เรื่องเด่น ประสบการณ์จิตหลุดจากร่าง "หัวติดคาช่องเพดานห้อง!" เทคนิค+วิธีถอดกายง่ายๆ "แค่นอนเฉยๆ" ฉบับเราเองค่ะ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย new5336, 21 กรกฎาคม 2018.

  1. new5336

    new5336 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    9
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13
    วันนี้อยากจะมาเล่าเหตุการณ์จิตหลุดจากร่าง และมาแชร์ประสบการณ์ + ทริคเล็กๆน้อยๆ ด้วยการนอนสมาธิถอดจิตแบบชิวๆ สบายๆ ให้ฟังค่ะ
    ***มีคำถามในบทความนี้ด้วย รบกวนเพื่อนๆ หรือผู้รู้ช่วยคำชี้แนะด้วยนะคะ

    vignette.jpg

    ขอเกริ่นก่อนนะคะอาการจิตหลุดออกจากร่างนี้เป็นบ่อยๆมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นเฉพาะตอนนอนเท่านั้นนะคะ เราเป็นคนที่ไม่นั่งสมาธิเลย เมื่อก่อนก็เคยศึกษาวิธีนั่งสมาธิ ไม่เคยรู้เลยค่ะที่เขาว่ากันว่า ระดับสมาธิ ระดับนั้นระดับนี้ ขั้นนั้นขั้นนี้ มันเป็นยังไง นิมิตรเป็นยังไง อุปจารสมาธิ ญาณ1 ญาณ2 การไต่ระดับญาณ การถอยระดับญาณยังไง เราไม่เคยเข้าใจ แม้แต่ศัพท์บาลี ศัพท์สำหรับกรรมฐานที่ใครแนะนำชี้แนะเรา เรางงค่ะ ต้องแปลแล้วแปลอีกจากกูเกิ้ล เมื่อก่อนเคยนั่งสมาธิก่อนนอนแป็ปๆ พอเริ่มเมื่อย เริ่มง่วง เริ่มอึดอัดก็จะล้มตัวลงนอนเลย เป็นคนไม่ค่อยมีความพยายาม ส่วนตัวเรารู้สึกว่านั่งแล้วมันไม่สบายร่างกายแล้วกระทบจิตใต หรือความรู้สึกเราไปด้วย นั่งนานๆทำได้ยากมากค่ะ เราเลยไม่ได้นั่งสมาธิมาเป็นปีๆแล้ว (อย่าว่ากันนะคะและอย่าทำตามค่ะ ไม่ดี!)

    เข้าเรื่องกันค่ะ ปกติก่อนนอนจะเป็นคนที่ชอบจับความรู้สึกอยู่ที่กาย โดย "ไม่" คาดหวังว่าคืนนี้ฉันจะถอดกายให้ได้ คิดซะว่าถ้าถอดก็ดี ไม่ถอดก็หลับ อย่างน้อยก็ทำแบบนี้ก่อนหลับ ก็ทำให้หลับง่าย หลับสบาย

    ***วิธีถอดจิต
    ก่อนอื่นต้องรู้อิริยาบถเวลาเรานอน รับรู้ถึงร่างกายทุกส่วนที่นอนอยู่ มือ แขน ขาลำตัว หรืออื่นๆทั้งหมด อยู่ในท่าทางใด แนะนำให้นอนหงายนะคะถึงจะถอดได้ง่าย และมือวางประกบไว้ที่กึงกลางอกให้รู้สึกว่าเราปลอดภัย เป็นสุข (ตรงนี้ยึดเป็นจุดรวมศูนย์กลางของเราค่ะ เรายึดจุดนี้เพื่อให้เกิดสมาธิ) ทำใจให้สบายโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระ ตอนนี้ เวลานี้มีเพียงร่างกายสุดท้ายนี้เท่านั้นที่เป็นจุดพักของเรา จุดกึ่งกลางของตัวเรานี้คือศูนย์กลางของทุกสิ่งในจักรวาล ปัญหาต่างๆวางลงไว้ก่อนนะคะ หายใจเบาๆสบายๆ ทุกอย่างว่างเปล่า เราเป็นเพียงจุดๆหนึ่ง ที่นิ่งอยู่ เฉยอยู่ สงบอยู่ ทุกอย่างหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เหมือนเราหยุดเวลาไว้ สำคัญที่สุดเมื่อสบายแล้วอย่าเผลอหลับ!!! อย่าลืมโพกัสไปที่กึ่งกลางอกตรงที่มือเราสองข้างประกบกุมไว้ เบาๆ สบายๆ ไปเรื่อยๆ สำหรับคำบริกรรมต่างๆไม่มีค่ะ เราไม่ได้ท่อง ถ้าท่องเรามักจะชอบเผลอไปจับเอา ไปดูว่ามันว่ามันสั้น-ยาว ตื้น-ลึก เข้า-ออก มันผ่านส่วนไหนในร่างกายบ้าง ทำให้เรานึกคิด จดจ่อกับมัน (อันนี้เป็นความถนัดของใครของมันนะคะ ไม่ได้แนะนำว่า ห้ามท่อง) เพราะบางทีมันทำให้ขัดแย่งกับความว่างเปล่าของเราที่เรากำลังทำอยู่
    ย้ำ!!! โพกัสที่บริเวณหน้าอกไปเรื่อยๆ รู้ว่ารอบๆ คือความว่างเปล่าและกายที่นอนนิ่ง เฉย..... (เมื่อถึงช่วงหนึ่งร่างกายที่เรารู้สึกๆปริ่มๆจะวูปหลับ แต่สติยังอยู่ยังไม่หลุด รู้ว่านี้กำลังก่ำๆกึ่งจะวูป (ฟังๆอาจจะงงๆ อันนี้อธิบายตามความรู้สึก) จากนั้นไม่ถึง 1 วินาทีด้วยซ้ำ มันไวมากร่างกายจะฟุ๊บเข้าโหมดที่เป็นพลังงานหรือคลื่นต่างๆ จะเกิดอาการแผ่ซ่านของคลื่นเหมือนแม่เหล็ก เกิดความรู้สึกหนึบๆ หน่วงๆ อยู่รอบตัวเราบริเวณทั่วร่างกายช่วงบน ชัดที่สุดบริเวณรอบศรีษะ เหมือนมันเป็นสัญญาณเตือนว่า ฉันพร้อมที่จะหลุดออกไปแล้วนะ!!! จับความรู้สึกนี้ไว้ค่ะ (ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอธิบายอาการนี้ยังไง ถ้ามีใครที่ป็นเหมือนกันช่วยอธิบายเพิ่มหรือแชร้์ประสบการณ์กันได้นะคะ) แต่ส่วนตัวจะขอใช้คำว่า "พลัง" แทนความรู้สึกหนืบๆที่กล่าวมาค่ะ จะเกิดพลังตรงนี้แผ่ซ่านออกมาบางทีจะมีเสียง วิ๊งๆๆ หรือจี๊ดๆ ถ้าเอาความรู้สึกไปจดจ่อที่หู


