เพื่อนๆผมหาว่าผมทำไรบ้าๆ

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย yakarick, 4 พฤษภาคม 2012.

  1. yakarick

    yakarick สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +8
    เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมได้คุยกับน้องคนนึงซึ่งคุยกันมานานมากประมาณ 3 ปีกว่าได้ ก่อนผมจะมีแฟนแต่ผมดันไปมีแฟนก่อนเพราะว่าผมคิดว่าเวลาโทรไปหาน้องเขาดึกๆ เขามักบอกผมว่าขออ่านหนังสือ ผมดันคิดไปเองว่าเขาไม่อยากคุย จนสอบเสร็จ เขาก็โทรมาหาผมเหมือนเดิม แต่ผมดันมีแฟนไปแล้ว ผมพยายามปฏิเสธไม่ให้เขามาหาผม ถ้าอยากไปไหนผมจะพาไปเอง เมื่อปีที่แล้ววันเกิดน้องเขาอยู่ๆน้องเขามาหาผมที่ห้อง แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรพอฝนหยุดก็พาไปกินข้าวแล้วซื้อเค้กแล้วส่งกลับบ้าน ผมก็ไม่ค่อยรับสายเท่าไหร่จนเราค่อยๆห่างกัน จนกระทั่งผมเลิกกับแฟนผม พอถึงตอนปีใหม่ผมแปลกใจปีนี้ไม่มีข้อความส่งมาหาเลยเพราะปรกติน้องเขาจะส่งมาให้ผมทุกเทศกาล อีกวันผมว่างผมก็เลยโทรไปหาน้องเขา ก็คุยก็เหมือนคนไม่เคยคุยกัน มีประโยคหนึ่งจากน้องเขาบอกว่าเขาไว้ใจผมมากตั้งแต่ที่ไปที่ห้องแล้วผมให้เกียรติเขา แล้วผมไม่รู้ว่าผมคิดได้ไงเลยพูดไปว่า "จริงๆพี่ก็คิดแหละ แต่พี่ก็มีแฟนอยู่แลัวถ้าเกิดพี่ทำไรไปแล้วเขารู้เขาคงเสียใจ แล้วถ้าเกิดพี่ทำอะไรน้องลงไปแล้วน้องรู้ว่าพี่มีแฟนแล้วน้องก็คงเสียใจ" ก็เงียบกันไปสักพัก แล้วเหมือนเขาอยากจะค่อยๆห่างผม ผมไปปรึกษาเพื่อนเฉพาะที่สนิทๆ ผมมีแต่คนว่าผมไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง ผมมานั้งคิดๆดูก็จริง สมน้ำหน้าตัวเองด้วยที่คนดีๆคนนึงจะหายไปจากชีวิตผม ถามว่าเศร้าไหมผมเศร้านะ แต่ผมไม่สามารถย้อนไปแก้ไขอดีตได้ อย่างน้อยเรื่องนี้อาจจะเป็นอุทาหรให้ใครได้บ้าง ผมมีอีกคำถามครับผมควรปล่อยเขาไปผมคิดถูกไหมครับ ขอบคุณครับ :z12
     
  2. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ปล่อยคนได้บุญเยอะกว่าปล่อยสัตว์ร้อยเท่า
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อย่าคิดมากกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่านะคะ
     
  4. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    คุณเป็นผู้มีศีลโดยอุปนิสัย อันหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน หาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรหลายร้อยเท่านัก.. ขอชื่นชมด้วยใจจริงคุณเป็นคน"พิเศษ"มากจริงๆ ถ้าว่าโลกนี้ มีคนอย่างคุณเพิ่มขึ้นเเม้เพียงสัก๑คน โลกก็เจริญขึ้นอีกมากแล้ว..

    จตนางดเว้นการล่วงละเมิดในหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาก็ดี หญิงที่มีผู้ดูแลเช่นมารดาบิดาเป็นต้นก็ดี ..นี้คือศีลข้อ๓...แม้เจตนาที่พูดความจริงไปด้วยปรารภประโยชน์ของผู้อื่น ก็เป็นการประพฤติศีลข้อ๔ คือเว้นการโกหกหลอกลวงเขา

    คุณทำในเรื่องที่ปุถุชนทั้งหลายทำได้ยากมาก "บัณฑิต"ย่อมแซร่ซ้องสรรเสริญครับ
    ส่วนอันธปุถุชน หรือผู้บอดเขลาและพาลชนเท่านั้นที่ติเตียน จึงไม่พึงใส่ใจในคำติเตียนนั้นเพราะไม่มีประโยชน์ใดๆแก่ตนเลย..

