ปวารณาถวายปัจจัยไว้ให้ท่านใช้ในกิจส่วนตัว แต่หลวงพ่อไม่เคยเรียกใช้สักที ท่านเคยปรารภกับลูกศิษย์ว่า “ยิ่งเขามาปวารณาแล้ว ผมยิ่งกลัว”

    คราวหนึ่งมีผู้เอารถไปถวายหลวงพ่อ รบเร้าให้หลวงพ่อรับให้ได้ โดยขับมาจอดหลังกุฏิท่าน แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้ แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อไม่เคยไปดูรถคันนั้นเลย พอออกจากกุฏิท่านจะเดินไปทางอื่น จะไปในเมือง ท่านก็ขึ้นรถคันอื่น หลังจากนั้น ๗ วัน ท่านก็เรียกโยมคนหนึ่งมาหาแล้วบอกว่า

    “ไปบอกเขาเอารถกลับคืนไปนะ เอามาถวายข้อ ย ข้อยก็รับไปแล้ว เดี๋ยวนี้ข้อยจะส่งคืน มันไม่ใช่ของพระ"

    อีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจะไปวัดถ้ำแสงเพชร ลูกศิษย์ที่มีรถส่วนตัวคันงามยี่ห้อดัง ต่างแย่งกันนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถส่วนตัวคันงามยี่ห้อดัง ต่างแย่งกันนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถของตนซึ่งจอดเรียงรายอยู่ที่ลานวัดให้ได้ หลวงพ่อกวาดตาดูสักครู่ ก็ชี้มือไปที่รถเก่าบุโรทั่งคันหนึ่งพร้อมกับพูดว่า “อ้า ไปคันนั้น” เจ้าของได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจสุดขีด รีบเปิดประตูนิมนต์ให้หลวงพ่อนั่ง

    ว่ากันว่าการเดินทางวันนั้นใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะขบวนรถคันงามความเร็วสูงต้องค่อย ๆ ขับตามหลังรถโกโรโกโสไปโดยดุษณีภาพ
    :-https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    รู้ธรรมจากความประหยัด
    มีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าท่านอาจารย์พุทธทาสมี “สมบัติชิ้นเอก” อยู่ชิ้นหนึ่ง สมบัติชิ้นนี้หาในกุฏิก็ไม่พบเพราะอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา สมบัติชิ้นที่ว่าก็คือ แหนบถอนหนวด

    แหนบดังกล่าวไม่ได้ทำด้วยวัสดุพิเศษอะไรเลย ออกจะด้อยคุณภาพด้วยซ้ำ เพราะทำจากขาปิ่นโตที่ลูกศิษย์เอามาถวาย ท่านเพียงแต่เอามาพับก็เป็นแหนบได้แล้ว หากจะมีความพิเศษก็ตรงที่เป็นของที่ท่านใช้มานานร่วม ๗๐ ปี คือตั้งแต่บวชมาได้ ๒ พรรษา แม้จบบั้นปลายชีวิตท่านก็ยังใช้แหนบดังกล่าวอยู่

    ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นพระที่ขึ้นชื่อในเรื่องความประหยัดและใช้สิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง ท่านเคยเล่าว่าหากไม่ประหยัด สวนโมกข์คงจะ “พินาศ” ไปนานแล้ว เนื่องจากตั้งอยู่ในป่า ไกลจากแหล่งชุมชนมาก สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงหาได้ยากไม่เหมือนปัจจุบัน แม้กระทั่งกระดาษชำระก็เป็นของมีค่าสำหรับสวนโมกข์ ท่านเคยเล่าว่าหากมีคนเอาวิมานมาให้ท่านหลังหนึ่งกับกระดาษชำระม้วนหนึ่ง ท่านขอเอากระดาษชำระม้วนเดียว เพราะกระดาษมีประโยชน์ ตรงกันข้ามกับวิมานซึ่งใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

    เวลาฉันอยู่ หากมีแกงหก ท่านจะดึงกระดาษชำระ (แบบม้วน) มาใช้เพียงแผ่นเดียว เมื่อเช็ดเสร็จท่านจะไม่ทิ้ง แต่วางไว้บนโต๊ะ หากมีใครจะเก็บไปทิ้งท่านจะห้ามไว้ โดยให้เหตุผลว่าปล่อยไว้สักครู่กระดาษก็จะแห้ง สามารถเอามาเช็ดใหม่ได้อีก

    กระดาษคาร์บอนที่ใช้พิมพ์สำเนาต้นฉบับ สมัยนี้ใช้ ๒ – ๓ ครั้งก็ทิ้งแล้ว แต่ท่านจะใช้พิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้คาร์บอนจะจางแล้ว หากยังพิมพ์ได้อยู่ท่านก็ยังใช้ต่อจนกว่าคาร์บอนจะจางกระทั่งอ่านไม่ออก ที่ยิ่งแย่กว่านั้นก็คือต้นฉบับพิมพ์ดีดหลายพันหน้าที่ออกจากสวนโมกข์สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น เรียกได้ว่าไม่เคยได้สัมผัสกับยางลบหมึกเลย เวลาลูกศิษย์พิมพ์ผิด ท่านจะแนะให้ใช้เข็มซ่อนปลายค่อย ๆ เขี่ยเอา การแก้ไขคำผิดด้วยวิธีนี้ ทำให้ลูกศิษย์ต้องพิมพ์ดีดอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้ผิด นับเป็นการฝึกสติอย่างดี

    ท่านอาจารย์ไม่ได้ประหยัดเฉพาะกับอุปกรณ์ที่ต้องซื้อหามาเท่านั้น กระทั่งของที่หาได้ง่าย ๆ ในสวนโมกข์ท่านก็ใช้อย่างระมัดระวัง เวลาฉันน้ำ ท่านจะเตือนให้ลูกศิษย์ใส่น้ำมาเพียงครึ่งแก้ว อย่าใส่เต็มแก้ว ท่านว่าท่านฉันครึ่งแก้วแล้วต้องทิ้งอีกครึ่งแก้ว ไม่เป็นการประหยัด เรียกว่าไม่ใช้น้ำด้วยสติปัญญา

    ทุกวันนี้เรามักได้ยินคำประกาศเชิญชวนให้ประหยัดน้ำไฟและอะไรต่ออะไรมากมาย แต่การรณรงค์ให้ประหยัดในปัจจุบันมักเกิดจากความจำเป็นบีบบังคับ เช่น เพราะว่าทรัพยากรกำลังขาดแคลน สิ่งแวดล้อมกำลังวิกฤต แต่สำหรับท่านอาจารย์พุทธทาส ความประหยัดไม่ได้เกิดจากความจำเป็นเท่านั้น หากยังเป็นคุณธรรมในตัวมันเอง นั่นหมายความว่าแม้สิ่งของจะมีมาก ก็ไม่ควรใช้อย่างฟุ่มเฟือย การใช้อย่างประหยัดนอกจากจะเป็นการฝึกให้มีสติ ใช้สิ่งของอย่างระมัดระวังและละเอียดลออแล้ว ยังทำให้พึ่งพิงวัตถุน้อยลง และเอื้อให้ชีวิตเป็นอิสระและโปร่งเบามากขึ้น
    ท่านเคยเล่าว่าธรรมะเป็นของละเอียด ดังนั้นคนที่จะรู้ธรรมะได้ จึงต้องเป็นคนละเอียดลออ ความละเอียดลออนี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งก็มาจากการใช้สิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เผชิญเสือโคร่ง
    พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต วิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคปัจจุบัน พระอาจารย์ชอบเป็นผู้ฝักใฝ่ในการเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน และนิยมบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในป่าเขามาโดยตลอด เมื่อ ๔๐ – ๕๐ ปีก่อน ป่าดงพงไพรปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ สิงสาราสัตว์จึงมีอยู่อย่างชุกชุม พระอาจารย์ชอบจึงมักพานพบสัตว์ป่านานาชนิดอยู่ไม่ขาด

    มีคราวหนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงค์ในประเทศพม่า ขณะนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำราว ๕ โมงเย็นก็เห็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนตัวหนึ่งเดินมาหน้าถ้ำ แม้ท่าทางดูน่ากลัว แตาเมื่อมันมองเข้ามาในถ้ำสบตาท่าน แทนที่จะแสดงอาการกลัวหรือคำรามตามวิสัยสัตว์ป่า กลับมีอาการเฉย ๆ เมื่อขึ้นมาถึงถ้ำแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหินด้านทางขึ้นถ้ำสูงประมาณ ๑ เมตร ห่างจากท่านประมาณ ๖ เมตร แล้วก็นั่งเลียแข้งเลียขาโดยหาได้สนใจท่านแต่อย่างใดไม่ ท่านว่ามันนั่งราวกับสุนัขบ้าน พอเลียแข้งเลียขาเหนื่อยก็นอนหมอบแบบสุนัขอีก แล้วก็เลียขาแล้วลำตัวต่อโดยไม่สนใจอะไร