    พลังนี้จะแรงหรืออ่อนแต่ละครั้งไม่เท่ากัน บางคืนที่เกิดแรง แรงมากจนรู้สึกได้ว่าคลื่นนี้ทำให้ศรีษะของร่างกานที่นอนอยู่หนักตื้อมากแต่เป็นความรู้สึกที่ดีค่ะ จะได้ยินเสียงปรี๊ด หรือจี๊ดยาวๆขึ้นที่หู พลังนี้เราสามารถเร่งได้ (คล้ายกับเราบิดเร่งคันเร่งรถมอเตอร์ไซต์) เมื่อเร่งจนขีดสุดมันก็จะผ่อนลงมาเบาเองอัตโนมัติ เหมือนพลังอ่อนลงๆ แต่เราสามารถเร่งเพิ่มได้ บางครั้งหากเร่งสุด ความรู้สึกที่บอกกับเราเองคือ เหมือนมีพลังมาก มีกำลังมาก มีฤทธิ์มาก ยิ่งเร่งมันจะยิ่งแผ่ขยายออกกว้างขึ้นๆ (นึกภาพการฝึกวิชากำลังภายในๆหนังจีน ที่นั่งฝึกวิชาแล้วมีคลื่นลมปราณใสๆแผ่ออกมา น่าจะเห็นภาพชัดขึ้นค่ะ) มีครั้งหนึ่งแผ่จนเห็นท้องฟ้าไปจนถึงจักวาล อาจดูเว่อร์นะคะแต่มันคือสิ่งที่เรารู้สึกและภาพที่แสดงออกมาเป็นแบบนั้น (ตรงนี้เป็นการแช่ให้พลังอยู่กับร่างที่นอนอยู่ไปเรื่อยๆ เร่งๆ ผ่อนๆ ก่อนที่ร่างจะหลุดออกมา) ****น้อยครั้งค่ะที่จะแช่พลังนี้ไว้ได้ยาวๆ เพราะปกติแค่เสียววินาทีเมื่อเกิดพลังขึ้น ร่างกายก็จะดีดหลุด ปลิ้ว หรือเหวี้ยงก็ออกมาทันที!!!

    มีครั้งหนึ่งที่พยายามแช่พลังอยู่อย่างงั้นไม่อยากให้ร่างหลุด เพราะอยากจะฝึกจำอาการนี้ให้ชิน ต่อไปจะได้เข้าสู่โหมดอาการนี้ได้ง่ายขึ้น (คิดเองเออเอง ไม่รู้ถูกหรือผิด มันเหมือนเป็นไปเองตามธรรมชาติที่เราควรจะฝึกทำบ่อยๆ) พราะอยากรู้ว่าเมื่อเร่งสุดๆมันจะจบยังไง เราก็เริ่มเร่งขึ้นๆ เรื่อยๆ ไต่ระดับไปเรื่อยๆ (นึกถึงปรอดวัดอุณหภูมินะคะ) ยิ่งเร่งเสียงจี๊ดก็ยิ่งดัง ยังมันส์ เสียงหวีดดังสุดๆ เหมือนอะไรแหลมๆจะทะลุหูออกมา ในหูเจ็บมากค่ะ แทบทนไม่ไหว (ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาการเสียงนี้มีผลแค่ความรู้สึกว่าได้ยิน แค่ได้ยิน เป็นเสียงหลอกๆ หรือเสียงนั้นมันจะส่งผลจริงๆ ในทางวิทยาศาสตร์ต่อร่างกาย ต่อหูหรือเส้นเลือดสมองจะพังในอนาคตหรือปล่าว ใครรู้แนะนำหน่อยนะคะ) เมื่อเร่งสุดๆ จนขึ้นสูงขึ้นไปไม่ได้ต่อแล้ว และร่างก็กำลังจะดีดหลุดออก เลยนึกถึงภาพพระขึ้นมานึกถึงภาพรวมพระในปฏิทิณที่เคยเห็นค่ะรูปรวมเกจิดังๆต่างๆ เพราะภาพนั้นมันติดตามา เพราะตอนนี้ไม่รู้จะไปต่อยังไง และเจ็บหูมากๆ

    เราคิดในใจ
    "ลูกควรทำไง ช่วยด้วย! ช่วยบอกแนวทางด้วย"

    อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมา
    "ค่อยๆ" "เบาๆ"

    แล้วเหมือนเจ้าของเสียงนั้นเกี่ยวแขนซ้ายเราไว้ไม่ให้ร่างเราหลุดออกไปภาพตอนนั้นเห็นรูปพระท่านหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนค่ะ ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ลอยอยู่ในจักรวาล ถ้าตอนที่เร่งแรงขนาดนั้นเวลาหลุดไม่รู้จะปลิวไปไหนต่อไหน ตรงนี้แปลกเหมือนกันค่ะเรื่องเสียงที่เข้ามา


