หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ / โสณฑัณฑพราหมณ์ l ผู้สร้างธรรมเนียมเคารพใหม่

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    ปิงคิยานีพราหมณ์ l "อุบาสก ผู้เผยแผ่ธรรมในวัชชี" #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 18, 2025

    การณปาลีสูตร - ปิงคิยานีพราหมณ์ทูลสรรเสริญพระพุทธเจ้า *ปิงคิยานีพราหมณ์* อุบาสกผู้เผยแผ่ธรรมะในวัชชี โดยเน้นย้ำถึงศรัทธาอันแรงกล้าของท่านต่อพระพุทธเจ้า ท่านมักจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แต่เช้าตรู่ และได้สนทนากับ *กาลณปาลีพราหมณ์* เพื่อชี้แจงถึงคุณประโยชน์ของการฟังธรรม โดยยกอุปมาเปรียบเทียบต่างๆ เช่น การเปรียบธรรมะกับการได้น้ำผึ้ง หอมไม้จันทน์ การรักษาโรค หรือการได้ลงอาบน้ำในสระน้ำเย็น อันนำมาซึ่งความสงบและปิติยินดี บทความยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ปิงคิยานีพราหมณ์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับเจ้าลิจฉวี และได้ถวายผ้า 500 ผืนแด่พระพุทธองค์ ซึ่งเป็นโอกาสให้พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงรัตนะ 5 ประการที่หาได้ยากยิ่งในโลก ซึ่งรวมถึงพระตถาคต ผู้แสดงธรรม ผู้รู้แจ้งธรรม และผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม รวมถึงผู้ที่มีความกตัญญู บทความนี้จึงเน้นย้ำถึง *ความสำคัญของพระธรรม* และ *ความประเสริฐของพระพุทธเจ้า* ผ่านเรื่องราวของปิงคิยานีพราหมณ์และพราหมณ์อื่นๆ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    พระวังคีสเถระ l ผู้รับจ้างดีดกระโหลก "เอตทัคคะฝ่ายผู้มีปฏิภาณ" #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 21, 2025

    พระวังคีสะ (Phra Vangisa) เป็นพระเถระที่ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะ คือเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้มีปฏิภาณ
    *ภูมิหลังและวิชาชีพเดิม* เดิมที พระวังคีสะเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่นครสาวัตถี ท่านได้รับการศึกษาจนจบไตรเพทและมีความชำนาญเป็นที่พอใจของอาจารย์ อาจารย์จึงได้สอนมนต์พิเศษที่ชื่อว่า "ชวสีสมมุน" ให้ ซึ่งเป็นมนต์ที่ใช้พิสูจน์ศีรษะซากศพมนุษย์ที่ตายไปแล้วถึง 30 ปีได้ โดยการใช้นิ้วหรือดีดที่กะโหลกก็สามารถรู้ได้ว่าเจ้าของกะโหลกนั้นตายไปเกิดเป็นอะไรและเกิดที่ไหน พระวังคีสะมีความเชี่ยวชาญในมนต์นี้มาก จึงอาศัยมนต์นี้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต และเริ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือมากขึ้น ต่อมาท่านได้ตั้งคณะมีผู้ร่วมงานทำกันเป็นระบบ มีการโฆษณาชักชวนให้คนมาใช้บริการ และเดินทางไปทั่วตามเมืองต่าง ๆ ผู้คนจะนำกะโหลกของญาติที่ตายไปแล้วมาให้พิสูจน์กันมากมาย ทำให้คณะของวังคีสะได้รับสิ่งตอบแทนมากมาย ทั้งสิ่งของ อาหาร และเงินจำนวนมาก จนมีฐานะร่ำรวยขึ้น