    แม้ท่าทีของมันจะไม่ดุร้าย แต่ท่านก็ไม่วางใจ จึงงดออกไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำเหมือนอย่างเคย ในใจรู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย แต่ก็นั่งภาวนาต่อไปตามปกติ เสือโคร่งนาน ๆ ก็หันมามองดูท่านสักครั้งหนึ่ง เป็นการมองอย่างธรรมดา ๆ คล้ายกับมิตร แม้มันเลียแข้งเลียขาเสร็จนานแล้ว แต่ก็ไม่ไปไหนต่อ จนมืดแล้วท่านจึงเข้าไปในกลด ตกดึกท่านจะเข้านอนมันก็ยังอยู่ที่เดิม

    ท่านตื่นนอนราวตี ๓ มองไปที่หน้าถ้ำก็ยังเห็นมันนอนอยู่ท่าเก่าจวบจนรุ่งเช้า ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่าท่านจะไปบิณฑบาตได้อย่างไรในเมื่อมันนอนอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านตัดสินใจว่าจะต้องออกไป แม้ว่าทางที่จะเดินห่างตัวมันราว ๑ เมตรเศษ ๆ เท่านั้น

    เมื่อท่านครองผ้าสะพายบาตรเสร็จก็ดำรงสติมั่น เจริญเมตตาแล้วพูดกับมันว่า “นี่ถึงเวลาออกบิณฑบาตแล้ว เราก็มีท้องมีปากมีความหิวกระหายเหมือนสัตว์โลกทั่วไปเราจะขอทางไปบิณฑบาตมาฉันหน่อยนะ จงให้ทางเราบ้าง ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ หรือจะไปเพื่อหาอยู่หากินที่ไหนก็ตามใจสะดวก เราไม่ว่า”

    ท่านว่า มันนอนฟังท่านเหมือนสุนักนอนฟังเจ้าของพูด พอพูดจบท่านก็เดินผ่านหน้ามัน ส่วนมันก็นอนสบายปล่อยให้ท่านเดินผ่านออกไป พลางชำเลืองดูด้วยสายตาอ่อน ๆ
    เมื่อท่านบิณฑบาตกลับมา ก็ไม่พบมันแล้ว นับแต่วันนั้นก็ไม่พบมันอีกเลย
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2024
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    มีแต่ไม่เอา
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพธรรมคนสำคัญที่สุดของจังหวัดสุรินทร์ จวบจนมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ด้วยอายุ ๙๖ ปี เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ วัดบูรพารามในอำเภอเมือง เป็นจุดหมายปลายทางของผู้ใฝ่ธรรมทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
    หลวงปู่ดูลย์ หรือพระราชวุฒาจารย์ เป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และเป็นสหายธรรมของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพนับถือของพระกรรมฐานรุ่นหลัง ๆ เป็นอย่างมาก

    แม้จะมีประสบการณ์โชกโชนในฐานะพระป่าเชี่ยวชาญในกรรมฐานทั้งฝ่ายสมถะและวิปัสสนา แต่ท่านไม่เคยอ้างตนเป็น “ผู้วิเศษ” เวลามีใครมาชวนคุยเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ และสิ่งอาถรรพ์ลี้ลับ ท่านจะตัดบทหรือไม่สนใจเอาเลย แม้จะมีใครมาขอให้ท่านช่วยกำหนดฤกษ์ยาม เช่น หาวันดีที่จะบวช หรือหาฤกษ์จัดงานมงคล ท่านมักบอกว่า “วันไหนก็ได้ วันไหนก็ดี”

    อย่างไรก็ตาม ท่านยอมรับว่าวัตถุมงคลยังมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคนบางจำพวก ดังท่านเคยกล่าวว่า “สำหรับผู้มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏสงสาร ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอก เช่น วัตถุมงคลเช่นนี้เป็นที่พึ่งไปก่อน” แต่ท่านก็เตือนว่าวัตถุมงคลนั้น “ไม่มีอะไร เป็นเพียงช่วยด้านกำลังใจเท่านั้น”

    คราวหนึ่งมีคนเอาเครื่องรางของขลังออกมาอวดกันเองต่อหน้าท่าน คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน อีกคนมีนอแรด ต่างอวดว่าของตนวิเศษ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีคนหนึ่งถามท่านว่า อย่างไหนวิเศษกว่ากัน

    ท่านตอบว่า “ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน”

    นอกจากจะไม่แสดงตัวเป็นผู้วิเศษแล้ว ท่านยังไม่อวดอ้างว่าเป็นพระอริยะ แม้จะมีคนจำนวนมากที่เชื่อเช่นนั้น แต่ถึงจะซักไซ้ไล่เลียงถามถึงคุณวิเศษของท่านเพียงใด ท่านก็ไม่เคยอวดตน

    เคยมีคนถามหลวงปู่สั้น ๆ ว่า ท่านยังมีความโกรธอยู่ไหม

    แทนที่ท่านจะตอบว่า หมดโกรธ หมดโลภ หมดหลงแล้ว ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “มี แต่ไม่เอา”
    เสียงเกี๊ยะ
    ธรรมะนั้นไม่จำเป็นต้องสอนด้วยการเทศน์เสมอไป หากมองให้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างก็สอนธรรมแก่เราตลอดเวลา แต่บางครั้งก็ต้องมีผู้รู้มากระตุ้นให้ฉุกคิด

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้รับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมในกรุงเทพฯ เมื่อฉันเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านเห็นหลวงปู่เดินทางมาเหนื่อย จึงขอให้ท่านเอนกายพักผ่อนก่อนเดินทางกลับวัดที่จังหวัดสิงห์บุรี
    ระหว่างนั้นข้างห้องซึ่งเป็นร้านขายของ มีคนเดินลากเกี๊ยะกระทบพื้นบันไดเสียงดัง ศิษย์คนหนึ่งรู้สึกรำคาญเสียงเกี๊ยะ บ่นขึ้นมาดัง ๆ ว่า “แหม เดินเสียงดังเชียว”

    หลวงปู่ซึ่งนอนหลับตาอยู่จึงพูดเตือนว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”

    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับชาวพุทธ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจจากสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ข่าวนั้นก็คือ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งในสหรัฐอเมริกาได้บทสรุปตรงกันอย่างมิได้นัดหมายว่า ชาวพุทธมีความสุขและความสงบใจมากกว่าคนกลุ่มอื่น ข้อสรุปดังกล่าวมิได้มาจากการทำแบบสอบถามอย่างที่มักนิยมทำกันในเวลานี้ แต่เกิดจากการตรวจสอบหรือวัดการทำงานของสมอง นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหมู่คนถือพุทธนั้น สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกที่ดี ๆ จะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากกว่าสมองของคนกลุ่มอื่น ซึ่งก็หมายความว่าความสุขและความรู้สึกนึกคิดในทางบวกจะเกิดขึ้นกับคนถือพุทธมากกว่า นอกจากนั้นเขายังพบอีกว่า ชาวพุทธมีแนวโน้มจะตื่นตระหนก ตกใจ หรือโกรธน้อยกว่าคนกลุ่มอื่น

    ฟังแล้วคนไทยอย่าเพิ่งปลื้ม เพราะชาวพุทธที่เขานำมาตรวจวัดสมองนี้เป็นชาวพุทธในอเมริกา และเป็นผู้ที่ชอบทำสมาธิภาวนา บทสรุปจริง ๆ ของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งนี้ก็คือ สมาธิภาวนานั้นช่วยให้ใจสงบ ระงับความโกรธ และควบคุมความกลัวได้ อานิสงส์ดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาทำสมาธิเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นต่อเนื่องแม้จะเลิกทำสมาธิแล้ว

    ข้อสรุปย่อหน้าหลังนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ คนไทยหรืออย่างน้อยผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมเขารู้มานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่านี้จะเป็นครั้งแรก ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างสมาธิภาวนากับการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก แถมยังไปไกลถึงขั้นสรุปว่าชาวพุทธมีความสุขและใจสงบยิ่งกว่าคนกลุ่มอื่น