    *****ครั้งแรกที่จิตหลุด
    ย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน ครั้งแรกที่เกิดหลุดออกมา เราจะเดินจะยืนไม่เป็นท่าเลยคะ ล้มลุกคลุกคลานเนื่องจากร่างกายมันเบามาก เหมือนไม่มีแรงโน้มถ่วงใด ร่างกายเบาใส (นุกถึงภาพผีน้อยแคสเปอร์นะคะ แต่ไม่สว่างแบบนั้น) เมื่อออกมาได้บ่อยๆ พักหลังๆก็จะทรงตัวได้ดีขึ้น ระหว่างเขียนบทความนี้ก็นึกขึ้นได้ว่า ไม่มีความรู้สึกใดๆ ว่าเท้าเราสัมพัสพื้นเหมือนกายเนื้อนะคะ ถึงเราจะยืนนิ่งอยู่ก็ตาม
    (ใครเคยเป็นเหมือนกันบ้างค่ะ) พอออกมาก็เห็นสภาพจริงๆของบริเวณนั้นๆ ที่เราอยู่ จะชัดมาก ชัดน้อย ขึ้นอยู่กับพลังที่เราสะสม และช่วงเวลากลางคืน - กลางวัน ณ ตอนนั้นด้วยค่ะ

    ***ตั้งใจจะทำไม่ได้ ไม่ตั้งใจจะทำได้

    ต้องขอบอกก่อนว่าสำหรับเราเอง เมื่อไหร่ที่เราตั้งใจว่า คืนนี้ฉันจะจดจอทำสมาธิแล้วหลุดออกมาให้ได้!!!! ว่างท่าเตรียมพร้อมมันจะออกมาไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าเราไม่สนใจมัน แต่เราวางใจสบายๆเป็นปกติ มันก็จะออกมาได้ เมื่อไหร่ถ้า "ทุกอย่างลงตัว" โดยที่ไม่คาดหวัง ไม่อยากได้ มันจะสำเร็จ!! โดยจะมีสัญญาณเตือนก่อน (ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเวลาเราตั้งใจทำ ทำไมถอดไม่ได้?ใครทราบชี้แนะด้วยนะคะ)

    ****ทุกอย่างลงตัว
    เมื่อไหร่ที่เราทำสมาธิบ่อยๆ "สมาธิ " ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนั่งสมาธินั่งนิ่งๆนะคะ แต่หมายถึง การจับลมหายใจเข้าออกระหว่างวันบ่อยๆ รู้กายบ่อยๆ แต่ไม่ได้ทำตลอดเวลาเพราะวันๆก็ต้องเอาใจไปจดจ่อ วุ่นวายกับการทำมาหากินค่ะ ส่วนตัวจะทำเวลานั่งหน้าจอคอมแล้วไม่มีงานเข้ามา ทำสมาธิจับลมเข้าออกเรื่อยๆ ไม่บริกรรม เหมือนตามลมหายใจหนะค่ะ โดยเก็บเล็ก เก็บน้อย ไปเรื่อยๆ หลายๆวัน หลายๆสัปดาห์ หลายๆเดือนเข้า เหมือนเป็นการสะสม "พลัง" ที่กล่าวเพื่อถอดจิตค่ะ

    **** สัญญาณเตือน
    เมื่อ" พลัง" ใกล้เต็ม มักจะมีความฝัน มีภาพต่างๆ เกิดให้เห็นในฝันบ่อยๆ เห็นอะไรในแปลกๆ หรือมีความฝันที่ชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราว นั้นคือร่างกายกำลังจะบอกเราแล้วว่า "พลัง" ใกล้พร้อมแล้วนะ ไม่เกิน 3 วัน 7 วัน จะมีการถอดกายแน่นอน

    *****เงื่อนไข

    มีข้อแม้นะคะ ถ้าช่วงไหนมีเรื่องรบกวนจิตใจมากๆ เศร้า หดหู่ จิตใจไม่สดใส หรือไปหลงไปยึดติดอะไรมากๆ จิตมีกิเลสตัณหา หรือบางทีฝักใฝ่เรื่องทางเพศมากไป จิตจะไม่ค่อยหลุดออกมาค่ะ เหมือนว่าจะลดทอนพลังเราด้วยซ้ำ!!! (เป็นธรรมดาของปุถุชนเราค่ะ รัก โลภ โกรธ หลง สำหรับเราการมุ่งมั่นกับการทำสมาธิมากไป บางทีเราก็จะเครียดซะเองนะคะ ดังนั้นทำแบบสบายๆ ไม่มุ่งเป้า คาดหวัง ***ทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็เผลอหลับไป)


    ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากตัวเองหลุดลอยอยู่ในห้องสักพัก ใจก็คิดอยากออกไปข้างนอก ทำไมถึงอยากไปข้างนอกหละ? เพราะที่ผ่านมาเคยพยายามออกไปด้วยตัวเองอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ถ้าออกไปได้ก็ต่อเมื่อแรงดีดตอนร่างออกมีเยอะ ทำให้ร่างปลิ้วไปยังที่อื่นๆ หรือบางทีก็เป็นลมหลมุหอบเอาไปเอง) สำหรับครั้งนี้เหมือนครั้งอื่นๆ คือ แรงดีดไม่เยอะเลยหลุดออกมาแค่ในห้อง ก็มาทดสอบอีกครั้งเหมือนการที่เราได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆค่ะ จะต้องพยายามทำอะไรที่ไม่เคยทำ (ตรงนี้ขึ้นอยู่กับพลัง หรือสติของเราด้วยค่ะ ว่าทุกอย่างจะแจ้งชัดแค่ไหน สติมีมากก็ทำอะไรได้มาก) ตอนนี้คิดแค่ลองออกไปจากห้องด้วยตัวเองให้ได้!!! ประจวบเหมาะตอนนั้นร่างลอยไปใกล้เพดานเลยตั้งใจจะทะลุผ่านเพดานลอดออกไปเพื่อผ่านหลังคาห้อง แต่!!!!พอกำลังเขาหัวลอดเข้าเพดานไปปรากฏว่าหัวเข้าไปได้แค่ครึ่งหัว อีกครึ่ง......