    พึงระลึกถึงพฤติกรรมนี้เนืองๆ จิตย่อมแล่นไปด้วยกุศลขั้นศีล อันจะมีวิบากที่ดีเท่านั้นมาสู่ตน และพึงรักษาคุณสมบัติอันพิเศษของตนเช่นนี้ไว้ตลอดไป ขออนุโมทนาครับ
     
  5. yakarick

    yakarick สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอบคุณมากๆเลยครับ ข้อคิดที่ผมได้จากทุกท่าน ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำงานต่อ ไม่ได้มาแต่มัวนี่งคิดเรื่องนี้ ถึงเวลาก็คงจะมาเอง
     
  6. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
  7. yakarick

    yakarick สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +8
    หนีไปต่างจังหวัดมาครับ กลับมาก็เหมือนจะทำได้ แต่มันก็ห่วงหาอยู่นิด คือผมห่วงไปเอง
     
  8. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
    มันเป็นธรรมชาติของจิต "ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต" เมื่อจิตมันคิดมาก ฟุ้งซ่านมาก ปรุงแต่งสมมติมาก เมื่อเสพย์อารมณ์จากความปรุงแต่งนั้นก็ทุกข์มาก เพราะจิตขาด สติ สมาธิ และ อุเบกขาจิต ผมจึงพยายามให้คุณทำสมาธิและรับรู้สัจธรรมเพื่อเข้าถึงอุเบกขาจิตให้มาก จะเป้นประโยชน์แก่คุณเอง เมื่อจิตคุณมีกำลังมากพอไม่ว่าเกิดเรื่องใดๆขึ้นแก่คุณ สภาพการพิจารณาเพื่อเข้าสู่อุเบกขาจิตนี้ก็จะเกิดขึ้นมาทันที
     
  9. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    สภาพของจิตใจย่อมเปลี่ยนแปรไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาอะไรของใครได้ นะครับ จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกเลยที่ท่านจขกท เกิดนึกถึงเธอขึ้นมา จะด้วยเพราะกลับมาสถานที่เดิมอันเป็นปัจจัยกระตุ้นให้คิดถึงเรื่องเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน หรือด้วยกำลังของกิเลสที่เรียกว่าตัณหา อันท่านจขกทผูกไว้ก็ตาม ย่อมทำให้หวั่นไหวได้ .. และดูเหมือนว่าท่านจขกท จะเป็นผู้มีธาตุแห่งความมีปัญญาอยู่จึงรู้ตัวได้ว่า "คือผมห่วงไปเอง"..

    การใส่ใจสิ่งใดมากและบ่อย ก็เพราะเราเห็นสิ่งนั้นว่าเป็นสาระ หรือเป็นเรื่องที่เราคาดหวังอะไรบางอย่าง หากเราพบว่า เมื่อเราใส่ใจคิดถึงแล้วก่อให้เกิดแต่ความกระวนกระวาย ไม่มีความสุข มีแต่ทุกข์ ปัญญาที่รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์หรือโทษนั่นแหละจะปรากฏขึ้นมาเตือนตนว่าควรทำอย่างไร..เพราะหากไม่มีปัญญาแล้ว ก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่าอันใดควรใส่ใจลึกซึ้งหรืออันใดควรปล่อยทิ้งวางลง..ก็จะได้แต่ตกเป็นทาสของความคิดและอารมณ์ให้กระสับกระส่ายเป็นนิจ..

    ท่านจขกท มีอุบายเฉพาะที่ตนเลือกไว้อย่างหนึ่ง คือคำกล่าวที่ว่า..

    "...ไม่ได้มาแต่มัวนี่งคิดเรื่องนี้ ถึงเวลาก็คงจะมาเอง ."