    ถ้าถือว่านั่นเป็นข่าวดี ข่าวร้ายก็คือเมื่อ ๒-๓ เดือนก่อน มีข่าวเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งแพร่ไปทั่วโลก ข่าวนี้ให้ความรู้สึกตรงข้ามกับข่าวแรก และโยงมาถึงเมืองไทยโดยตรง นั่นคือข่าวที่ว่าพระสงฆ์ไทยเป็นโรคจิตกันมากขึ้น ที่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสงฆ์ผู้หนึ่งเปิดเผยว่า มีพระสงฆ์ไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคจิต โรคซึมเศร้า โรคเครียดและวิตกกังวล

    คงไม่มีข่าวใดที่จะตัดกันมากเท่านี้อีกแล้ว ในดินแดนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศบริโภคนิยมสุด ๆ ชาวพุทธที่นั่น (ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยเป็นฆราวาส) เป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าใคร ๆ ขณะที่ในประเทศซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเมืองพุทธ พระสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบ กลับมีความเครียดและปัญหาจิตใจกันมากขึ้น แม้จะไม่มีการทำสถิติพระสงฆ์ไทยที่มีปัญหาทางจิต แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระสงฆ์ไทยเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย ก็เป็นตัวชี้วัดระดับความเครียดของพระสงฆ์ไทยได้ไม่น้อย

    อ่านข่าวทั้งสองแล้ว คงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับวงการพระสงฆ์ไทย? วิถีบรรพชิตน่าจะเป็นวิถีแห่งความสงบ แต่เหตุใดพระสงฆ์ไทยจึงมีปัญหาทางจิตใจกันมากขึ้น? คุณหมอแห่งโรงพยาบาลสงฆ์ตั้งข้อสังเกตว่า การเมืองในวัดและความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์ที่แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ หรือตามภูมิลำเนา เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง

    ข้อสังเกตนี้สามารถโยงไปถึงปัญหาการปกครองสงฆ์ ไม่เฉพาะในระดับวัดเท่านั้น หากสัมพันธ์ไปถึงระดับประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปกครองสงฆ์ทุกวันนี้มิได้ใช้อำนาจเป็นหลัก เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ไม่ว่าระดับใดก็ตาม วิธีที่นิยมใช้กันก็คือการออกกฎหรือคำสั่ง( ดังกฎมหาเถรสมาคมฉบับล่าสุด ซึ่งว่ากันว่ามีขึ้นเพื่อห้ามพระเที่ยวห้างหรือใช้โทรศัพท์มือถือ) แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับปัญหาที่ว่าการใช้อำนาจนับวันจะอิงคุณธรรมน้อยลงเรื่อย ๆ กลายเป็นการใช้อำนาจแบบอัตตาธิปไตย คือเอาความเห็นหรือผลประโยชน์ของผู้ปกครองเป็นหลัก

    ผลประโยชน์และเส้นสายได้มามีอิทธิพลต่อการปกครองสงฆ์ยิ่งกว่าหลักคุณธรรม ทำให้วงการสงฆ์เต็มไปด้วยการแก่งแย่งผลประโยชน์ (ตั้งแต่เงินค่าสวด ไปจนถึงรายได้จากการขายวัตถุมงคลและเงินก่อสร้างโบสถ์) ยิ่งผลประโยชน์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับสมณศักดิ์และตำแหน่งปกครองด้วยแล้ว วัดและคณะสงฆ์จึงกลายเป็นวงการที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและขับเคี่ยวในทางสมณศักดิ์และตำแหน่งปกครอง ไม่เว้นแม้แต่ระดับเจ้าอาวาส

    การปรับปรุงการปกครองสงฆ์เพื่อให้คุณธรรมมาเป็นหลักยิ่งกว่าผลประโยชน์ เป็นเรื่องสำคัญ การทำให้คณะสงฆ์รวมศูนย์อำนาจน้อยลง กระจายอำนาจมากขึ้น และปกครองในรูปกลุ่มบุคคลแทนที่จะอิงตัวบุคคล เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดระบบเส้นสาย และทำให้การปกครองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประการต่อมาคือทำให้คณะสงฆ์มีความโปร่งใสมากขึ้นทั้งในด้านการบริหารและการเงิน ตั้งแต่ระดับวัดขึ้นไป

    แต่ทำแค่นั้นหาพอไม่ สิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้คือการปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ การละเลยสมาธิภาวนา เน้นแต่ด้านปริยัติ เป็นจุดอ่อนสำคัญของการศึกษาสงฆ์ตลอด ๘๐ ปีที่ผ่านมา การที่สมาธิภาวนาขาดหายไปจากชีวิตของพระสงฆ์ ทำให้ท่านขาดความสุขประณีตที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิตพรหมจรรย์ และดังนั้นจึงเข้าหาความสุขทางวัตถุมากขึ้น หมกมุ่นในลาภสักการะ และถลำสู่วังวนแห่งการแก่งแย่งผลประโยชน์ รวมถึงการวิ่งเต้นในทางสมณศักดิ์ จนไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของญาติโยม

    การศึกษาที่เน้นปริยัติ หากสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดและสามารถนำธรรมะมาใช้กับชีวิตและสังคมได้ ก็ยังไม่นับว่าสูญเปล่า เพราะผู้เรียนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง แต่การศึกษาของสงฆ์ในปัจจุบันเป็นปริยัติศึกษาแบบท่องจำล้วน ๆ แถมเนื้อหายังล้าสมัย ห่างไกลจากชีวิตและสังคมสมัยใหม่ จึงไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่รู้ เรียนอย่างแกน ๆ เพียงเพื่อให้จบ การศึกษาแบบนี้สร้างความทุกข์แก่พระเณรเป็นอันมากจนเป็นโรคเครียดกันมิใช่น้อย

    การศึกษาและการปกครองอย่างที่เป็นอยู่นี้แหละที่ทำให้พระสงฆ์ไทยทั้งหนุ่มและชราเป็นโรคเครียดกันมาก จนนำไปสู่ปัญหามากมาย รวมถึงการหาทางออกที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การหมกมุ่นกับความบันเทิงเริงรมย์จากโทรทัศน์และวีซีดี ทั้งโป๊และไม่โป๊ การเข้าหาอบายมุข การสะสมลาภสักการะ และการแย่งชิงอำนาจกัน มิพักต้องพูดถึงเรื่องอื้อฉาวต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน
    :- https://visalo.org/article/budKawdee.htm
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    คืนดีรับปีใหม่
    พระไพศาล วิสาโล
    โทรศัพท์มือถือกำลังกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของคนยุคนี้ไปแล้ว แต่คงไม่มีใครใช้อวัยวะส่วนนี้อย่างสมบุกสมบันเท่ากับหนุ่มเดนมาร์กผู้หนึ่ง ข่าวว่าชายผู้นี้ส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือวันละ ๒๑๗ ชิ้นโดยเฉลี่ย นั่นหมายความว่าเขาใช้โทรศัพท์มือถือทุก ๔-๕ นาทีตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่ รายงานข่าวไม่ได้กล่าวว่าชายผู้นี้ใช้โทรศัพท์เฉลี่ยกี่ครั้งขณะที่กำลังกินข้าวหรือระหว่างปลดทุกข์อยู่ในห้องน้ำ

    แต่ที่แน่ ๆ ก็คือชายผู้นี้สร้างสถิติดังกล่าวขณะกำลังรักษาตัวที่คลินิกแห่งหนึ่งเพื่อรักษาโรคติดการพนันและเสพติดอินเตอร์เน็ต

    ฟังข่าวนี้แล้วก็”ฟันธง”ได้เลยว่าชายผู้นี้ไม่ปกติแน่นอน เราอาจเดาต่อไปได้ด้วยว่าสาเหตุที่เขาใช้โทรศัพท์อย่างบ้าระห่ำก็เพื่อเป็นการทดเทิดที่ไม่ได้เล่นการพนันหรือใช้อินเตอร์เน็ตอย่างแต่ก่อน

    อย่างไรก็ตามถ้ามองให้ดีก็จะพบว่าพฤติกรรมของชายผู้นี้สะท้อนอะไรบางอย่างของคนสมัยนี้ด้วยไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่ว่าคนจำนวนไม่น้อยเวลานี้กำลังมีอาการเสพติดโทรศัพท์ (ไม่ว่าแบบมือถือหรือปกติ) ถ้าวันไหนไม่มีโทรศัพท์อยู่ใกล้ตัว จะรู้สึกกระสับกระส่าย หรือถึงกับ”ลงแดง”หากไม่ได้พูดโทรศัพท์กับใครเลยตลอดวัน ไม่ต้องดูอื่นไกล ผู้ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตอาการลูกชายลูกสาวของตนดู หรือบางทีเราอาจมีอาการดังกล่าวอยู่บ้างแล้วก็ได้