    หัวติดคาอยู่ค่ะ!!!!!! มองลงมาก็เห็นเท้าตัวเองลอยเหนือพื้นข้างล่างสูงเอาเรื่องอยู่ แต่ไม่เคยกลัวตายค่ะ เพราะใจรู้ว่าอยู่แล้วว่านี้ไม่ใช่ร่างกายเนื้อของเราจริงๆ (ใครพึ่งถอดครั้งแรกอาจจะกลัวจดร่างดีดกลับไปได้ค่ะ) เราพยายามดึงหัวเข้า - ออกก็ไม่ได้ หัวคาอยู่อย่างงั้นสักพักใหญ่ ใจก็คิดจำทำยังไงดีๆๆ เริ่มกังวล ถ้าปกติถอดออกมาจะไม่คงอยู่นานขนาดนี้ พลังก็จะหมดแล้วร่างดีดกลับไปที่ร่างที่นอนอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พลังก็ยังหมดสักที รู้สึกว่าบริเวณหัวและคอเริ่มมีความรู้สึกเจ็บแบบตื้อๆ หนืดๆ บีบๆ ดันๆ เหมือนโดนล๊อคไว้ด้วยแรงแม่เหล็กมากขึ้นๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอาซะเลย เราจะทำยังไงดี เลยนึกถึงร่างกายเราที่นอนอยู่เสี้ยววินาทีก็ฟุ๊ป!!!! ความรู้สึกมาอยู่ที่ร่างกายจริงๆที่นอนอยู่บนเตียง........แต่ความรู้สึกหนึบที่หัวกับคอที่เกิดจากการติดเพดานยังติดกลับมากับร่างจริงที่นอนอยู่ สักครู่หนึ่งอาการจึงก็ค่อยๆหายไป แปลกประหลาดจังทำไมร่างกายที่ถอดไปจึงมีความรู้สึกได้น่ะ? ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่คาดฝันมากก่อนว่าจะเกิดอุบัติเหตุแล้วเกิดอาการเจ็บจากร่างที่ถอด มาสู้ร่างที่นอนได้แบบนี้ เพราะปกติจะไม่เจ็บไม่ปวดแม้ว่าจะชด จะกระโดด จะหล่นลงจากที่สูง และมีแค่ทะลุออกไปแล้วเป็นแบบมืดๆไปเลย หรือถ้าทะลุไม่ได้ก็จะลอยไปชนพนังชนเพดานเหมือนนักบินอวกาศ

    ที่ได้เล่ามานี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวบางส่วนท่านั้น จากการลองผิดลองถูกเรียนรู้ด้วยตนเอง จะเล่าให้ใครฟังก็กลัวเขาว่าเราเพ้อค่ะ เผื่อเพื่อนๆคนไหนเคยเป็นเหมือนกันอยากให้มาแชร์หรือชี้แนะยินดีนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ ไว้มีโอกาศจะมาแชร์ประสบการณ์ถอดกายครั้งอื่นๆ การเจอวิญญาณ พูดคุยกับอะไรแปลกๆ ให้ฟังครั้งหน้านะคะ
    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2018
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อาการที่กล่าวมานั้น "ถูกต้องแล้ว" มันเป็นอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด

    +++ ให้เปรียบเทียบกับกระทู้ "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย"

    +++ อยู่ข้างล่าง ในห้องนี้แหละ วิธีการที่คุณทำ ตรงกันกับการฝึกในกระทู้

    +++ ในส่วน "การอธิบาย" ให้อ่านผ่าน ๆ ไปเฉย ๆ

    +++ ให้เน้นในส่วนของ "วิธีทำ" ก็จะทราบเองว่า "เหมือนกัน"

    +++ ให้เปรียบเทียบกับ โพสท์ที่ 7 ก็จะทราบได้เอง นะครับ
     
  3. fu

    fu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +42
    จริงๆไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้มาก แต่เรื่องที่หัวคุณติดเพดาน เราคิดว่าพอรู้ว่าจะแก้ยังไง
    เรื่องถอดจิต เราไม่ค่อยรู้เรื่องมาก เคยแต่นอนทำสมาธิอยู่แล้วมันออกไปเองครั้งนึง
    กับครั้งอื่นๆคือมันออกไปเองตอนนอน

    ถ้าตอนที่ออกได้ครั้งแรกตอนนั้นเรานอนทำสมาธิอยู่ กำหนดความว่างแผ่ออกไปเต็มที่
    ครั้งนั้นทำได้ดีที่สุดแผ่ออกเต็มที่ที่สุดจนไม่สนใจร่างกายแล้ว พอกำหนดแผ่เต็มที่สุดแล้ว
    ร่างที่ซ้อนทับกายมันโดนแรงดึงรวบหดเข้ามาอยู่จุดเดียวในกลางร่างกาย
    พออยู่จุดเดียวแล้วมันก็มีร่างโปร่งปรากฎขึ้นมาและลอยขึ้นไปจนเกือบติดเพดาน
    แต่ครั้งนั้นเราบังคับร่างไม่ได้ มันลอยขึ้นๆ พออยากตื่นก็ฝืนอยู่สักพักเพราะอยู่ในร่างแล้ว
    แต่ยังขยับร่างกายไม่ได้ สักพักจึงจะขยับตัวได้

    ส่วนครั้งที่เหมือนจะบังคับได้ มันออกไปเองตอนนอน ก็กำหนดสติไว้ตอนนอน
    ร่างกายเบาๆเลยลองยืนดูเลยรู้ว่ามันหลุดออก หลังจากนั้นจะลงบันไดต้องใช้กำลังจิตอยู่เหมือนกัน
    ในการพาร่างกายลอยไป คือมันก้าวเดินไม่ถูก กำลังจิตที่มีใช้สั่งให้ลอยไปอย่างเดียว
    ลอยลงบันไดไป (ตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าแค่จะบังคับให้ลอยไปตามทิศที่ต้องการ ต้องใช้ความตั้งใจมาก
    อยู่เหมือนกัน ไม่งั้นมันไม่ไป)

