ฮวงจุ้ยชีวิตที่ "วราวุฒิ บูลกุล" ลิขิตเอง

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย paang, 20 มกราคม 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG]

    ในวันที่ 'เป้' วราวุฒิ บูลกุล หนุ่มวัย 40 ปีต้นๆ ผู้ก่อตั้ง เฮ้าส์ ออฟ อินดี้ส์ ศรัทธากับประโยคที่ว่า "ถ้าเราเชื่อว่าบางอย่างมี มันก็มี" มันก็กลายเป็นคำตอบต่อคำถาม ที่หลายๆ คนสงสัยในการหันมาสนใจหลักฮวงจุ้ยของเขา ทั้งๆ ที่มีโลโก้แปะหน้าผากว่า เป็นผู้ก่อตั้ง เฮ้าส์ ออฟ อินดี้ส์ สถานที่รวมของผู้คนที่มีแนวคิดด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างอิสระ พร้อมๆ กับคำอธิบายตามมาว่า "ก็ไม่แปลกนะ

    เพราะศิลปวัฒนธรรมกับโหราศาสตร์มันก็คือเรื่องเดียวกันนั่นแหละ แต่ผมไม่ได้ถึงกับงมงายอะไรนะ ถ้าเราไม่เชื่ออะไรเลย แล้วสภาพร่างกายจิตใจยังดีอยู่ก็โอเค แต่เรายังไม่แข็งแรงพอ จึงต้องมีหลักมายึดเหนี่ยวให้ตัวเอง ซึ่งผมก็คือ หนึ่งในนั้น"

    เส้นทางการเดินมาสู่ฮวงจุ้ยของเขานั้น เกิดจากการอยากลองพิสูจน์คำพูดของซินแสคนหนึ่งที่ทักโน่นทักนี่มากมายว่า โรงแรมมโนห์รา ซึ่งมีพ่อเป็นเจ้าของอยู่ทำผิดหลักฮวงจุ้ยหลายอย่าง พร้อมกับการแก้ด้วยเงินมหาศาล เป้จึงลงทุนท้าพิสูจน์คำพูดนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งพอได้ศึกษาเขาก็พบว่าหลายสิ่งผิดหลักฮวงจุ้ย อย่างบันไดวนอยู่ตรงกลาง ถนนวิ่งเข้าชน (ถนนที่วิ่งเข้าสู่ออฟฟิศ) สร้างรูปร่างตึกผิดหลัก ฯลฯ มันมีอยู่ครบในโรงแรมแห่งนี้ แล้วเขาก็เริ่มต้นแก้เคล็ดด้วยการนำกระถางต้นไม้มาวาง ดูราศี นำโต๊ะมาจัดวางในที่ที่เหมาะสม ซึ่งค่าใช้จ่ายก็เป็นแบบสบายกระเป๋า แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น คือหลังจากแก้เคล็ดไม่ถึงเดือน ก็สามารถจับพนักงานที่โกงโรงแรมมานานหลายปีเกือบ 10 คน เลยยิ่งทำให้เขาเชื่อในเรื่องนี้มากขึ้น และเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง

    เวลาผ่านไปนานเกือบ 10 ปี เรื่องราวเหล่านี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตของเขาตลอด กระทั่งมีออฟฟิศเป็นของตัวเองบนชั้นดาดฟ้าอาคารประสานมิตรพลาซ่า หน้าที่สถาปนิกที่มีวิญญาณของซินแสสิงอยู่จึงกลายเป็นของเขาไปโดยตั้งใจ ห้องทำงานของที่นี่มีลักษณะเป็นรูปตัวแอล แต่ตามหลักที่ดีนั้นจะต้องเป็นสี่เหลี่ยม เขาจึงแก้ด้วยการตัดแบ่งเป็นสี่เหลี่ยม 2 ห้อง ห้องหนึ่งสำหรับผู้บริหารหนึ่งคน ส่วนอีกฝั่งก็เป็นห้องของตัวเอง โดยนำโคมไฟแชนเดอร์เลียมาแขวนตรงกลาง แต่ก็พบปัญหาที่ว่าเวลานั่งทำงานห้ามหันหลังเข้าหากันเดี๋ยวจะทะเลาะกัน ห้ามหันหลังให้ประตู เพราะเชื่อว่าอาจจะมีศัตรูปองร้าย อีกทั้งข้างหลังของที่นั่งจะต้องมีลักษณะทึบ ตามตำราว่าไว้อย่างนั้น แต่ด้วยการเชื่อแบบสมัยใหม่และใส่ใจในการตีความมากกว่าการทำอย่างตำราเป๊ะๆ ของเป้ จึงเปลี่ยนการตีความใหม่ แทนการไปรื้อห้องหรือหาสถานที่ทำงานใหม่ โดยการให้ผู้บริหารทั้งสองซึ่งนั่งอยู่คนละด้านของห้องหันหน้าเข้าหากันเหมือนเป็นหยินและหยาง คือจะมีลักษณะหมุนเมื่อคนหนึ่งร้อนก็จะหมุนมาหาคนที่เย็นกว่า โดยใช้โคมไฟแชนเดอร์เลียเป็นแกนกลาง ทำให้เกิดความสมดุลขึ้นได้