    แต่ถึงแม้จะไม่เสพติดโทรศัพท์ ก็อย่าเพ่อตายใจ นั่นอาจเป็นเพราะเราติดอย่างอื่นแทนอยู่แล้วก็ได้ (เช่น โทรทัศน์ วีดีโอเกม ) หนุ่มเดนมาร์กที่ว่าหากยังมีโอกาสเล่นการพนันหรือท่องอินเตอร์เน็ตตามกิจวัตรเดิม ก็คงไม่หันไปใช้โทรศัพท์มือถืออย่างน่ากลัวถึงขนาดนั้น

    มีเหตุผลมากมายที่ทำให้ผู้คนสมัยนี้เสพติดอะไรต่ออะไรไปคนละแบบ ถ้าจะจาระไน คงต้องอาศัยผู้รู้หลายสาขา แต่สาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผู้คนสมัยนี้ทนอยู่กับตัวเองไม่ค่อยได้ ถ้าให้อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ คนเดียว ไม่นานจะรู้สึกระสับกระส่ายขึ้นมา ต้องเหลียวซ้ายแลขวาคว้าอะไรมาใส่ปาก หาไม่ก็เปิดโทรทัศน์ ฟังเพลง พูดโทรศัพท์ หรือง่วนกับอะไรก็ได้ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่กับตัวเอง

    ถ้าถามว่าส่วนไหนของเราที่เราทนได้ยากที่สุด คำตอบคงไม่ใช่รูปร่างหน้าตา ยิ่งถ้าเป็นสาวสวยหนุ่มหล่อด้วยแล้ว กลับอยากจะพิศดูสารรูปของตนนาน ๆ ด้วยซ้ำ (แต่เดี๋ยวนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยแล้วที่เป็นทุกข์เพราะรู้สึกว่ายังมีเสน่ห์ไม่พอ ถึงกับอดอาหารจนผอมแห้ง หาไม่ก็พาตนไปเป็นเหยื่อของคลินิกศัลยกรรม) ว่าไปแล้ว สิ่งที่เราทนได้ยากจริง ๆ ก็คือความคิดของเรานั่นเอง เราทนอยู่เฉย ๆ คนเดียวไม่ได้นานก็เพราะเรากลัวความฟุ้งซ่านของตัวเอง เมื่อใดที่อยู่นิ่ง ๆ คนเดียว ความคิดของเรานี่แหละที่จะคว้าอะไรต่ออะไรมาประดังประเดใส่หัวเราจนวุ่นวายไปหมด หาไม่ก็พาเราไปจมปลักอยู่กับเรื่องที่ชวนให้วิตกกังวล ทุกข์โศก คับแค้นใจ ทั้ง ๆ ที่ผ่านไปแล้ว หรือบ่อยครั้งก็ยังไม่ทันเกิดขึ้น แต่ปรุงแต่งไปล่วงหน้าเสียก่อน

    ความคิดของเราเองนี้แหละที่คอยหาเรื่องมารังควานตัวเราเอง สรรหาความทุกข์มาทิ่มแทงตัวเอง เอาความโกรธ เกลียด มาเผาลนจิตใจเราเองไม่หยุดหย่อน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ น่าแปลกก็คือ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นความคิด ”ของเรา” แต่เรากลับคุมมันแทบไม่ได้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อีก ๑ นาทีต่อจากนี้ มันจะคิดอะไร นอกจากมันจะไม่อยู่ในโอวาทของเราแล้ว บ่อยครั้งมันกลับทะเลาะเบาะแว้งกับเรา สร้างความสับสนขัดแย้งภายในใจเรา เราทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ก็เพราะเรากลัวว่ามันจะอาละวาดใส่เรา เพราะเหตุนี้เราจึงต้องหาอะไรมาเสพมาบริโภค ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ใจเรา”วุ่น” จะได้ไม่มีช่องให้มันมารบกวนเราได้ หาไม่ก็ต้องหาอะไรมาปรนเปรอมัน สุดแท้แต่มันจะชอบอะไร มันจะได้มาวุ่นวายกับเรา

    ทั้งหมดที่พูดมาดูราวกับว่าความคิดของเราช่างแย่เหลือเกิน ที่จริงความคิดของเราไม่ได้มีนิสัยเป็นอันธพาลเลย เขาน่าจะเป็นมิตรที่ประเสริฐของเราด้วยซ้ำ แต่อะไรทำให้เขาทำตัวเกเรอย่างนั้น ทารกทุกคนน่ารักทั้งนั้น แต่เหตุใดบางคนพอโตขึ้นกลับมีนิสัยก้าวร้าว หยาบกระด้าง เอาแต่ใจตัว ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ถูกต้อง เอาแต่ทำมาหากินจนไม่มีเวลาใส่ใจลูก ฉันใดก็ฉันนั้น ความคิดหรือจิตของเราทำตัวเกเรจนเราไม่อยากอยู่ด้วย ก็เพราะเราละเลยทอดทิ้งเขานั่นเอง เราทำอะไรต่ออะไรมากมาย แต่แทบไม่มีเวลาให้กับจิตใจของเราเลย แม้เราจะเลี้ยงดูบ่มเพาะความคิดให้เติบใหญ่ มีกำลังและความรู้มากมาย แต่กลับไม่อบรมให้ถูกต้อง ผลจึงไม่ต่างจากพ่อแม่ที่ได้แต่สรรหาของดีของแพงมาให้ลูกกิน แต่ไม่ใส่ใจที่จะสั่งสอนลูก ลูกจึงโตแต่กาย หากจิตใจกลับอ่อนแอปวกเปียก
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ความคิดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรา ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยได้ทำให้ความคิดจิตใจกลายเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง ดังนั้นจึงเท่ากับทำให้ตัวเองเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง ผลก็คือเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายจนหาความสงบไม่ได้ อยู่ว่าง ๆ คนเดียวเมื่อไร สงครามเป็นต้องเกิดขึ้นภายในใจ ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงชอบหนีตัวเอง คอยทำตัวไม่ให้ว่าง ถ้าไม่ทำงานซก ๆ ก็ดูโทรทัศน์เป็นชั่วโมง เที่ยวเตร่จนดึกดื่น คุยโทรศัพท์หรือสนทนาอินเตอร์เน็ตจนสายแทบจะไหม้ หนักกว่านั้นก็เข้าหายาเสพติดไปเลย วิธีเหล่านี้ยังให้ผลพลอยได้ประการหนึ่งคือ เป็นโอกาสที่จะหนีคนรอบข้างด้วย ทั้งนี้เพราะนับวันเราไม่เพียงแต่หมางเมินกับตัวเองเท่านั้น หากยังแปลกแยกกับคนรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่พี่น้องหรือคู่ครอง สงครามจึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ภายในใจเท่านั้น หากยังมักเกิดขึ้นในความสัมพันธ์กับผู้อื่นรอบตัวด้วย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนต้องหาทางออกด้วยการไปหมกมุ่นกับสิ่งอื่นแทน

    แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่มีวันที่จะหนีตัวเองได้ และไม่ว่าจะแสวงหาเท่าไร ก็ไม่มีวันพบใครที่จะเป็นมิตรอันประเสริฐไปกว่าตัวเองได้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะหันกลับมาเผชิญหน้าและผูกมิตรกับตัวเองสียที นี้เป็นวิธีเดียวที่จะสงบศึกภายในใจได้

    เรามาสงบศึกและสร้างสันติภายในใจเราด้วยการหันมาให้เวลากับชีวิตด้านในของตนเองดีไหม ความคิดจิตใจของเราถูกอัดแน่นด้วยข้อมูลข่าวสารมามากจนเต็มอิ่มแล้ว แต่กลับหิวโหยความสงบสุขและการผ่อนพัก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการแสวงหาความสงบสุขมาหล่อเลี้ยงจิตใจของเรา ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ความคิดของเราได้พักผ่อนบ้าง การจัดสรรโอกาสเพื่อให้ความคิดจิตใจได้สงบนิ่งอย่างน้อย๑๐ นาทีต่อวันเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของการทำสัญญาสงบศึกกับตัวเอง และถ้าต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน เราต้องเต็มใจที่จะอุทิศเวลาและความเพียรให้มากขึ้นกว่านี้

    สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับสันติภาพที่แท้จริงก็คือเมตตาหรือความรัก นอกจากเวลาและความสงบแล้ว เราควรให้ความรักแก่ตนเองมาก ๆ ด้วย อย่ารังเกียจตนเองถึงแม้หน้าตาจะไม่สะสวย หุ่นไม่ผอมบาง หรือฉลาดสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือรู้จักแผ่เมตตาให้ตนเองเมื่อประสบกับเรื่องที่ไม่น่าพึงพอใจ แทนที่เราจะทำร้ายตัวเองด้วยการเอาความโกรธเกลียดมาเผาลนจิตใจ หรือเติมฟืนไฟให้มันพลุ่งพล่านรุนแรงขึ้น ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะสงสารตัวเอง และนำเมตตาธรรมมาชโลมใจแทน