    ตอนนั้นเห็นมือตัวเองมันโปร่งๆ
    ลอยลงมาชั้นล่างของบ้านแล้วและจะออกประตูเหล็กดัด
    เราเห็นประตู กะว่าจะทะลุผ่านไป ปรากฎว่ามันไม่ทะลุ หัวดันๆอยู่ที่ประตูอยู่อย่างนั้น
    เราเลยตั้งจิตใหม่ทำใจสบายๆ คิดว่าประตูมันเปิด และเราจะผ่านไป พอตั้งจิตใหม่สบายๆ
    คิดว่าประตูเปิดมันก็จะผ่านไปได้
    (ถ้าคิดว่ามันมีมันก็มี ถ้าคิดว่าผ่านได้มันก็ไปได้)
    เราก็อยู่ในรั้วบ้านสักพัก หลังจากนั้นอยากกลับเข้าร่าง พอคิดจะกลับก็ตื่นขึ้นมาทันที

    เราเลยคิดว่าที่หัวคุณติดเพดานเพราะคุณคิดว่ามันเป็นเพดานที่หัวผ่านไปไม่ได้ค่ะ
    จิตเราถ้าคิดว่าสิ่งไหนมันมีอยู่หรือคิดว่ามันผ่านไม่ได้ จิตมันก็จะผ่านไปไม่ได้น่ะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2018
  4. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    สาธุๆๆ ขอรับ
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ถูกต้อง ตามนี้ครับ
     
  6. new5336

    new5336 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    9
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13


    ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยแนะนำนแนวทาง
    ไม่ทราบว่าพอจะสอบถามได้ไหมค่ะว่าแนวทางนี้เรียกว่าอะไร
    เป็นไปตามแนวทางของครูบาอาจารย์ท่านใด
    ขอบคุณค่ะ
     
  7. new5336

    new5336 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    9
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ และที่ช่วยมาบอกเล่าประสบการณ์นะคะ ยังดีใจที่มีคนที่เป็นเหมือนเราบ้าง ต่อไปจะลองทำดูค่ะ

    ขอบคุณมากค่ะ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ฟังในอีกมุมนะครับ


    ประเด็นแรกเอาฮาพอได้แต่อย่า
    ไปสนใจเลยครับ
    เพราะมันดูเหมือนไม่ยึดก็จริง
    แต่มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งเรียกว่า
    กิเลสธรรมครับ คือมันจะทำให้เราไม่สนใจ
    ในเรื่องของการเจริญสติและเดินปัญญาครับ
    แต่จะสนใจแต่เรื่องทางด้านนามธรรม
    ต่างๆแทน สนแต่เรื่อง ที่ออกแนวพิเศษๆครับ

    ประเด็นต่อมา การที่ดวงจิตใดก็ตาม
    สามารถออกจากกายไปได้ โดยที่ไม่สามารถ
    ควบคุมตัวจิตได้ หรือควบคุมกายอีกกายของตนเองได้นั้น. ทางปฎิบัติเราเรียกว่า
    กำลังสติทางธรรม ที่ได้จากการเจริญสติ
    ในขีวิตประจำวันเรามันน้อยครับ
    พูดง่ายๆว่ายังอ่อนครับ
    เช่น ออกไปหกคะเมนตีลังกา โชขัดโชเซ ออกไปแล้วไปปรากฎสถานที่นั้นเลย หรือออกไปแล้วไม่รู้ว่าที่ไหน ไม่ว่าจะด้วยความชำนาญและความเร็วเพียงแค่หายใจ ๒ ถึง ๔ ครั้งแล้วทำได้. ทั้งหมดนี้ ฟ้องว่ากพลังสติทางธรรมที่จะควบคุมจิตและกายอุปโลกน์เรามันน้อยครับ. มันไม่ใช่เรื่องที่ดี มันเป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงและปรับเปลี่ยนทัศนะคติอย่างเร่งด่วนด้วย ม 44 ครับ

    และการไปได้เฉพาะบริเวณโลกมนุษย์
    อะไรพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องฝึกอะไรมาก่อน
    ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเป็นเรื่องปกติครับ

    มีหลักสังเกตุ ณ ครับ ว่าเราออกในกำลังระดับไหน. ถ้าออกในกำลังสมาธิระดับ๑.อุปจารสมาธิ สภาพแวดล้อมเราจะรู้สึกว่ามันเงียบเป็นปกติคล้ายเราลืมตาปกติ
    และเราจะเหมือนมีตาเดียวมองคุยกับโน้นนี่นั่นได้ แต่เราจะไม่เห็นตัวเอง คือมองไม่เห็น
    แขนขาเราครับ และเราจะเหมือนไม่มีส่วนร่วมในสังคมนั้น คือจะเห็นเราแค่บางกลุ่ม
    ๒.ถ้าออกในกำลังระดับฌาน ๔ จะไม่เงียบครับ เรียกว่าเสียงลมพัด แต่ความรู้สึกเราเนี่ยคือได้ยินแบบหูแทบแตกครับ

    ทั้ง ๑และ๒ สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่เคยฝึกอะไรมาครับ

    ของคุณนั้นมันไม่เรียกว่าฤิทธิ์นะครับ
    มันเป็นผลของการรวมสัมผัสภายในที่คุณมี
    บริเวณท้องแล้วมันไปหนุนทางด้านการเห็นทางนามธรรมครับ ด้วยที่มันไปเกี่ยวกับจิต
    ด้วยบางส่วน คุณเลนอาจรู้สึกว่ากำหนดได้สั่งได้ จริงๆมันก็เป็นไปตามสัญญาในจิต
    ที่ตะต้องใช้ร่วมกับการออกคำสั่ง
    แล้วไปออกกรือไปแสดงให้เห็นทางตานะครับ. ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่า แต่เล่าให้ฟัง
    เฉยๆ เกรงจะเข้าใจอะไรผิดไปครับ

