เรื่องเด่น เมื่อกรุงเทพฯหยุดโต !

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 14 มกราคม 2011.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    เมื่อกรุงเทพฯหยุดโต !



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>วันนี้กรุงเทพมหานครมีอายุ 229 ปีแล้ว หลายคนรู้จักคำขวัญกรุงเทพฯจากเพลงของ "อัศนี-วสันต์ โชติกุล" จนร้องกันติดปาก

    กรุงเทพฯแต่ก่อน คือเมืองที่หลายคนเคยฝันใฝ่อยากเข้ามาเสี่ยงโชค หางานทำ สร้างเนื้อสร้างตัว เพราะเชื่อว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า (บ้านนอก) แต่หลายปีผ่านไป กลับตรงกันข้าม...กรุงเทพฯไม่ใช่เมืองฟ้าอมรอีกต่อไป ผู้คนเริ่มเหนื่อยหน่าย กลัว และย้ายออกจากเมืองหลวง ใช้ชีวิตกลับสู่บ้านเกิด ใครหลายคนนึกร้องเพลง "บางกอกลาที" ของสุนทราภรณ์

    ที่สำคัญ คำถามใหญ่ในเชิงเศรษฐกิจวันนี้คือ ฤากรุงเทพฯหยุดโตแล้ว ! โดยเฉพาะ "ความเป็นเมือง" ของกรุงเทพฯ ที่ค่อย ๆ ชะลอการเติบโตลง ?

    ทำไมกรุงเทพฯหยุดโต

    รายงานจากฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากตัวเลขปี 2545-2552 การเติบโตของกรุงเทพฯชะลอตัวลง ทำให้การพัฒนาสู่ "ความเป็นเมือง" ในระดับประเทศค่อนข้างหยุดนิ่ง และส่งผลให้เมืองต่าง ๆ นอกเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีส่วนทำให้อัตราความเป็นเมืองของประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่กรุงเทพฯอัตราความเป็นเมืองโดยรวมของประเทศจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง

    ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ผ่านการเติบโตอย่างรวดเร็วในแง่จำนวนประชากรคนเมืองในช่วงทศวรรษที่ 1980 หรือปี 2523 แต่ได้ชะลอตัวลงอย่างช้า ๆ ในช่วง 2 ทศวรรษต่อมา รูปแบบการเติบโตนี้มีทิศทางคู่ขนานไปกับการเติบโตของกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะกรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มาก แต่ทิศทางการพัฒนาสู่ความเป็นเมืองดูเหมือนกำลังจะเปลี่ยนไป โดยกรุงเทพฯเริ่มโตช้าลง เมื่อเทียบกับเมืองในจังหวัด อื่น ๆ ซึ่งการพัฒนาสู่ความเป็นเมืองได้ย้ายไปสู่เมืองที่อยู่นอกกรุงเทพฯ ทำให้จังหวัดที่มีจำนวนประชากรคนเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี อุบลราชธานี ชลบุรี และนครราชสีมา เป็นต้น

    คำถามจึงมีว่า..กรุงเทพฯได้หยุดโตแล้วจริงหรือ ! จากข้อมูลล่าสุดดูเหมือนกรุงเทพฯได้เริ่มหดตัวลงตั้งแต่ปี 2550 โดยก่อนหน้านี้คนมักจะคิดกันว่าการหดตัวลงของกรุงเทพฯเกิดจากการขยายตัวของเมืองรอบ ๆ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการย้ายที่อยู่จากกรุงเทพฯไปยังปริมณฑล เพื่อค่าครองชีพที่ต่ำกว่า และเหตุผลที่คล้ายคลึงกันอื่น ๆ แต่สิ่งที่ข้อมูลได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือประชากรในกรุงเทพฯและปริมณฑล เช่น นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานีได้ลดลง 1% ระหว่างปี 2550-2552

    ในขณะที่เมืองต่าง ๆ นอกกรุงเทพฯและปริมณฑลยังเติบโต การหดตัวลงของกรุงเทพฯและปริมณฑลสวนทางกับการเติบโตของจังหวัด 10 อันดับแรกนอกเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีคนเมืองมากที่สุด ซึ่งเติบโตถึง 17% ในช่วงปีเดียวกัน

    ทั้งนี้ มีการย้ายออกจากกรุงเทพฯเป็นจำนวนสุทธิ โดยส่วนมากเป็นการย้ายกลับไปสู่บ้านเกิดในเขตชนบทภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้อมูลจากสำรวจการย้ายถิ่นของประชากรในปี 2551 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ให้เห็นว่ามีคนย้ายออกจากกรุงเทพฯมากกว่าคนย้ายเข้ามากกว่า 80% ของคนที่ย้ายออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่เขตนอกเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมอัตราความเป็นเมืองจึงลดลง ที่หมาย 3 อันดับแรกของกลุ่มคนที่ย้ายออกจากกรุงเทพฯอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และบุรีรัมย์) โดยเหตุผลยอดนิยมคือเป็นการย้ายเพื่อกลับบ้าน (56%) และการย้ายเนื่องจากงาน (27%) <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผลกระทบในเชิงนโยบายและธุรกิจ