    แต่ทั้งนี้ แม้ความศรัทธาในหลักของฮวงจุ้ยจะมีพอสมควรแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ออฟฟิศของเขากลายเป็นร้านโชห่วยของอาซิ้มแก่ๆ ไป เพราะมันสามารถผสมผสานศิลปะลงไปได้อย่างลงตัวทีเดียว มีทั้งอุปกรณ์ท่อลมที่ออกแบบเองแทนการนำขลุ่ยไม้ไผ่มาห้อย บนคานที่มีอยู่เต็มออฟฟิศ รวมไปถึงการจัดทำเลให้ที่นั่งของพนักงานเลี่ยงกับการอยู่ใต้คานได้อย่างไม่ขัดเขิน การเปลี่ยนประตูกระจกจากสีชามาเป็นสีสว่าง เพื่อเป็นการล่อ "ชี่" หรือ พลังชีวิตเข้ามาตั้งแต่บันไดแล้วไหลไปหาแชนเดอร์เลียที่อยู่แกนกลาง ก่อนจะกระจายออก บนชั้นดาดฟ้าก็มีพระพิฆเนศตั้งหันหน้าในมุมพอดีกับการต้อนรับคนที่ขึ้นบันไดมา
    ส่วนปฏิกิริยาจากเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีหลากหลายความคิดความเชื่อ แต่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับศาสตร์นี้จาก "พี่เป้" แล้วก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้าน กลับกลายเป็นว่าสนใจมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะทำแล้วสบายใจ และสร้างกำลังใจให้มีมากขึ้น เลยมักจะมีน้องๆ มาปรึกษาเขาว่า จะต้องจัดเตียงนอนที่บ้านแบบไหน จะถูกโฉลกกับสีอะไร "ที่แก้นู่น จัดนี่ มาบางทีก็ลืมนึกไปว่า เออ มันดีขึ้นมาตลอดนะ และเรื่องดีๆ มันมาเร็วกว่าที่เราคาดไว้เยอะ มีพนักงานดีๆ เข้ามาหาเราเยอะ ทั้งๆ ที่เป็นองค์กรเล็กๆ มันไม่ได้รู้สึกว่าจัดฮวงจุ้ยแล้วมันทำให้เราแย่ลงเลย ถ้าเรารู้จักทำมันก็ไม่ได้เสียหายหรือลงทุนอะไรมากเลย มันอาจจะพิสูจน์ไม่ได้ว่าใช่รึเปล่า แต่มันก็เป็นศาสตร์หนึ่งที่ช่วยประคองเราตลอด ช่วยเป็นเหตุผลให้กับเรื่องที่ไม่มีเหตุผล มันก็ทำให้เราสบายใจได้ รู้ดีกว่าไม่รู้แต่ไม่ได้ยึดติด และมันก็มีส่วนที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น" เป็นการประเมินผลโดยรวม สำหรับ 10 ปีแห่งการภักดีในศาสตร์ฮวงจุ้ยของ "เป้" วราวุฒิ ถ้าจะปิดท้ายบทสัมภาษณ์ว่า "ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่" ก็อาจจะดูตลกเกินไปหน่อย เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ตลกนัก หากงมงายเกินไป และยังไม่ได้เข้าใจอย่างหลุดพ้น เหมือนผู้ชายคนนี้...

    ที่มา http://www.komchadluek.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...