    ทางปฎิบัตินะครับถ้าจะเราพัฒนาที่มัน
    ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพทางจิตเรานะครับ เราควรเข้าใจว่า. จิตหรือกายทิพย์ถ้า
    มันจะออกเราจะบังคับไม่ให้มันออกครับ
    หรือถ้ามันจะไปไหนเราจะตามมันไปตลอดครับ. ไอ้ที่บังคับหรือตามตลอดคือกำลังสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสตินั่นหละครับ


    ในระดับที่ปลอดภัยที่จะให้เราปลอดภัย
    ทั้งกายและจิตนั้น มันจะเป็นอย่างนี้นะครับ

    ข้อ ๑.นั้นเราจะต้องรู้ก่อนว่าจะไปที่ไหน
    และสติทางธรรมจะต้องทันในระหว่าง
    ที่กำลังจะเดินทางไปถึง ไม่ใช่อยู่ดีๆไปโผล่เลย โดยที่ไม่เห็นจิตระหว่างเดินทางนะครับ
    และ ๒. ถ้ากำลังระดับสูง เราจะค่อยๆลุกขึ้น
    จากกายปกติเรา เหมือนเรากำลังยกหลังขึ้นมาจากเตียงในท่านอนหงายและ เราจะรู้สึกได้ว่า มันเหมือนมีสายใยอะไรบ้างอย่างมันอยู่ข้างหลังเราครับ และอย่างบอก ถ้ามีลม
    มันจะรู้สึกว่าดังแบบหูแทบแตก เหมือนมีคน
    มาสตาร์รถชอบเปอร์ ข้างๆเราครับ
    แค่เดินเนี่ยกรือกะโดด มัเสียงการแหวกอากาศ แบบรู้สึกแทบแตก

    นึกภาพนะแค่เรานิ่งๆหน่อย เสียงเข็มนาฬิกา
    เดินเรายังได้ยินนี่แค่ปญมฌานครับ
    ถ้าฌาน ๔ จะขนาดไหน เพราะมันตัดร่างกายได้ชั่วคราวเเล้วครับ

    และถ้าทำได้ เราควรจะไปต่อทาง
    แยกรูปแนกนามครับ และเดินปัญญาต่อครับ
    อย่าไปสนใจ
    พวกนามธรรมต่างๆที่เห็น
    ส่วนจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลก็ทำไป
    จะเจอระดับสูงแค่ไหน ก็ให้เฉยๆครับ

    ถ้าเดินปัญญาได้ ความเข้าใจทางนามธรรม
    เราจะดีขึ้นเองและจะไม่ยึดด้วยครับ


    ที่เขียนต่อไปนี้ถ้าไม่เข้าใจทางกิริยา
    แสดงว่ายังเข้าออกฌานไล่ระดับฌานยัง
    ไม่ได้.

    “ลมหายใจเข้าออกเดิมนั้นลึกปกติ
    แต่มีคล้ายลมหายใจอีกสาย
    ที่มาจากฐานสัมผัสภายในที่ท้องเปลี่ยนเป็นเส้นคล้ายลมหายใจมาตัดลมหายใจปกติ
    ที่บริเวณปลายจมูก แต่กลับไม่มีผลกลับลมหายใจปกติภายในลมหายใจเจ้าออกครั้งนั้น
    การ ไต่ระดับฌานกับจำนวนรอบในการเข้าออกฌาน ต่างกันความแนบชิดของกะเเสที่
    มาตัดลมหายใจที่บริเวณปลายจมูกกับกะแส
    ลมปกตินั่นแล”

    ปล. สิ่งที่ภูมิไม่มีกายทำไม่ได้แบบเรา
    คือการสร้างสติทางธรรมเพราะมันต้องอาศัย
    นามกับรูปร่วมกันถึงสร้างได้นะครับ
    เพราะฉนั้นการมีกายให้สร้างสติจะดีกว่า
    การที่ไปอยู่ในโหมดที่ไม่มีรูปกาย
    เพราะมันสร้างสติทางธรรมไม่ได้มีแค่ไหน
    ตอนมีกายพอเป็นนามก็มีแค่นั้นนะครับ
    **มายาจิต เป็นแค่กลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้จะเห็นด้วยตาเปล่ายังยึดไม่ได้เลยครับ**



    *บุคคลที่ไม่ยึดทั้งรูปธรรม
    และนามธรรม
    บุคคลเหล่านี้
    มักจะมีคุณวิเศษในตัวครับ *

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ ^_^




     
  9. new5336

    new5336 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    9
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะค่ะ ^^
     
  10. fu

    fu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +42
    คุณ nopphakan พูดเหมือนอาจารย์เราเลยค่ะ (อยากพูดว่า คุณ nopphakan มีลักษณะการพูดเหมือนอาจารย์เรามาก จนหลายครั้งเรารู้สึกแปลกใจมากคล้ายจะเป็นท่านอาจารย์ แต่คงจะไม่ใช่ อาจเป็นเพราะคุณธรรมที่มีสูง เลยอาจมีความคล้ายๆกัน)

    ท่านอาจารย์เคยบอกเราว่าหากจิตออกจากร่างแล้วควบคุมร่างไม่ได้แปลว่าสติยังอ่อน
    ท่านอาจารย์จะเน้นให้กำหนดสติ และไม่ค่อยอยากให้สนใจในเรื่องอื่นๆ
    ท่านจะเน้นให้ทำการเจริญสติเป็นหลัก

    จริงๆตอนนั้นที่ออกไปแล้วเหมือนจะบังคับร่างได้ สถานที่ที่ไปคือบ้านหลังเก่าที่เคยอยู่ ไม่ใช่บ้านปัจจุบัน เพราะตอนนั้นออกจากร่างได้ ไปที่ประตูห้องและจะออกนอกห้องแต่เกิดความกลัว เลยนึกถึงพระที่บ้านหลังเก่า แล้วมันก็มาโพล่ที่บ้านหลังเก่าหน้าพระพุทธรูป พอพนมมือไหว้พระเลยเห็นว่ามือมันโปร่งๆ พอไหว้พระแล้วก็อุ่นใจและหายกลัว แล้วเริ่มสำรวจที่บ้านนั้น