    *การพบพระพุทธเจ้า* ขณะที่คณะของพระวังคีสะเดินทางท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วย้อนกลับมายังเมืองสาวัตถี พักอยู่ในที่ไม่ไกลจากประตูพระเชตวันมหาวิหารมากนัก พวกเขาเห็นประชาชนถือดอกไม้และเครื่องสักการะไปยังวัดพระเชตวัน จึงถามว่าไปไหนกัน ประชาชนตอบว่า "จะไปฟังเทศน์ที่วัดพระเชตวัน" คณะของวังคีสะจึงชักชวนว่า "มาหาบังคีสาร จะดีกว่า เพราะท่านสามารถรู้ว่าคนที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร ไปเกิดที่ไหน" พุทธบริษัทโต้แย้งว่า "ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดจะรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าของพวกเราได้หรอก" การโต้ตอบนี้กลายเป็นการโต้เถียงที่รุนแรงขึ้นและไม่เป็นที่ยุติ กลุ่มของวังคีสะจึงตามไปที่พระเชตวันมหาวิหารเพื่อพิสูจน์ความสามารถว่าใครจะเหนือกว่ากัน
    *การทดสอบและข้อจำกัดของมนต์*
    พระพุทธเจ้าทรงทราบวัตถุประสงค์ของกลุ่มวังคีสะเป็นอย่างดี จึงรับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมา 5 กะโหลก ได้แก่:
    1. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดในนรก
    2. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดในสวรรค์
    3. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    4. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดเป็นมนุษย์
    5. กะโหลกของพระอรหันต์
    เมื่อได้กะโหลกศีรษะครบแล้ว ได้มอบให้วังคีสะตรวจสอบว่าเจ้าของกะโหลกเหล่านั้นไปเกิดที่ไหน วังคีสะตรวจสอบกะโหลกเหล่านั้นไปตามลำดับ และสามารถทราบสถานที่ไปเกิดได้อย่างถูกต้องทั้ง 4 กะโหลกแรก แต่พอมาถึงกะโหลกสุดท้ายซึ่งเป็นกะโหลกของพระอรหันต์ ท่านไม่สามารถทราบได้ ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของกะโหลกว่าไปเกิดที่ไหน วังคีสะจึงนิ่งอยู่คู่หนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า "วังคีสะรู้หรือไม่" วังคีสะตอบว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ พระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ตถาคตรู้" และเมื่อวังคีสะถามว่าทรงทราบด้วยมนต์อะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ด้วยกำลังมนต์ของตถาคตเอง"
    *การอุปสมบทและการบรรลุอรหัตผล*
    จากนั้น วังคีสะได้กราบทูลขอเรียนมนต์นั้นจากพระบรมศาสดา ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับจะสอนให้ แต่มีข้อแม้ว่า "ผู้เรียนจะต้องบวช จึงจะสอนให้" วังคีสะคิดว่าถ้าเรียนมนต์นี้จบก็จะไม่ใครเทียมได้ จะเป็นประโยชน์แก่อาชีพของตนเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกให้พราหมณ์ร่วมคณะเหล่านั้นรออยู่สัก 2-3 วัน เมื่อบวชเรียนมนต์จบแล้วก็จะสึกออกไปร่วมคณะกันต่อไป เมื่อวังคีสะบวชแล้ว พระบรมศาสดาประทานกรรมฐานมีอาการ 32 เป็นอารมณ์ รับสั่งให้สาธยายท่องบริกรรมพร้อมทั้งพิจารณาไปด้วย ฝ่ายพราหมณ์ที่คอยอยู่ก็มาถามเป็นระยะ ๆ ว่าเรียนมนต์จบหรือยัง วังคีสะก็ตอบว่ากำลังเรียนอยู่ ไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่หวนกลับมาสึกออกไปประกอบอาชีพฆราวาสเช่นเดิมอีกแล้ว จึงได้แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัยของตน
    *บทบาทหลังการบรรลุธรรมและปรินิพพาน*
    พระวังคีสะเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เป็นกำลังช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเมื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคครั้งใดก็จะกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณบทหนึ่งอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้มีปฏิภาณ คือมีความสามารถในการผูกบทกวีคาถา ท่านดำรงอายุสังขารสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    สุปปพุทธกุฏฐิ l "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" คนโรคเรื้อนบรรลุโสดาบัน #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 6, 2025

    สุปพุทธกุฏฐิ เป็นบุคคลที่มีชื่อว่า สุปพุทธะ
    *เขาเป็นชายยากจนขัดสน ผู้ยิ่งใหญ่* เขาเป็นคนกำพร้า ขัดสน ยากไร้ ในกรุงราชคฤห์ *เขาเป็นโรคเรื้อน อย่างหนัก* ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ถูกเรียกว่า สุปพุทธกุฏฐิ *เขาเป็นผู้ที่ยากจนเข็ญใจกว่าใครๆ ในกรุงราชคฤห์* ชีวิตความเป็นอยู่ของเขายากลำบากมาก เขาใช้ผ้าเก่าที่ผู้คนทิ้งไว้ที่กองขยะมานุ่งห่ม และถือกระเบื้อง (ชาม) เที่ยวไปตามบ้านเรือนเพื่อขออาหาร แต่ไม่เคยได้ของหรือได้กินตามที่ชอบใจต้องการเลย สภาพชีวิตที่ยากลำบากและโรคเรื้อนของสุปพุทธกุฏฐิ เกิดจาก *อกุศลกรรมในปางก่อนเบียดเบียน* มีสองเหตุการณ์สำคัญที่กล่าวถึง:
    1. *เหตุการณ์ฆาตกรรม:* ในอดีตชาติ สุปพุทธะเคยเกิดเป็นบุตรเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ เขาและเพื่อนสนิทอีก 3 คน ซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีเช่นกัน ได้พาหญิงโสเภณีผู้มีเครื่องประดับมากไปร่วมอภิรมย์ด้วยตลอดวัน เมื่อถึงเวลาค่ำ *พวกเขาได้ร่วมกันฆ่าหญิงนั้นเพื่อชิงเอาทองคำมูลค่า 1,000 กหาปนะ* และเครื่องประดับอื่นๆ ไป ก่อนตาย หญิงนั้นได้ตั้งความปรารถนาด้วยความอาฆาตว่า คนเหล่านี้ไร้ยางอาย ไร้ความกรุณา ทำสันทวะด้วยอำนาจกิเลสแล้วยังฆ่าตนผู้ไม่มีความผิดเพราะความโลภในทรัพย์ พวกเขาฆ่าตนได้เพียงครั้งเดียว แต่ตนจะขอเกิดเป็นนางยักษ์เพื่อจะได้ฆ่าพวกเขาทั้งสี่คนได้หลายครั้ง หญิงนั้นเมื่อตายไปได้ไปเกิดเป็นนางยักษินีในสมัยพุทธกาล ในพุทธกาลนั้น บุคคลทั้งสี่ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้แก่ ปุคุสาติกุลบุตร (บรรลุอนาคามิผล), สุปพุทธกุฏฐิ (บรรลุโสดาปัตติผล), พาหิยะ ทารุจิริยะ (บรรลุพระอรหันต์), และนายเพชรฆาตข่าวแดง บุคคลทั้งสี่ท่านนี้ *ถูกนางยักษินีซึ่งแปลงร่างเป็นแม่ครูกิด (แม่โคป่า) ฆ่าตายทั้งหมด*
    2. *เหตุการณ์ดูหมิ่นพระปัจเจกพุทธเจ้า:* ในอดีตชาติอีกครั้ง สุปพุทธะเคยเกิดเป็นบุตรเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ ขณะเที่ยวเล่นในสวน เขาได้พบเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ตักสิกขี ผู้กำลังบิณฑบาตในเมือง เขาคิดดูหมิ่นว่า "คนโรคเรื้อนเที่ยวไปขอเขากิน" เขาได้ *กล่าวหาว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ถ่มน้ำลาย แล้วหลีกหนีไปทางด้านซ้าย* ซึ่งเป็นการแสดงความดูหมิ่นไม่ให้ความเคารพ การให้ความเคารพที่ถูกต้องคือการหลีกไปทางขวา ด้วยบาปกรรมนั้น *ทำให้เขาต้องตกนรกหมกไหม้อยู่สิ้นแสนปี*