    นี่ก็แสดงความเป็นผู้มีปัญญาที่สามารถคิดได้แยบคายเช่นนี้ ลองใช้ถ้อยคำนี้เตือนตน ทุกคราวที่เกิดความคิดถึงขึ้นมานะครับ
     
  10. yakarick

    yakarick สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอบคุณทุกท่านที่ให้ข้อคิดผมด้วยนะครับ ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงเหมือนกัน ขอให้ทุกท่านเจอแต่สิ่งดีๆนะครับ ขอบตุณมากครับ
     
  11. yaka

    yaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +1,384
    เข้ามาเป็นกำลังใจให้อีกคนค่ะ สู้ๆนะค่ะ
     
  12. yakarick

    yakarick สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมว่าโลกนี้มันแปลกดี ทุกครั้งที่เหมือนจะสุข สุดท้ายกับทุกข์ บางครั้งไม่มีโอกาศแม้จะแก้ตัวสักหนึ่งครั้ง มีคนบอกว่า คิดดี พูดดี ทำดี สักวันต้องได้ดี แต่มองกลับมาที่ตัวเราเอง กลับต้องอยู่ตัวคนเดียว เวลาเราเห็นคนรู้จักทะเลาะกันไม่ว่าจะเพื่อนกับเพื่อน หรือเพื่อนกับแฟน เราก็มักจะบอกว่านายโชคดีนะที่ยังมีคนรัก นายดูเราสิตอนนี้เราทั้งตกงาน คนที่เคยรักกันก็หายไปหมด นายอยากเป็นเหมือนเราหรอ ทั้งที่เราพยายามช่วยคนอื่น แต่ตัวเราเองก็ต้องเผชิญกับความรู้สึกของตัวเอง เรายังจะขวนขวายจะทำอะไรให้มันดีขึ้น มีสิ่งหนึ่งที่คิดไว้ตลอดเวลา เราคิดว่าวันหนึ่งถ้าเราเป็นอะไรไป แม่เราต้องเสียใจมาก เราพยายามให้กำลังใจตัวเราเองทุกๆเรื่อง แค่อยากระบายแต่ไม่อยากตั้งกระทู้ใหม่เพราะเรื่องที่เราระบายมันไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แค่นี้แหละไม่มีอะไร พิมไปก็น้อยใจตัวเราเองไป เฮ้อ
     
  13. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ไม่แปลกหรอกครับ.. ที่แท้ นี้เป็นเรื่องปรกติในโลก เป็นสัจจะความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาบอก สอนให้ทราบว่า "มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น" ...แล้วทรงตรัสสอนถึงวิธีดับทุกข์ให้ อันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา...

    เมื่อยังดำรงอยู่ในอัตภาพแห่งความเป็น"มนุษย์" ย่อมมีโอกาสแห่งการ"แก้ไข"ตัวเองเสมอนะครับ.. การ"แก้ตัว"จะมีประโยชน์อันใดหากท่านอยู่ในกลุ่มพาลชน? ..การแก้ไขตนตามแนวทางแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะเป็นไปเพื่อความเกษมปลอดภัยและพ้นทุกข์ได้จริง..

    คำเหล่านี้เป็นเรื่องจริงและถูกต้อง เพราะเป็นความจริงสากลที่มีอยู่ ไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ปั้นแต่งโดยใคร


    การอยู่คนเดียวนั้นย่ิอมเป็นเรื่อง"ยาก"สุดทนของคนที่ยัง"ไม่มีที่พึ่ง"...เพราะคาดหมายเอาว่าคนอื่นๆจะนำมาซึ่งความสุขให้ตน จึงดิ้นรนขวนขวายเพื่อหาคนอื่นเสมอ ไม่อาจมีเวลาสงบใจเพื่อพิจารณาว่าเพื่อนที่ดีที่สุดนั้นคือ"ตนเอง" เพราะในจักรวาลนี้ ใครจะรักใคร่ใครอื่นเท่าตน เองนั้นเป็นไม่มี ลองพิสูจน์ดูง่ายๆดังนี้...เอาถ่านติดไฟร้อนแดงวางบนศีรษะของตนและคนอื่นที่ตนรัก ดูสิว่าตนจะปัดถ่านร้ิอนแดงนั้นออกจากศีรษะของใครก่อน..