    ตอนนั้นถามท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์บอกว่าจิตออกจากร่างจริง แต่ท่านไม่บอกอย่างอื่น เช่นไม่บอกว่าที่เห็นนั้นจริงหรือไม่จริง

    สาธุกับท่าน nopphakan ด้วยน่ะค่ะ ท่านnopphakan มาตอบนี้ทำให้นึกถึงท่านอาจารย์เลยน่ะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2018
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ แนวทางนี้ เกิดจาก "อานาปานสติ/พุทโธ"

    +++ เมื่อถึงเวลา "วางลมหายใจ + คำบริกรรม" ก็จะเกิด "ความรู้สึกตัว ทั่วถึง" ทุกครั้ง

    +++ หลังจาก "รู้" ชัดเจนว่า "มันต้องมาลงที่ตรงนี้" ก็เลย "เริ่มต้นที่นี่ซะเลย"

    +++ อย่างที่ "กระทู้ที่ผมสอน" ทุกอย่างให้ "เริ่มที่ ความรู้สึกทั้งตัว" นั่นแหละ

    +++ ณ ขณะที่ "ความรู้สึกทั้งตัว" เกิดขึ้น และ "ดำรงค์คงอยู่"


    +++ แนวทางนี้เรียกว่า "สติสัมโพชฌงค์" ซึ่งจะเป็น "สติครองฌาน" ทุกประการ

    +++ เป็น "สติ" ที่เหนือกว่า "ฌาน" ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น "รูป/อรูป" ก็ตาม
    +++ ผมได้ตอนเป็น "พระป่าสายหลวงปู่มั่น" เมื่อ 30 กว่าปีก่อน

    +++ คำตอบคือ "แนวทางใน สายพระป่า หลวงปู่มั่น" นะครับ
     
  12. new5336

    new5336 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    9
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13
    "สติสัมโพชฌงค์ " ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ อ่านคำนี้แล้วรู้สึกชอบคำนี้จัง
    ขอบคุณที่ช่วยมาตอบนะคะ จะติดตามกระทู้ฝึก กรรม-ฐานง่ายด้วยภาษาที่เข้าใจ เรื่อยๆค่ะ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จะอธิบายโดยใช้ "การปฏิบัติของคุณ" เป็นองค์ประกอบ เพื่อความเข้าใจใน "มรรคปฏิบัติของตัวคุณเอง" ดังนี้
    ==================================================
    +++ จาก http://www.nkgen.com/35.htm

    โพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้

    "ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ เป็นธรรมทําให้มีจักษุ ทําให้มีญาณ

    ส่งเสริมความเจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นข้างความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน"

    (สํ.ม. ๑๙/๕๐๒/๑๓๗)

    กุณฑลิยะ : ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์?

    พระพุทธเจ้า : ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์.

    กุณฑลิยะ : ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ก็(แล้วยังมี)ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์?

    พระพุทธเจ้า : ดูกรกุณฑลิยะ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.
    ==================================================
    +++ โพชฌงค์ 7 เป็นการ "ทำสติปัฏฐาน" แล้วเกิดความต่อเนื่องจนเป็น "สมาธิ (แปลว่า ตั้งมั่น)"

    +++ โดยมี "สติรู้" เป็นฐาน ในยามที่ "สติเดินผ่าน องค์ฌาน" ผมเรียกว่า "สติครองฌาน"

    +++ เมื่อ "สติรู้" สามารถ "ตั้งมั่น (สมาธิ)" ณ ขณะที่ "จิตผ่านกองฌานต่าง ๆ"

    +++ สติรู้ จะเป็นเอกภาพ ประดุจ "น้ำกลิ้งบนใบบัว ไม่เกลือกกลั้วระคนกัน" กับ ฌาน

    +++ ณ ขณะที่ "ฌานเกิดขึ้น ฌานตั้งอยู่ รวมทั้งการ เปลี่ยนฌาน และในที่สุด ฌานดับไป" ก็ตาม

    +++ "สติรู้" ก็ยัง "ดำรงค์อยู่เช่นนั้นเอง" ด้วยตัวมันเอง พ้นจาก "ฌาน" ทั้งมวล

    +++ ขั้นตอนที่ "สติเดินผ่านสภาวะธรรม (ฌาน) ทั้งหมด" นี้ เรียกว่า "ดำรงค์สติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า"

    +++ จะอธิบาย "การปฏิบัติของคุณ" กับขั้นตอนทั้ง 7 ของสัมโพชฌงค์ ดังนี้
    +++ การจับ "ความรู้สึกที่กาย" เป็นอาการของ "1. สติสัมโพชฌงค์"
    +++ ตรงนี้เป็นการ "เลือกเฟ้นสภาวะ ที่เหมาะสมกับการ ตั้งฐาน" เพื่อให้ "สติสามารถดำรงค๋ได้ไม่ยาก"

    +++ และตรงนี้แหละที่เป็น "2. ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์"
    +++ อาการที่สามารถ "ประคองสติ ได้ไม่หลุด" ตรงนี้คือ "3. วิริยสัมโพชฌงค์"
    +++ ตรงนี้แหละที่เป็นอาการโดยตรงของ "4. ปีติสัมโพชฌงค์"

    +++ ไม่ว่า "พลัง" จะรุนแรงเพียงใดก็ตาม ก็ยัง "รู้อยู่ดี" ตรงนี้คือ "สติเดินผ่านปิติ"

    ==================================================
    +++ ตรงนี้จัดเป็น "2. ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์" ในระดับ "พลัง" เรียกว่า "เลือกเฟ้นธรรม"