    *ผลกรรมที่ยังคงเหลืออยู่ (เศษอกุศล)* เมื่อเขาได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว จึงทำให้เขาขัดสน กำพร้า ยากไร้ และต้องเป็นโรคเรื้อน วันหนึ่ง สุปพุทธะเดินผ่านมาทางวิหารเวฬุวัน เห็นมหาชนจำนวนมากมาประชุมกันอยู่ เขาเกิดความหิว จึงคิดว่าถ้าเข้าไปในวัด อาจจะได้ของกินบ้าง เมื่อเข้าไปภายในวิหารแล้ว เขาก็พบว่าไม่มีของกิน มีแต่ผู้คนมานั่งฟังธรรม แต่ถึงกระนั้น เขาก็ตัดสินใจว่าจะลองฟังธรรมดูบ้าง พระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งในใจของพุทธบริษัท ทรงพิจารณาว่าจะมีใครบ้างที่ควรจะรู้แจ้งธรรมได้ *พระองค์ทรงทราบว่า สุปพุทธกุฏฐิมีความสามารถที่จะรู้แจ้งธรรมได้* จึงได้ตรัส *อนุบุพพิกถา* ซึ่งเป็นการแสดงธรรมไปตามลำดับ คือ เรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และอานิสงส์ของการออกจากกาม (เนกขัมมะ) เมื่อทรงทราบว่าจิตของสุปพุทธกุฏฐิมีความพร้อมสำหรับธรรมที่สูงขึ้นแล้ว *พระองค์ก็ทรงแสดงอริยสัจ 4* ผลจากการได้ฟังพระธรรมเทศนา *สุปพุทธกุฏฐิก็ได้เกิดธรรมจักสุขึ้นในใจ และได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน* *เขาเป็นผู้มีธรรมที่ได้บรรลุแล้ว มีธรรมที่ได้รู้แจ้งแล้ว มีธรรมที่ได้หยั่งถึงแล้ว* เขาข้ามพ้นความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า และ *ไม่เชื่อต่อผู้อื่นในศาสนาของพระศาสดา (พระพุทธเจ้า) อีกต่อไป* พระพุทธเจ้าได้ตรัสยืนยันว่า สุปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบัน เพราะได้สิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการ *เขาเป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา และเป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้ (บรรลุธรรมที่สูงขึ้น) ในภายหน้า* หลังจากบรรลุธรรมแล้ว สุปพุทธกุฏฐิได้ลุกจากที่นั่ง เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ได้ถวายบังคมและกราบทูลชมเชยพระธรรมเทศนา พร้อมทั้ง *ประกาศตนเป็นอุบาสกผู้นับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต* พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้แจงให้เขาเห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรม จากนั้น เขาจึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระพุทธเจ้า และกระทำประทักษิณ (เดินเวียนขวา 3 รอบ) แล้วเดินกลับออกจากวิหาร หลังจากออกจากวิหารไปไม่นานนัก *สุปพุทธกุฏฐิก็ถูกแม่โคแม่ลูกอ่อนขวิดจนถึงแก่ความตาย* เหตุการณ์นี้สอดคล้องกับคำอธิษฐานของนางยักษินีในอดีตชาติที่ต้องการฆ่าเขาทั้งสี่คน เมื่อภิกษุทั้งหลายเข้าเฝ้าและกราบทูลเรื่องการตายของสุปพุทธกุฏฐิ และทูลถามถึงภพชาติของเขาหลังจากตายแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า *สุปพุทธกุฏฐิเป็นบัณฑิตผู้มีปัญญา ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม* และไม่ทำให้พระองค์ต้องลำบากในการแสดงธรรมแก่เขา พระองค์ตรัสย้ำอีกครั้งว่า สุปพุทธกุฏฐิได้เป็นพระโสดาบันแล้ว *เมื่อตายแล้ว เขาจึงไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เข้าถึงความเป็นเทวดาในชั้นดาวดึงส์*