    แม้จะแผ่เมตตาให้แก่คนที่เบียดเบียนเราไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าที่จะแผ่เมตตาให้แก่ตัวเองว่า ขอให้สงบเย็นเป็นสุขเถิด เพียงถูกเขากระทำแค่นี้เราก็ทุกข์พอแล้ว นี่เราจะมาซ้ำเติมตัวเองอีกหรือ ยิ่งเราโกรธเกลียดเขามากเท่าไร เราเองก็จะเป็นฝ่ายทุกข์มากเท่านั้น ใช่ว่าเขาจะทุกข์ร้อนไปด้วยก็หาไม่ ยิ่งเรารักตัวเอง เมตตาตัวเองมากเพียงใด ยิ่งจำต้องดับไฟแห่งความโกรธเกลียดให้เร็วเพียงนั้น ทั้งนี้ด้วยการถอนจิตออกไปจากเรื่องนั้น หรือเอาความคิดไปจดจ่อกับเรื่องอื่นที่สบายใจกว่าแทน และหากเรามีเมตตามากพอ ก็ควรแผ่ไปให้แก่ผู้ที่กระทบใจเราด้วย อย่างน้อยผลดีก็จะเกิดขึ้นแก่เราเองคือทำให้ใจเราสงบเย็นขึ้น ถ้าจะเมตตาตัวเองให้เป็น เราต้องรู้จักเมตตาผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็น”ศัตรู”ของเราด้วย

    สิ่งประเสริฐสุดอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ในชีวิตนี้ก็คือ การมอบความเป็นมิตรให้แก่ตนเอง นานมาแล้วที่เราเหินห่างหมางเมินกับตนเอง จนบางครั้งถึงกับเป็นปฏิปักษ์กัน ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่เราจะหันมาเป็นมิตรกับตนเอง เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับตนเองอย่างสงบสันติเสียที
    ปีใหม่นี้เป็นโอกาสดีที่เราจะเริ่มต้นคืนดีกับตัวเอง ปีแล้วปีเล่าที่เราให้ของขวัญใครต่อใครมากมาย ไยปีนี้ไม่ลองมอบมิตรภาพให้แก่ตัวเองบ้าง แล้วอย่าลืมหันไปคืนดีกับคนรอบข้างด้วยล่ะ

    ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้เราและคนรอบข้างมีความสุขเท่ากับของขวัญวิเศษอย่างนี้
    :- https://visalo.org/article/sukjai254311.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ยาสามัญประจำใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    ในบรรดาผู้เคราะห์ร้ายจากสงครามเวียดนาม คงไม่มีใครที่ทั่วโลกรู้จักมากเท่ากับ คิม ฟุค ภาพเด็กหญิงวัย ๙ ขวบร่างกายบอบบางและเปลือยเปล่า วิ่งร่ำไห้อยู่กลางถนนพร้อมกับเด็กอีก ๔ คน โดยมีทหารและม่านควันดำทมึนเป็นฉากหลัง ได้ประทับแน่นอยู่ในใจของผู้คนทั่วโลก ภาพนี้ภาพเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะบอกเราว่าสงครามนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เด็ก ๆ และประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง

    คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้นซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง ๖๕ เปอร์เซ็นต์ เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง ๑๔ เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้งกว่าจะหายเป็นปกติ เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก ๒ คนซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว


    นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๑๕ เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ๓ ปีต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย แต่แล้ววันหนึ่งในปี ๒๕๓๙ คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกันซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตันดีซี

    การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเขารู้ว่าสงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ

    พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า “ฉันอยากบอกเขาว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

    เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ”

    คิมเข้าไปโอบกอบเขาแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย”
    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัยโดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง “ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้” เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า “หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด”

    เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไรเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา คิม ฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า “ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น”

    บทเรียนของคิม ฟุค คือในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้ บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ “การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย”

     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    การให้อภัยมิได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เจ็บปวด แต่หมายถึงการไม่ยอมให้เหตุ การณ์เหล่านั้นมาทำร้ายเรา ผู้ที่รู้จักให้อภัยคือผู้ที่ยังจดจำอดีตอันไม่น่าพิสมัยได้ แต่แทนที่จะปล่อยให้อดีตนั้นมากระทำย่ำยี กลับเอาชนะมันได้และสามารถนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น เอามาเป็นบทเรียนเพื่อจะไม่ทำความผิดพลาดอีก และที่สำคัญคือเป็นเครื่องเตือนใจว่าความโกรธเกลียดนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเราอย่างไรบ้าง

    เมื่อเราโกรธใคร อยากทำร้ายใครนั้น คนแรกที่ถูกทำร้ายคือตัวเรานั่นเอง ไม่ใช่แค่จิตใจเท่านั้นที่เร่าร้อนเหมือนถูกไฟสุม แม้แต่ร่างกายก็ยังได้รับผลกระทบด้วย มีบางคนที่มีอาการปวดท้องและปวดศีรษะเรื้อรัง อีกทั้งยังมีความดันโลหิตสูง หมอพยายามตรวจร่างกายแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หมอจึงขอให้เธอเล่าเรื่องราวในชีวิตของเธอให้ฟัง เธอเล่าว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับพี่สาวซึ่งทอดทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาตามลำพังอยู่หลายปี หมอจึงสันนิษฐานว่าความเจ็บป่วยของเธอมีสาเหตุมาจากความบาดหมางดังกล่าว จึงแนะให้เธอยกโทษแก่พี่สาว หลายปีต่อมาหมอได้รับจดหมายจากคนไข้รายนี้ว่าเธอคืนดีกับพี่สาวแล้ว และอาการเจ็บป่วยก็ไม่มารังควานอีกเลย

    มีอีกรายที่เจ็บป่วยโดยหมอไม่พบความผิดปกติในร่างกาย เธอมีอาการคลื่นไส้และระบบย่อยอาหารผิดปกติจนน้ำหนักลดไป ๑๕ กก. วันหนึ่งอาการได้กำเริบขึ้นเมื่อเธอได้รับจดหมายจากลูกพี่ลูกน้อง เธอเฉลียวใจในตอนนั้นเองว่าความเจ็บป่วยของเธอมีสาเหตุมาจากความโกรธเกลียด เธอทั้งโกรธและเกลียดลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเพราะแอบไปมีความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มของเธอ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเขียนจดหมายมาขอโทษเธอ เธอครุ่นคิดอยู่นาน และในที่สุดก็เขียนจดหมายตอบไปว่า “ฉันยกโทษให้เธอ” หลังจากนั้นสุขภาพเธอก็ดีขึ้นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

    การให้อภัยเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตด้วยจิตใจที่โกรธแค้นพยาบาทกลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่า คนที่มีความโกรธเกลียดอัดแน่นเต็มหัวใจย่อมไม่อาจพบความสุขและความเบิกบานใจได้ คนเช่นนี้ย่อมยากที่จะมีศรัทธาและกำลังใจในการมีชีวิต ด้วยเหตุนี้เราจึงควรเรียนรู้ที่จะปลดเปลื้องความโกรธเกลียดไปจากจิตใจ ด้วยการรู้จักให้อภัยและหมั่นแผ่เมตตาไปให้แก่คนที่ทำความเจ็บปวดให้แก่เรา

    ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนึกถึงบุคคลดังกล่าวโดยที่จิตใจไม่พลุ่งพล่าน แต่เมื่อใดที่ใจเราสงบลองนึกถึงเขาอยู่เป็นระยะ ๆ นึกถึงแต่ละครั้งก็ยิ้มให้เขา แผ่ความปรารถนาดีให้เขา เราจะพบว่าเรายิ้มให้เขาได้ง่ายขึ้น และจิตใจกระเพื่อมน้อยลง ไม่นานเราก็จะให้อภัยเขาได้และมีความปรารถนาดีต่อเขาด้วยใจจริง

    ถึงตอนนั้นเราจะพบว่าสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานนั้นมิใช่อะไรอื่น หากได้แก่ความโกรธเกลียดที่เคยอยู่ในใจเรานั้นเอง ความเจ็บปวดที่เกิดเพราะคนบางคนนั้นแท้จริงได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ที่ยังคงอยู่ก็เพราะใจเรานั้นเองที่ไปรื้อฟื้นและทนุถนอมมันเอาไว้ด้วยความจงเกลียดจงชังหมายมั่นจะแก้แค้น ตัวเขาอาจอยู่ไกลแสนไกล แต่เราเองต่างหากที่ไปดึงเขามาไว้กลางใจเราอยู่ทุกโมงยาม พูดให้ถูกต้องก็คือใจเรานั่นแหละที่สร้างปีศาจร้ายมาหลอกหลอนตัวเองอยู่ทุกขณะจิต ปีศาจที่แม้รูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่เคยประทุษร้ายเรา แต่เป็นผลผลิตจากใจของเราเอง
    การให้อภัยและการแผ่เมตตาแท้ที่จริงก็คือการสยบปีศาจร้ายมิให้มาหลอกหลอนอีกต่อไป จะเรียกว่าเป็นการเชื้อเชิญมันออกไปจากจิตใจของเราก็ได้ ด้วยการให้อภัยและการแผ่เมตตาเท่านั้น จิตใจของเราจึงจะได้รับการเยียวยาและกลับเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง

    ในโลกที่เรามิอาจหลีกพ้นความพลัดพรากสูญเสีย ความเจ็บปวด และบาดแผลในใจ การให้อภัยและการแผ่เมตตาคือยาสามัญที่ควรมีไว้ประจำใจ
    :- https://visalo.org/article/sukjai254707.htm
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อวสานของฝันร้ายและภาพหลอน
    พระไพศาล วิสาโล
    A Beautiful Mind เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองหลายรางวัลเมื่อปีที่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะผู้หนึ่งที่คิดทฤษฎีสำคัญระดับโลกตั้งแต่อายุเพียง ๒๑ ปี และทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในอีก ๕๐ ปีต่อมา

    จอห์น แนช คือชื่อของนักคณิตศาสตร์ผู้นี้ ที่ชีวิตต้องกลับพลิกผันเนื่องจากเป็นโรคจิตเภท ในภาพยนตร์เรื่องนี้อาการป่วยของเขาก็คือการเห็นภาพหลอนของคน ๓ คน คนหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องพัก อีกคนหนึ่งเป็นลูกเพื่อน คนสุดท้ายเป็นสายลับของรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งมาชวนให้เขาทำงานต่อต้านนักจารกรรมต่างชาติ สายลับคนนี้ชักนำให้เขาทำอะไรต่ออะไรมากมายที่แปลกประหลาด และสร้างความพิศวงงงงวยให้แก่ภรรยาและเพื่อน ๆ

    แนชมารู้ภายหลังว่าทั้ง ๓ คนไม่มีอยู่จริง หากเป็นภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นเองอย่างเป็นตุเป็นตะมานานหลายปี แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ ทั้ง ๓ คนก็ยังไม่ยอมหายไป หากตามมาหลอกหลอนเขาทุกหนแห่ง จนไม่เป็นอันทำอะไร แนชพยายามขับไล่ภาพหลอนทั้งสามออกไป บางครั้งถึงกับต่อสู้ปลุกปล้ำกับสายลับตนนั้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของเขาแย่ลง ใคร ๆ ก็เห็นว่าเขาบ้าแน่ที่ตะโกนโหวกเหวกและวิ่งเตะต่อยลมอยู่คนเดียว

    เขาถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้าและรักษาตัวอยู่หลายปี ออกมาแล้วก็ยังเห็นภาพหลอนทั้งสามอยู่ แต่ระยะหลังเขาเริ่มเปลี่ยนท่าที แทนที่จะขับไล่และเข้าไปพันตูกับภาพหลอนเหล่านี้ เขาเริ่มไม่ให้ความสนใจกับมัน มันจะพูดจาชักชวนวิงวอนหรือท้าทายยั่วยุอย่างไร เขาก็ทำหูทวนลม ไม่อินังขังขอบ กำลังทำอะไรอยู่ ก็ทำสิ่งนั้นต่อไป ทีนี้ได้ผล ภาพหลอนแผลงฤทธิ์น้อยลง แม้จะยังมาปรากฏตัวอยู่ แต่ทิ้งห่างนานขึ้น หลายสิบปีผ่านไป ภาพหลอนก็ยังมาโผล่ให้เห็นเป็นครั้งคราว แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว เขารู้วิธีที่จะอยู่กับมันได้อย่างสันติ

    ในชีวิตจริงของแนช เขามีอาการหูแว่ว มิได้เห็นภาพหลอนอย่างในภาพยนตร์ แต่เรื่องราวที่ถ่ายทอดในภาพยนตร์ ก็ให้แง่คิดเกี่ยวกับจิตใจของคนเรามิใช่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเป็นจิตเภทเลยก็ตาม คนปกตินั้นไม่เห็นภาพหลอนก็จริงอยู่ แต่ก็มักถูกความรู้สึกนึกคิดบางอย่างหลอกหลอนอยู่เสมอมิใช่หรือ เช่น อารมณ์โกรธ เกลียด พยาบาท หรือ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มั่นใจตนเอง บางคนเวลาจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ความล้มเหลวในอดีตก็ตามมาหลอกหลอน เสียงพร่ำย้ำเตือนว่า “ทำไม่ได้ ๆ ๆ” รบกวนจิตใจไม่รู้เลือน จะผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับใครสักคน ความกลัวว่าจะถูกปฏิเสธหรือผิดหวัง ก็ตามมารังควานจิตใจ

    ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ก็เหมือนกับภาพหลอนในภาพยนตร์เรื่องที่กล่าวมา อย่างแรกที่เหมือนกันก็คือมันเป็นสิ่งที่จิตเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง เหตุการณ์บางอย่างแม้จะเคยเกิดขึ้นจริงในอดีต แต่อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มิใช่ของจริงในปัจจุบัน เมื่อได้ที่หวนคำนึงถึงมัน ก็เท่ากับว่ามันกำลังถูกปรุงแต่งขึ้นมา

    ความเหมือนประการที่สองก็คือ ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ยิ่งขับไล่ไสสง มันยิ่งอยู่ยงคงทน ยิ่งสู้รบตบมือกับมัน มันยิ่งอาละวาด พิษสงเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งไปให้ความสนใจกับมัน มันยิ่งมีกำลัง ในภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind ภาพหลอนทั้งสามพยายามเรียกร้องความสนใจจากแนช ขณะที่ภาพหลอนของสายลับพยายามพูดจายั่วโมโห ภาพหลอนของเพื่อนกลับพูดจาวิงวอนขอความเห็นใจ เมื่อใดที่แนชหันไปใส่ใจภาพหลอน มันก็ยิ่งได้ใจและมีอำนาจเหนือจิตใจของเขามากขึ้น ซึ่งทำให้เขาต่อต้านขัดขืนมันได้น้อยลง

    ใช่หรือไม่ว่าความโกรธเกลียดก็เช่นกัน ยิ่งเราไปใส่ใจกับมัน และทำตามอำนาจของมัน เช่น มันสั่งให้ด่า ก็ด่าตามมัน เราก็ยิ่งตกเป็นทาสของมัน กลายเป็นคนโกรธเกลียดง่ายขึ้น ทำนองเดียวกันกับความกลัว ยิ่งขับไสมัน พยายามห้ามไม่ให้มันมา มันก็ยิ่งมาถี่ขึ้น เข้าทำนอง “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” เรื่องอะไรที่ไม่อยากคิด มันก็ยิ่งมาเร้าจิตให้คิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
    เคล็ดลับในการจัดการกับความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ก็คือ เมินเฉยมัน อย่าไปให้ความสนใจมัน มันมาปรากฏ ก็ไม่ไปขับไล่ไสสงมัน ขณะเดียวกันก็ไม่ไปทำตามมัน มันจะวิงวอนหรือยั่วยุอย่างไร ก็ทำใจวางเฉย เตือนตนด้วยมนตราคำเดียวว่า “ช่างมัน” ถือคติว่าต่างคนต่างอยู่ เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ผีสางเทวดาอยู่คนละภพภูมิกับเราฉันใด ความรู้สึกนึกคิดที่มาหลอกหลอนเราก็ฉันนั้น โลกของเขาเป็นโลกของอดีตและความปรุงแต่ง ส่วนเราอยู่ในโลกของปัจจุบันและความจริง
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ถ้าหากว่าจิตเริ่มตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว ทีนี้จะแผ่เมตตาไปให้เขาด้วย ก็ยิ่งดี แผ่ความปรารถนาดีให้ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ให้อารมณ์รุ่มร้อนเปลี่ยนเป็นอารมณ์สงบเย็น ให้ความกลัวและความน้อยเนื้อต่ำใจไปสู่ที่ชอบ ๆ อย่ามารบกวนกันอีกเลย แต่เขาจะไปหรือไม่ไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขา หน้าที่ของเราคือจดจ่ออยู่กับเรื่องราวของเรา ทำแต่ละชั่วโมงแต่ละนาทีให้ดีที่สุด