    +++ ตรงนี้เป็นเรื่อง "เข้า/ออก เร่ง/ลด ตรึง/แช่/อยู่" อันเป็น "วสี 5" ในกระทู้ "ฝึก กรรม-ฐาน"
    +++ ตรงนีมีใน "กระทู้ฝึก" ที่ผมเรียกมันว่า "จิตคำราม" เมื่อผ่านตรงนี้ไปก็จะไปถึง "จิตเปล่งรังสี" ได้ ในกระทู้ฝึก
    +++ ตรงนี้ "เป็นความจริง" และออกได้จริง ๆ "ไม่ใช่แค่เห็น" และ "มันไม่ได้เป็นนิมิต/มโน" มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

    +++ มัน "คิดเอง/มโนเอง ไม่ได้" แต่ ไม่ควร "ออกเองโดยพละการ" ตรงนี้เป็น ดาบ 2 คม "มีคุณอนันต์ แต่ก็ มีโทษมหันต์" เช่นกัน

    +++ หากไม่มีการฝึกที่เป็น "กิจจะลักษณะจริง" อันตรายอาจมีได้ "ทุกขณะจิต" ขั้นต่ำที่สุด คือ "หลงอวกาศ"

    +++ "สติรู้" จะต้องถึงขั้น "ไร้อัตตา" เสียก่อน จึงจะ "เอาตัวรอดปลอดภัย" ได้ ตรงนี้ขอ "ย้ำเตือนด้วยความปรารถนาดี" นะ

    +++ คราวหน้าให้ "ฝึก เร่ง/ลด ตรึง/แช่/อยู่" ในขณะที่ "ออกมานอกร่างด้วย" แล้วก็จะถึงขั้น "ไม่ต้องอาศัยร่าง (ตาย) ก็ฝึกต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ"
    ==================================================
    +++ คงไม่มีปัญหาแล้วนะ ว่า "กายที่แท้จริง คือ อะไร" นรก/สวรรค์/พรหม ต่าง ๆ ล้วนมีสิ่งที่เรียกว่า "กาย" ทั้งสิ้น

    +++ กายนี้แหละที่ "เสพ" ทุกข์/สุข ในสภาวะสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทุกชนิด (หัวโดนเพดานล็อค ถอนมาแล้วก็ "ยังเจ็บอยู่")

    +++ ก็ กายนี้นี่แล... ที่เปลี่ยนสภาพไปมา ตามกำลังของ "สติ VS กิเลส"

    +++ ดังนั้น "ทุกข์/สุข อบาย/สบาย" มีอยู่จริง แม้ในขณะที่ "ไร้สภาพกายเนื้อ"

    +++ นี่แล... อย่าประมาท หากยังไม่สามารถ "ฝึกฝน จนเอาตัวรอด ในสภาวะที่ ไร้กาย" ได้แล้วละก็

    +++ สภาพที่ "ไร้กาย" นี้มัน ยาวนาน ต่างกับเวลาของ ภพที่ใช้กายเนื้อนี้ แน่นอน
    ==================================================
    +++ ตรงนี้ "ให้หยุด แล้วแช่ อาการหยุด" ไว้อย่างเดียว โดยตัดอาการ "ข้างล่าง" นี้ออกไป
    +++ เหลืออยู่แค่ "กายหยุด จิตหยุด" โดยไร้สิ่งที่อยู่ "ภายนอกกาย"

    +++ อาการนี้ จะเป็น "5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์" คือ "หยุดสนิท ทั้งกาย/จิต"

    +++ จากนั้น "ให้อยู่ในอาการของ ปัสสัทธิ" นี้จนมัน "มั่นคงได้ด้วย ตัวของมันเอง"

    +++ ถึงตรงนี้แล้วก็จะเป็นอาการของ "6. สมาธิสัมโพชฌงค์"

    +++ ให้ปล่อยเอาไว้เฉย ๆ จนอาการ "มั่นคง จางคลายสลายไป"

    +++ เหลืออยู่แต่ "สติรู้" ที่เป็น เอกเทศ เพียงอย่างเดียว

    +++ ซึ่งจะเป็น "อุเบกขา ไม่เกาะเกี่ยว กับสิ่งใดทั้งปวง"

    +++ "สิ่งใดจะเกิด สิ่งใดจะดับ" ก็ไม่ไปเกาะเกี่ยวด้วย ตรงนี้เทียบได้กับ "เนวสัญญา"

    +++ จากนั้น จึงเกิดอาการ "วางทุกอย่างที่ เกิด/ดับ" ออกไปจน "พ้นจาก เกิด/ดับ" ทั้งปวง

    +++ อาการของ "สติรู้" ที่วางสัพสิ่งที่ "เกิด/ดับ" ได้นี้คือ "7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์"

    +++ และ นี่แล.... คือ....

    ==================================================
    +++ จาก http://www.nkgen.com/35.htm

    โพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้

    "ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ เป็นธรรมทําให้มีจักษุ ทําให้มีญาณ

    ส่งเสริมความเจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นข้างความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน"

    (สํ.ม. ๑๙/๕๐๒/๑๓๗)
    ==================================================
    +++ ดังนั้น คงพอเข้าใจได้ถึง "บทแรกในกระทู้ฝึก กรรม-ฐาน" ได้แล้วนะ ว่า...
    +++ นั่นแล... "ส่วน เกิด/ดับ เป็นส่วนของ กรรม เป็น Dynamic เป็นสังขตะธรรม"

    +++ ส่วน "สติรู้ (สัมโพชฌงค์)" เป็นส่วนของ "ฐาน ไร้การเกิด/ดับ เป็น Static เป็น อสังคตะธรรม"

    +++ คุณ new5336 คงพอ "เข้าใจได้ไม่ยาก" นะครับ
     
  14. new5336

    new5336 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    9
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13

    ขอบพระคุณมากๆค่ะ อ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีเลย ตอนนี้กำลังตามอ่านในกระทู้ฝึก กับบทความในกูเกิ้ล+ Meditation Science อยู่นะคะ
    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
     
  15. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    9786164742611.jpg

     
  16. new5336

    new5336 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    9
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13

แชร์หน้านี้

Loading...