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    พระอุปวาณเถระ l หนึ่งในพุทธอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า #พระยสะ #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 22, 2025

    พระอุปวาเถระ เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะอดีตพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้บรรลุอรหัตผลและมีอภิญญา 6
    *ภูมิหลังและบุพกรรม*
    ในอดีตกาลหลายแสนกัปที่ผ่านมา ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระอุปวาเถระในชาตินั้นเกิดในตระกูลคนรับจ้างในนครหังสาวดี ด้วยผลของอกุศลกรรมบางอย่าง เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน มหาชนได้สร้างพระมหาเจดีย์สูง 7 โยชน์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เทวดาได้แต่งตั้งเสนาบดีชื่ออภิสัมมัตกะเป็นผู้รักษาเครื่องบูชา ท่านเห็นมหาชนเลื่อมใสในการบูชาพระเจดีย์ จึงปรารถนาจะเป็นทายาทในธรรมของพระองค์ในอนาคต ท่านจึงนำผ้าห่มที่ซักสะอาดแล้วผูกกับไม้ไผ่ทำเป็นธงถวายเป็นพุทธบูชา ยักษ์อภิสัมมัตกะได้นำธงนั้นลอยขึ้นไปในอากาศกระทำประทักษิณพระเจดีย์ 3 รอบ เมื่อเห็นดังนั้น ท่านมีจิตเลื่อมใสยิ่งนัก ได้เข้าหาภิกษุรูปหนึ่งถามถึงผลของการถวายธง พระเถระได้พยากรณ์ว่า ท่านจะได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกตลอด 30,000 กัป ได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวราชสมบัติ 80 ครั้ง และเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 1,000 ครั้ง รวมถึงเป็นพระเจ้าประเทศอันไพบูลย์โดยนับมิได้ เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกและปรินิพพาน พระธาตุสรีระของพระองค์มีอยู่แห่งเดียว และผู้คนได้สร้างพระเจดีย์สูง 1 โยชน์ ท่านก็ได้จุติมาเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์นั้น ตามคำอธิษฐานที่ตั้งไว้ การที่ท่านเคยเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้ากัสสปะมาก่อน เป็นเหตุให้ท่านมีอานุภาพและอำนาจมากในภายหลัง *การเป็นพุทธอุปัฏฐาก*
    พระอุปวาเถระเคยเป็นพุทธอุปัฏฐากอยู่ระยะหนึ่งในช่วงต้นพุทธกาล ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่มีพระพุทธอุปัฏฐากประจำ ในบางครั้งพระนาคสมาระ พระนาคิตะ พระสุนักขัตตะ พระจุนทะสามเณร และพระเมคิยะก็เคยเป็นผู้อุปัฏฐากเช่นกัน พระอุปวาเถระได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าในทุกอย่าง เช่น กวาดบริเวณ ถวายไม้ชำระพระทนต์ จัดถวายน้ำสงฆ์ ถือบาตรจีวรตามเสด็จ มีครั้งหนึ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงประชวรด้วยลมในท้อง อาการนี้มีมาตั้งแต่ครั้งที่ทรงกระทำทุกรกิริยา 6 พรรษา โดยการเสวยถั่วเขียวและถั่วพูเพียงเล็กน้อย ทำให้ลมในพระอุทรกำเริบ แม้ภายหลังบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณและเสวยโภชนะอันประณีตแล้ว อาพาธนั้นก็ยังปรากฏเป็นระยะๆ ครั้งนั้น พระอุปวาเถระได้เป็นอุปัฏฐากอยู่ ท่านได้ตื่นแต่เช้าตรู่ และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกให้ต้มน้ำร้อนเพื่อฉัน ท่านก็รับบัญชา ในสมัยนั้น พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงอนุญาตการต้มน้ำแก่ภิกษุทั้งหลาย ท่านจึงเข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์ ซึ่งเป็นสหายเก่าแก่สมัยเป็นคฤหัสถ์ พราหมณ์ผู้นี้เลี้ยงชีพด้วยการตั้งโรงอาบน้ำร้อน เมื่อพราหมณ์ทราบว่าพระโคดมไม่สบายด้วยโรคลมในท้อง ก็แนะนำยาให้ละลายน้ำอ้อยด้วยน้ำร้อนเล็กน้อยถวายให้ดื่มในเวลาสนธยา เขาบอกว่าพระเสโทจะซึมออกมาภายนอกพระสรีระ และลมในท้องจะหายไปด้วยยา เทวหิตพราหมณ์ได้ให้คนใช้ถือกาต้มน้ำร้อนและห่อน้ำอ้อยตามไปถวายพระอุปวาเถระ ท่านจึงนำไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า และเมื่อทรงเสวยน้ำอ้อยนั้น พระองค์ก็ทรงหายประชวร
    *เหตุการณ์ปรินิพพาน*
    แม้หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำแล้ว ในวาระสุดท้ายเมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานที่สารวโนทยาน เมืองกุสินารา พระอุปวานะก็ได้ยืนทำหน้าที่ถวายงานอยู่เบื้องพระพักตร์พระพุทธองค์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุที่มาประชุมกันเพื่อเข้าเฝ้าและถวายบังคมพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้ายไม่สามารถเข้าเฝ้าได้ เพราะเห็นท่านอุปวานะยืนขวางอยู่ พระเถระมีรูปร่างใหญ่เหมือนลูกช้าง และเมื่อห่มผ้าบังสุกุลจีวรก็ยิ่งทำให้ดูตัวใหญ่มาก เทวดาไม่สามารถมองทะลุพระอรหันต์ (พระขีณาสก) ได้ และไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ เพราะพระเถระมีอานุภาพมาก เทวดาเหล่านั้นจึงติเตียนพระเถระ พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุที่เทวดาติเตียนพระเถระ จึงได้รับสั่งให้ท่านพระอุปวาหลีกไป ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น พระเถระก็วางพัดใบตาลแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระอานนท์เห็นดังนั้นก็บังเกิดความสงสัยว่าเหตุใดพระพุทธองค์จึงทรงขับไล่ท่านอุปวาผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดมานานในวาระสุดท้ายเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า เทวดาในหมื่นโลกธาตุมาประชุมกันเพื่อจะเห็นพระตถาคตในเมืองกุสินารา สารวันของพวกเจ้ามัลละนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 12 โยชน์รอบด้าน ตลอดทุกแห่งหนไม่มีที่ว่างแม้เพียงปลายขนทรายจะจรดลง พวกเทวดาเหล่านั้นกล่าวโทษอยู่ว่าพวกเขามาแต่ที่ไกลเพื่อจะเห็นพระตถาคต แต่ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ยืนบังอยู่เบื้องพระพักตร์ทำให้พวกเขาไม่ได้เห็นพระตถาคตในกาลเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุนี้เอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงขับพระเถระเพื่อมิให้ขัดขวางการเข้าชมพระบารมีของเหล่าเทวดาทั้งหลาย