    วิธีนี้จะทำให้จิตของเรามีภูมิต้านทานมากขึ้น มีความตั้งมั่นอยู่ที่ “ตรงนี้และเดี๋ยวนี้” คืออยู่กับปัจจุบันนั่นเอง อย่างนี้แหละที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่ามี “สติ” เมื่อมีสติตั้งมั่น จิตไม่โอนเอียงหวั่นไหวไปกับอะไรง่าย ๆ ก็หมายความว่าเรามี “ไม้ตาย” ที่จะจัดการกับความรู้นึกคิดที่มาหลอกหลอน ไม้ตายนั้นก็คือการเพ่งพินิจมันด้วยจิตที่สงบและวางเฉย
    สิ่งหลอนนั้นไม่คงทนต่อการเฝ้าดู เมื่อเฝ้าดูด้วยสติ มันก็ยากที่จะคงทนอยู่ได้ เด็กสาวคนหนึ่งฝันร้ายอยู่เป็นอาจิณ ในฝันเธอชอบวิ่งหนีอสูรร้ายเข้าไปยังตึกที่มืดมิด เมื่อไปถึงประตูก็พยายามเปิดแล้วรีบปิด แต่ไม่ทันจะปิด พวกมันก็ฝ่าประตูเข้ามาหาเธอ แต่ไม่ทันที่พวกมันจะทำอะไรเธอ เธอก็ตื่นขึ้นและร้องไห้
    คราวหนึ่งเธอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง เพื่อนถามว่าอสูรร้ายพวกนี้หน้าตาเป็นอย่างไร เธอตอบว่าไม่รู้เพราะเอาแต่วิ่ง คำถามของเพื่อนทำให้เธอเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าอสูรพวกนี้เป็นแม่มดหรือเปล่า มีมีดหรือไม่ แล้วคืนหนึ่งเธอก็ฝันร้ายอีก อสูรร้ายวิ่งไล่เธอเช่นเคย ทีนี้เธอหยุดวิ่งและหันไปดูหน้าพวกมัน ใจหนึ่งก็กลัว แต่ก็รวบรวมความกล้า หันหลังชนกำแพง มองพวกมันชัด ๆ ปรากฏว่าเหล่าอสูรร้ายหยุดทันที พวกมันกระโดดขึ้นลง แต่ไม่มีตัวไหนเข้ามาใกล้ เธอพบว่ามีอสูรร้ายอยู่ ๕ ตัว แต่ละตัวรูปร่างเหมือนสัตว์ป่า เมื่อเธอเข้าไปมองมันใกล้ ๆ มันดูน่ากลัวน้อยลง และดูคล้ายภาพวาดในการ์ตูนมากกว่า แล้วก็ค่อย ๆ เลือนหายไป หลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้น แล้วไม่เคยฝันร้ายแบบนั้นอีกเลย
    ภาพวาดในการ์ตูนตามมาหลอกหลอนเธอในความฝัน หากเธอไม่เพ่งมองมันชัด ๆ เธอก็ไม่มีวันรู้ความจริง และยังคงถูกมันตามไล่ล่าอยู่ต่อไป ภาพหลอนนั้นกลัวการเฝ้ามอง เพราะวิธีนี้เท่านั้นที่ผู้มองจะค้นพบความจริงว่ามันเป็นแค่ภาพหลอน มิใช่ความจริง ไม่มีอะไรที่ภาพหลอนจะกลัวเท่ากับความจริง และความจริงจะพบได้ก็โดยการเฝ้าดูด้วยจิตที่สงบไม่หวั่นไหวเท่านั้น

    แทนที่จะหนีและถูกความรู้สึกนึกคิดร้าย ๆ ตามไล่ล่า แทนที่จะพันตูสู้รบเพื่อขับไล่ไสส่งมัน ลองฝึกใจไม่อินังขังขอบมันสักพัก แล้วหันมาเฝ้าดูมันเฉย ๆ ดูบ้าง ความจริงจะปรากฏแก่เราในที่สุดว่ามันก็แค่สิ่งหลอนที่หามีพิษสงอะไรไม่
    :- https://visalo.org/article/sukjai254603.htm



     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เปิดดูไฟล์ 6490619
    พรแห่งชีวิต : ความสุขของมนุษย์ที่แท้

    พระไพศาล วิสาโล
    คนเรา ถ้าสามารถเรียกร้องอะไรได้จากชีวิต เพียงแค่ขอให้กินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบาย เท่านี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

    พูดอย่างนี้ หลายคนคงต่อว่าในใจว่า..."อะไรกัน ขอเพียงเท่านี้เองเหรอ..." ถ้าขออะไรได้ ใครต่อใครคงขอให้ร่ำรวย เจริญด้วยยศศักดิ์ อำนาจและชื่อเสียง ได้เป็นดาราที่เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆไม่หยุดหย่อน หรือไม่ก็เป็นรัฐมนตรีมีระดับที่สูงทั้งไอคิวและไอเดีย อย่างน้อยๆก็ขอให้มีแฟนสวย เจ้าบ่าวหล่อ อะไรทำนองนั้น(และที่ลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาดก็คือขอให้ค่าเงินบาทและราคาหุ้นพุ่งกระฉูด)

    การกินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบายดูเหมือนจะเป็นสิ่งพื้น ๆ ประเภทหญ้าปากคอก ไม่มีค่าไม่มีราคา จะใช้หากินหรือเอาไปอวดใครก็ไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตก็กินง่ายถ่ายคล่องอยู่แล้ว จะไปน่าสนใจอะไร

    แต่ของที่เป็นหญ้าปากคอกนี่แหละ สำคัญนักแล ลองกลั้นลมหายใจสักนาทีดู ก็จะรู้ว่าอากาศนั้นมีความหมายเพียงใดต่อชีวิต ถึงจะเป็นเซียนหุ้นฝีมือล้ำเลิศเพียงใด ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ย่อมประจักษ์แก่ใจว่า ถ้าคืนไหนสามารถหลับได้เต็มตา ก็นับว่าโชคดีทีเดียว

    แม้ในยามเงินตราไหลสะพัด ก็ใช่ว่าการนอนหลับสนิทจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ คนเป็นอันมาก ทำงานตักตวงเงินจนเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่พบว่าสิ่งหนึ่งที่สูญเสียไปคือ ความสามารถที่จะนอนหลับสนิท ตอนเป็นเด็ก การหลับนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่พอโตขึ้น ของง่ายก็กลับเป็นเรื่องยากไป

    การนอน การกิน การถ่าย ไม่มีราคาค่างวดอะไรก็จริง แต่ก็เพราะไม่มีราคาค่างวดนี่แหละ ถึงได้เป็นปัญหาสำหรับคนยุคนี้นักธุรกิจถึงจะมีเงินร้อยล้านพันล้าน ก็ไม่สามารถเอาเงินซื้อสภาวะกินง่ายถ่ายคล่อง นอนสบายได้ ทุกวันนี้ปัญหาพื้นๆแบบนี้ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับเจ้าของเบนซ์คันหรูเท่านั้น แม้กระทั่งเจ้าอีแตีกอีต๋อยก็เจอ"โรคสมัยใหม่"แบบนี้มากขึ้นทุกที

    น่าแปลกไหมที่มนุษย์แม้จะส่งคนไปโลกพระจันทร์ แปลงเพศ เปลี่ยนยีนได้ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะโรคนอนไม่หลับได้เลย...ยานอนหลับที่วางขายกันเกลื่อนนั้น แก้ปัญหาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และที่จริงก็เพียงแต่ทำให้หลับ (ที่จริงต้องเรียกว่า "หมดสติ") แต่หาทำให้สบายไม่ ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกงัวเงีย สมองตื้อ ยังไม่ต้องพูดถึงผลข้างเคียงที่ติดตามมา แม้กระนั้น ยานอนหลับก็ยังติดอันดับขายดีทั่วประเทศ(และทั่วโลก)