    การที่คิดว่าคนอื่นยังโชคดีที่มีคนรักนั้น เป็นความวิปลาสชนิดหนึ่งเรียกว่าสุขวิปลาส...ที่แท้ หากท่านจขกทพิจารณาความจริงที่ปรากฏมากมายในกระทู้ต่างๆข้างบนแลข้างล่างกระทู้ของท่านท่านจะพบความทุกข์ร้อนแสบเผ็ดเพราะการ"มีคนรัก"นั่นเอง ..บางรายแทบกระอักโลหิตเพราะทุกข์ที่บีบคั้น ทั้งๆที่ก็ตนนั่นแหละที่ขวนขวายหาคนรักมาประดับชีวิตในตอนแรก บางคนแม้บุญเก่ามาช่วยห้ามปรามมิให้เสพส้องกับคนพาลในคราบคนรัก ก็ไม่อาจขัดขวางกระแสบาปหนักที่ได้ช่องมาส่งวิบากให้ได้เสวยได้ ..จึงลากจูงตนไปให้เกี่ยวข้องกับคนที่ตนเรียกว่า"คนรัก"..ซึ่งภายหลังได้กลายสภาพเป็นคนที่ตนเกลียดชังยิ่งกว่าศัตรูอื่นใด น่าอัศจรรย์ในความผันเเปรจริงๆ..

    ทั้งนี้ั้ทั้งนั้น ก็เพราะไม่ทราบสัจจะความจริงเลยว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครหรือของใคร..การไขว่คว้าเพื่อเอาคนอื่นเป็นสรณะจึงได้แต่ทุกข์เป็นรางวัล เพราะคนอื่นก็เป็นอนัตตา ย่ิอมแปรเปลี่ยนไปตามอำนาจเหตุปัจจัยมากมายเช่นกัน ..

    เรามักเดาสุ่มคาดคะเนไปเองด้วยอำนาจตัณหาของตนว่า ชนทั้งหลายผู้มีคนรักย่อมอยู่เป็นสุข แต่ไม่เคยทราบเลยว่าเบื้องหลังใบหน้ายิ้มแย้มหรือการคุยอวดถึงความสุขที่พวกเขามี เมื่ออยู่ในที่ธารณะ...นั้น อาจเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงคิดไม่ได้ในความจริงเบื้องหลัง .. เราไม่เคยเห็นว่าเขาเหล่านันเสียน้ำตาและทุ่มเถียงกันด้วย อำนาจของ มานะทิฏฐิต่างๆที่กลุ้มรุมเป็นปรกติมากเท่าไร..เขาย่อมรู้สึกเสียหน้าหากคนนอกจะทราบความกลัดกลุ้มที่รุมเร้าราวไฟแผดเผาทุกวัน ..ท่านลองถามเพื่อนๆ เหล่านั้นดูปะไรว่า "เกลอเอ๋ย มีอยู่บ้างหรือไม่ที่ท่านมีเรื่องขัดแย้งกับคนรัก?"...หากเพื่อนคนใดกล่าวตอบว่า"สหายเอ๋ย เรื่องเช่นนี้ไม่เคยปรากฏแก่ข้าพเจ้าเลย.." ก็พึงสันนิษฐานได้ว่า...
    1. เขาเพิ่งมีคนรักได้๑หรือ๒ชั่วโมง 2. เขาโกหกเพราะอายที่จะกล่าวความจริง

    พึงทราบความจริงว่า เมื่อคน๒คนมาอยู่ร่วมกัน ปัญหาย่อมเกิด ยิ่งมากคนยิ่งมากปัญหาเพราะต่างคนต่างมีกิเลสครอบงำอยู่ทั้งสิ้น คนกลุ่มเดียวที่อยู่ด้วยกันแม้จำนวนมากก็ไม่อาจเกิดปัญหาได้ในที่ทุกแห่งคือกลุ่มพระอริยะบุคคลทั้งหลายเท่านั้น เพราะกิเลสเบาบางหรือหมดสิ้นไปแล้ว