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    โสณฑัณฑพราหมณ์ l ผู้สร้างธรรมเนียมเคารพใหม่ #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 7, 2025

    *โสณทัณฑพราหมณ์* ผู้สร้างธรรมเนียมความเคารพใหม่ ท่านครอบครองนครเล็กๆ ชื่อ *จำปา* ซึ่งเป็นนครที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้เป็นบำเหน็จ ท่านสามารถจัดเก็บภาษีจากผู้คนในนครได้ ทำให้ท่านมีฐานะมั่นคง เนื่องจากนครจำปาอุดมไปด้วยผู้คน หมู่สัตว์ หญ้า ไม้ น้ำ และธัญญาหาร โสณทัณฑพราหมณ์ได้รับการพรรณนาว่ามีคุณสมบัติหลายประการ เช่น:
    • เป็นอุโตสุชาติ ถือกำเนิดดีในวรรณะพราหมณ์ บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา
    • มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก
    • จบไตรเพท
    • มีรูปงดงาม น่าเลื่อมใส
    • ยังสอนมนต์แก่มนพถึง 300 คน
    เมื่อท่านได้ข่าวว่าพระสมณโคดม (พระพุทธเจ้า) กำลังเสด็จมายังนครจำปาและประทับอยู่ใกล้สระโบกขรณีคักคาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ 500 รูป และเห็นชาวนครจำปาพากันเดินทางออกไปเข้าเฝ้าพระองค์ ท่านจึงสั่งให้คนสนิทไปบอกให้ผู้คนเหล่านั้นรอ เพราะท่านเองก็จะไปด้วย อย่างไรก็ตาม พวกพราหมณ์ที่มากับท่านประมาณ 500 คน ได้พากันเข้ามาห้ามท่านไม่ให้ไปเข้าเฝ้า โดยกล่าวว่าพระสมณโคดมควรจะมาหาท่านมากกว่า เนื่องจากท่านมีคุณสมบัติที่ดีพร้อมตามที่ได้กล่าวมา แต่โสณทัณฑพราหมณ์ฟังแล้วไม่ชอบใจ ท่านคิดที่จะหักล้างความคิดของพวกเขาและยืนยันว่าตนเองต่างหากที่จะต้องไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม ท่านได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เช่น ทรงเป็นอุปโทสุชาติ (มีความบริสุทธิ์ดีทั้งสองฝ่าย), ทรงสละหมู่พระญาติ สละเงินทอง และราชสมบัติทั้งหมด, มีพระรูปงาม มีผิวพรรณดังพรหม มีศีล และทรงสิ้นราคะแล้ว แม้แต่พระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ยังทรงถึงพระองค์เป็นสรณะ ระหว่างทางที่จะไปเข้าเฝ้า โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความวิตกกังวลว่า หากท่านถามปัญหาแล้วพระองค์ตรัสว่าไม่ดี ไม่ควรถาม หรือหากพระองค์ถามแล้วท่านตอบไม่ได้ ผู้คนก็จะหาว่าท่านโง่ ซึ่งจะทำให้ยศและทรัพย์ของท่านเสื่อม พระพุทธเจ้าทรงทราบความกังวลเหล่านี้ของพราหมณ์ เมื่อเข้าเฝ้าแล้ว พระองค์ทรงเลือกถามปัญหาที่โสณทัณฑพราหมณ์เชี่ยวชาญ คือ ปัญหาในไตรเพท โดยตรัสถามว่า ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติกี่อย่างจึงจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ หรือควรเรียกตนเองว่าเป็นพราหมณ์ได้ โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่าต้องมี 5 อย่าง ได้แก่
    1) มีชาติที่ดี
    2) จำมนต์ในพระเวทได้
    3) มีผิวพรรณดี
    4) เป็นผู้มีศีล
    5) เป็นผู้มีปัญญา