    ที่จริงไม่ใช่แต่ยานอนหลับเท่านั้น ยาถ่ายก็ขายดีเช่นเดียวกัน คนสมัยนี้มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายทั้งนั้น แต่ครั้นจะพึ่งยาถ่ายทุกวี่ทุกวัน สุขภาพก็มีแต่จะแย่ลง สมัยนี้ใครที่ไม่มีปัญหาการถ่าย นับได้ว่ามีโชคอันประเสริฐ เพราะไม่เพียงแต่จะปลอดจากโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลลำไส้ใหญ่เท่านั้น หากยังมีหวังแคล้วคลาดจากโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วย
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,691
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าการหลับง่ายถ่ายคล่องนั้นซื้อหาไม่ได้และไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หมั่นออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ก็ช่วยได้มาก

    แต่การกินง่ายนี่สิ ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ใช่ว่ามีลิ้นแล้วจะกินอะไรเป็นอร่อยไปหมดก็หาไม่ การกินของง่าย ๆ พื้น ๆ แล้วยังรู้สึกอร่อยนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตใจค่อนข้างมาก ลำพังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้นเห็นจะไม่พอ แม้จะเปลี่ยนมากินผักมาก ๆ ก็ยังอยากปรุงแต่งให้อร่อย มีสีสันรูปลักษณ์น่ากิน แล้วก็ต้องเปลี่ยนเมนูบ่อย ๆ ด้วย เพราะขืนกินสูตรเดียวกันทุกวี่ทุกวันก็แย่เหมือนกัน

    ทั้ง ๆ ที่การกินง่ายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น่าสังเกตว่า เวลาไปถามรัฐมนตรีหรือนักธุรกิจพันล้านมักจะได้คำตอบตรงกันว่า ชอบกินราดหน้าบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดบ้าง ดูใคร ๆ ก็ชอบแสดงตัวว่าชอบกินอะไรง่าย ๆ แต่เวลาประชุมพรรค หรือเลี้ยงฉลองกัน เป็นไฉนจึงชอบจัดตามโรงแรมดัง และสั่งอาหารหรูเริ่ดทุกครั้งไปก็ไม่รู้

    การกินง่าย ๆ ให้อร่อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ลิ้นมากเท่ากับที่ใจ ถ้าใจไปให้คุณค่ากับอาหารราคาแพงคิดว่าอาหารอร่อยต้องกินตามโรงแรม หรือกินเพราะต้องการแสดงความโก้เก๋อวดบารมีเสียแล้ว กินผีดผัก แกงจืดจะไปมีรสชาติอะไร แม้แต่กล้วยแขกก็ไม่คู่ควรกับลิ้นของตัวเท่ากับเค้กช็อกโกแลต

    จะรู้จักรสชาติอาหารพื้น ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อถอดหัวโขน เปลื้องเหรียญตรา และปีนลงมาจากหอคอยงาช้าง แต่จะดีกว่านี้ ถ้าหากปรับใจให้ตระหนักว่า ความอร่อยของอาหารนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามันกระตุ้นลิ้นได้มากเพียงใด อาหารที่มีรสจัดจ้าน ไม่ว่าหวาน เปรี้ยว เผ็ด ชนิดออกนอกหน้าโจ่งแจ้ง ไม่ใช่อาหารอร่อยเสมอไปรสชาติเรียบ ๆ ก็เป็นเสน่ห์ของอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมยังเป็นเสน่ห์ที่มีคุณค่ากว่ารสจัดจ้าน เพราะไม่เพียงแต่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น หากยังมีผลกล่อมเกลาจิตใจให้สงบด้วย ความสงบนี่แหละช่วยให้บังเกิดความสุขความรื่นรมย์ในขณะกินอาหาร โดยไม่ต้องมีเสียงเพลงจากนักร้องมาช่วยกล่อมเลยอย่าลืมว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจเท่านั้น ความสงบก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นสุขที่ประณีตและประเสริฐกว่าเสียด้วย

    คงเห็นแล้วว่า การรู้จักกินง่าย ๆ จะว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกก็ได้ (เด็กที่ไหน ๆ กินกล้วยแขกก็รู้สึกอร่อย ตราบใดที่ยังไม่ถูกอิทธิพลโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ครอบงำ) จะว่าไม่ใช่หญ้าปากคอกก็ได้ เพราะต้องอาศัยคุณภาพจิตระดับหนึ่งด้วย ว่าไปแล้ว แม้แต่การนอนง่ายถ่ายคล่องก็เกี่ยวข้องกับจิตใจเช่นกัน ถ้าหงุดหงิดคิดมาก ท้องก็ผูกเป็นเรื่องธรรมดา หากเจ็บช้ำน้ำใจ อึดอัดขัดเคืองใคร ก็พลอยทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน ถึงหลับได้ก็ฝันฟุ้งจนเหนื่อย ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่านอนไม่พอ ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน

    ถ้าอยากนอนง่ายถ่ายคล่องจริง ๆ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางให้เป็นด้วย นั่นหมายความว่าต้องฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ คิดเป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่คิดแบบ "เรี่ยราด" คนที่ปล่อยใจคิดไปเรื่อย ๆ สุดแท้แต่อารมณ์ความรู้สึกจะพาไป ง่ายที่จะเป็นคนครุ่นคิดติดยึดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยในสำนักงานมาเป็นอารมณ์ติดค้าง แม้กระทั่งเวลากลับมาบ้าน บางเรื่องแม้จะดูเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน ไม่รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มันก็จะเข้ามาครอบงำเรา กลายเป็นใหญ่เหนือเรา คราวนี้ถึงอยากจะวาง มันก็ไม่ยอมให้เราวาง มีแต่จะบังคับให้จิตของเรา ครุ่นคิดปรุงแต่งไปตามที่มันกำหนดทั้งวี่ทั้งวัน กระทั่งเวลานอนก็นอนไม่ได้ เพราะสลัดมันไปไม่สำเร็จ ปลิงที่ว่าเหนียวหนึบ ยังสู้ความครุ่นคิดกังวลใจไม่ได้

    ลองฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ ถึงเวลากินใจก็อยู่กับการกิน ถึงเวลาล้างจานใจก็อยู่กับการล้างจาน ถึงเวลาคุยใจก็อยู่กับการคุย ไม่พึงปล่อยใจไปกับเรื่องอื่นคนสมัยนี้มักเข้าใจไปว่าการคิดไปด้วยกินไปด้วยเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเวลาหายากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนเก่ง ล้ำหน้าคนอื่น หารู้ไม่ว่านั่นคือการบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง นอกจากจะทำให้จิตไม่มีสมาธิกับงานใด ๆ แม้แต่งานเดียวแล้วยังทำให้ขาดสติคิดเรี่ยราดหรือฟุ้งซ่านได้ง่าย กลายเป็นคนเจ้ากังวล จมกับความเครียด ใครที่กินอาหารด้วยจิตแบบนี้ ก็เตรียมยารักษาโรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือยาแก้ท้องผูกไว้ได้เลย มิหนำซ้ำ ถึงจะกินอาหารฮ่องเต้วิเศษปานใด ก็ไม่มีวันรู้สึกอร่อยไปได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจผ่องใส โปร่งโล่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น แม้จะเป็นข้าวแกงธรรมดา

    การกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ อย่างที่เข้าใจถ้าอยากจะมั่งมีศรีสุขก็อย่าลืมตั้งจิตคิดถึงเรื่องนี้ด้วย อย่าสนใจเพียงแค่ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ส่วนคนที่มุ่งดับทุกข์ดับกิเลส ก็อย่าเพิ่งดูแคลนการกินง่ายถ่ายคล่องว่าเป็นเรื่องโลกย์ ๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากการฝึกฝนจิตใจหรือการปฏิบัติธรรมเลยทีเดียว ถึงที่สุดแล้ว การกินง่ายถ่ายคล่อง หลับสบายนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวธรรมที่สำคัญประการหนึ่งทีเดียว จางจื๊อ ปราชญ์จีนโบราณได้พูดถึงผู้บรรลุธรรมขั้นสูงว่า ...

    มนุษย์ที่แท้ในสมัยโบราณนั้น...
    นอนโดยไม่ฝัน
    ตื่นโดยไม่วิตก
    กินอาหารง่าย ๆ
    หายใจลึก ๆ

    คนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธรรมไม่ใช่คนที่เหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวได้ หากแต่(เป็นคนที่)มีชีวิตอยู่อย่างสามัญ เป็นความสามัญที่ไม่ธรรมดาเลย

    ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้เงินทองจะร่อยหรอ ข้าวของจะแพง แต่ถ้าหากยังกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบาย ก็ควรพึงพอใจได้แล้ว
    เพราะฉะนั้นวันนี้ เห็นจะไม่มีอะไรเหมาะสมเท่ากับคำอวยพรว่า... ขอให้ทุกท่าน กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายทุกวันวาร เทอญ.

    :- https://visalo.org/article/sukjai_PonHangCV.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...