    ความจริงท่านจขกท เข้าใจผิดเองคิดว่าคนที่ทิ้งจากท่านไปเพราะท่านตกงานนั้นว่าเป็น
    คนที่เคยรักกัน...ที่แท้เขาเหล่านั้นไม่เคยรักท่านอย่างแท้จริงอะไร เขาอยู่เพราะผลประโยชน์บางอย่างเท่านั้น คนที่รักท่านจริงจะไม่ทิ้งท่านไปในยามเดือดร้อนเด็ดขาดแต่จะช่วยเหลือหรือแม้เพียงเป็นกำลังใจให้ก็ทำ..คนอื่นที่รักท่านแท้จริงที่แน่นอนในเวลานี้คือ"แม่"เท่านั้น..เพราะแม่จะไม่ทิ้งท่านไปในยามตกอับแน่นอน..

    ใส่ใจกับคนที่รักท่านอย่างแท้จริงคนนี้เถิดครับ คนอื่นหาใช่สาระที่ท่านควรวิตกกังวลถึงไม่...ท่านประจักษ์ความจริงนี้ด้วยประสบการณ์ตรงแล้ว อย่าได้หลอกลวงตนเองต่อไปอีกเลย...



    ความคิดคำนึงถึงแม่และพยายามดึงตนไม่ให้ลงต่ำเป็นกุศล เป็นผู้มีความฉลาดคิด คือความกตัญญูไม่ปรารถนา จะเป็นเหตุให้แม่ทุกข์ น่าชื่นชมยิ่งนัก..กุศลในการคิดเกื้อกูลแม่นี้จะมีกำลังแรงเมื่อท่านตั้งใจมั่น ย่อมเป็นช่องทางกระตุ้นให้บุญอื่นๆในกาลก่อนที่ท่านทำไว้แล้วนำวิบากที่ดีมาส่งผลได้ครับ..


    ขอให้เข้าใจว่าเราทั้งหลายทำบุญและบาปคละเคล้ากันมาแล้วเกือบทุกชนิด ยกเว้นการทำตนให้เห็นอริยสัจจ์อันเป็นเหตุให้เป็นพระอริยะบุคคลเท่านั้นที่ยังทำไม่ได้หรือไม่ได้ทำ เราจึงยังต้องประสบโลกธรรม๘ คละเคล้ากันตลอดเวลา...

    ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องมีสติปัญญาเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า "เพราะเหตุมี ผลเช่นนี้จึงมีได้"ใครๆจะเรียกร้องให้ตนได้แต่สิ่งดีๆอย่างเดียวย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้ เพราะสิ่งทั้งมวลเกิดด้วยเหตุปัจจัยไม่ขึ้นอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือเสกเป่าของใครๆได้ เพราะ"สัพเพธรรมา อนัตตา" = ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอะไร ...

    ขอส่งกำลังใจมายังท่านจขกท ขอให้ประสบความเจริญและสำเร็จในกุศลกิจทั้งปวงครับ..


    โลกธรรม 8 หมายถึง เรื่องของ โลกมีอยู่ประจำกับชีวิต สังคมและโลกของมนุษย์เป็นความจริงที่ทุกคนต้องประสบ
    ด้วยกันทั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ข้อแตกต่างคือ ใครประสบมาก ประสบน้อย
    ช้าหรือเร็ว โลกธรรมแบ่งออกเป็น 8 ชนิด จำแนกออกเป็น 2 ฝ่ายควบคู่กันและมีความหมายตรงข้ามกัน คือ
    1. โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์พอใจมี 4 เรื่อง คือ
    - ได้ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้บ้านเรือนหรือที่สวน ไร่นา
    - ได้ยศ หมายความว่า ได้รับแต่งตั้งให้มีฐานันดรสูงขึ้น ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
    - ได้รับสรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ
    - ได้สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ได้ความเบิกบาน ร่าเริง ได้ความบันเทิงใจ

    2. โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจมี 4 เรื่อง คือ
    - เสียลาภ หมายความว่า ลาภที่ได้มาแล้วเสียไป
    - เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ
    - ถูกนินทา หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี มีใครพูดถึง ความไม่ดีของเราในที่ลับหลังเรียกว่าถูกนินทา
    - ตกทุกข์ คือ ได้รับความทุกข์ทรมานกายทรมานใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...