    พระพุทธเจ้าทรงถามต่อว่า หากจะตัดเหลือ 4 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อผิวพรรณดีออกได้ หากเหลือ 3 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อจำมนต์ออกได้ หากเหลือ 2 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อกำเนิด (ชาติ) ออกได้ เมื่อมาถึงตรงนี้ พวกพราหมณ์ที่มาด้วยได้คัดค้านท่านว่าอย่าพูดเช่นนั้น ท่านจะเสียทีพระสมณโคดมได้ โสณทัณฑพราหมณ์จึงตอบโต้โดยยกตัวอย่างหลานชายของท่านชื่อ *อังคกานพ* ที่มานั่งอยู่ด้วย อังคกานพมีผิวพรรณดี จำมนต์ได้ และเกิดในตระกูลบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย แต่ก็ยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ และดื่มน้ำเมา ดังนั้น มนต์และชาติกำเนิดจึงไม่สำคัญเท่า ท่านยืนยันว่า *เมื่อใดที่พราหมณ์เป็นผู้มีศีลและปัญญา 2 คุณสมบัตินี้ จึงควรบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์* และควรเรียกตนเองว่าเป็นพราหมณ์ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า หากตัดเหลือเพียงข้อเดียวจะได้ไหม ท่านตอบว่าตัดอีกไม่ได้แล้ว เพราะศีลชำระปัญญา ปัญญาชำระศีล ในที่ใดมีศีล ในที่นั้นมีปัญญา ในที่ใดมีปัญญา ในที่นั้นมีศีล ศีลกับปัญญาเปรียบเหมือนใช้มือล้างมือ ใช้เท้าล้างเท้า คือชำระซึ่งกันและกัน *ศีลกับปัญญาจึงกล่าวได้ว่าเป็นยอดในโลก* พระพุทธเจ้าทรงรับรองธรรมของพราหมณ์ว่าถูกต้อง จากนั้นได้ตรัสอธิบายกระบวนธรรมที่ทำให้ตรัสรู้ คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ฌาน 4 และวิชา 8 หลังจบพระธรรมเทศนา โสณทัณฑพราหมณ์ได้กราบทูลสรรเสริญและแสดงตนเป็น *อุบาสก ถึงสรณะตลอดชีวิต* พร้อมทั้งอาราธนาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น ในรุ่งเช้า หลังถวายภัตตาหารแล้ว โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความกลัวว่า ชื่อเสียงและทรัพย์ของตนจะเสื่อม หากผู้คนรู้ว่าตนนับถือพระพุทธเจ้าซึ่งยังหนุ่มกว่า ท่านจึงกราบทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจว่า ตนเองนับถือพระองค์มานานแต่ไม่สามารถแสดงออกได้ ขอให้พระองค์เข้าใจว่าการกระทำบางอย่างของท่านนั้นเท่ากับการแสดงความเคารพ เช่น:
    • หากอยู่ในท่ามกลางผู้คนแล้วประคองอัญชลีขึ้น ก็เท่ากับลุกขึ้นจากอาสนะถวายบังคมแล้ว
    • หากถอดเครื่องโพกศีรษะออก ก็เท่ากับอภิวาทด้วยศีรษะแล้ว
    • หากกำลังนั่งอยู่ในยานแล้วยกประตักขึ้น (หรือถอนบังเหียน) แสดงว่าลงจากยานทำความเคารพแล้ว
    • หากรถล้มลง แสดงว่าอภิวาทด้วยศีรษะแล้ว (อันนี้น่าจะเป็นการเปรียบเทียบที่แสดงถึงความเคารพอย่างสุดซึ้ง แม้เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ตีความว่าเป็นการก้มเคารพ)
    พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาทานด้วยธรรมแล้วเสด็จกลับ แหล่งข้อมูลระบุว่า ด้วยความประพฤติเช่นนี้ของพราหมณ์ แม้จะได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม *ก็ไม่อาจได้สัมผัสคุณประโยชน์ที่ควรจะได้รับเต็มที่เลย* แต่ก็จะเป็นวาสนาในกาลต่อไป ท้ายที่สุดแหล่งข้อมูลได้กล่าวถึงคาถาว่า "คบหากับคนประเสริฐ ก็จะพลอยประเสริฐไปด้วย" (ไซยยโส ไสยยโส โหติโย ไสยมุปเสวติ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...