    ปัจจัยที่ผลักดันให้คนย้ายออกจากกรุงเทพฯเป็นผลมาจากการที่กรุงเทพฯเป็นเมืองใหญ่มาก จนเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการไม่ประหยัดต่อขนาด (diseconomies of scale) ซึ่งมาพร้อมกับการจราจรที่ติดขัดและมลพิษ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพฯคือการไม่ประหยัดต่อขนาดกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น ต้นทุนด้านการเงินและอื่น ๆ ในการดำรงชีวิตในกรุงเทพฯสูงกว่าประโยชน์ที่ได้รับจากค่าจ้างที่สูงและปัจจัยบวกอื่น ๆ อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะและสาธารณูปโภคอื่น ๆ เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดและการไม่ประหยัดต่อขนาดรูปแบบอื่น ๆ สิ่งที่น่ากังวลคือเมืองอื่น ๆ จะต้องไม่เดินซ้ำรอยข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับกรุงเทพฯอีก เช่น ภูเก็ต ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี แต่ยังไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ

    ปัญหาของไทยคือกรุงเทพฯมีขนาดใหญ่มาก ขณะที่เมืองขนาดเล็กไม่มีความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้าน กรุงเทพฯและปริมณฑลมีประชากรคนเมือง 8.7 ล้านคน ในขณะที่ชลบุรีซึ่งเป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรคนเมืองรองลงมาจากกรุงเทพฯรวมกับปริมณฑล มีประชากรคนเมืองเพียง 6.93 แสนคน เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ ซึ่งมีการพัฒนาความถนัดของเมืองต่าง ๆ เป็นอย่างดีในระบบเมือง โดยมีกรุงโซลเป็นผู้นำ (เมืองหลวง ประชากรคนเมือง 9.8 ล้านคน) ตามด้วยปูซาน (เมืองท่าเรือทางทะเล ประชากร 3.7 ล้านคน) แดกู (เมืองสิ่งทอและผลิตยานยนต์ ประชากร 2.5 ล้านคน) อันซาน (เมืองผลิตเครื่องจักรกลที่ใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ ประชากร 6.79 แสนคน) และกูมิ (เมืองผลิตอุปกรณ์สื่อสาร ประชากร 3.75 แสนคน)

    เมืองต่าง ๆ นอกเขตกรุงเทพฯควรมุ่งสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่าขนาด เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เมืองต่าง ๆ จะแข่งขันกับกรุงเทพฯได้ด้วยการพัฒนาสู่ความเป็นเมือง แต่ควรให้ความสำคัญกับ localization มากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรายงานวิจัยของธนาคารโลกปี 2552 ที่ว่า "ในขณะที่โรงงานจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถประหยัดได้มากขึ้น แต่ถิ่นฐานไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งนี้...ขนาดของถิ่นฐานมีความสำคัญน้อยกว่าความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของถิ่นฐานนั้น...เมืองขนาดกลางนับได้ว่าใหญ่พอสำหรับเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการรวมศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเกิดจากความครบถ้วนและเพรียบพร้อมของแหล่งวัตถุดิบ" และเครือข่ายของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมนั้น ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางให้ได้ เมืองหนึ่ง ๆ จำเป็นต้องแก้ปัญหาข้อจำกัดจากอุปสงค์ภายในท้องถิ่นที่มีอยู่ไม่มากนัก ซึ่งนั่นหมายถึงมุ่งเน้นการผลิตเพื่อการส่งออก หรือการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือต่างเมือง <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ทั้งนี้ เมืองจะโตได้ หากปลดล็อกข้อจำกัดจากอุปสงค์ภายในท้องถิ่น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือเมืองตงกวนของจีน ซึ่งพัฒนาจากเมืองที่มีประชากรเพียง 4 แสนคน ในปี 1978 จนกลายเป็นเมืองที่มีประชากรกว่า 7 ล้านคน ในปี 2009 และกลายเป็นเมืองที่มีการรวมศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมีเครือข่ายของบริษัทในอุตสาหกรรม (industry cluster) ด้านโทรคมนาคม เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมืองตงกวนมีอำนาจ ต่อรองจากขนาดเหมือนเมืองใหญ่อื่น ๆ

    หากวิเคราะห์ปัญหาการพัฒนาเมืองต่อผลกระทบทางธุรกิจ แน่นอน ความจำเป็นในการปรับตัวสู่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจจะยากลำบากมากขึ้น ดังนั้น การเติบโตที่ชะลอตัวลงของกรุงเทพฯ อาจเหมือนกับเสนอกลยุทธ์ให้หันไปให้ความสำคัญกับเมืองนอกกรุงเทพฯมากขึ้น แต่คงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะในขณะที่การเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในเมืองส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกเขตกรุงเทพฯ แต่ปัญหาก็คือผู้บริโภคในเมืองที่เพิ่มขึ้นนั้นกระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ

    โดยข้อมูลงานวิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ระบุว่า ผู้บริโภคในเมืองใน 10 จังหวัดใหญ่ นอกเหนือจากกรุงเทพฯและปริมณฑล มีจำนวนเฉลี่ยเพียง 6.7 หมื่นคน ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มากพอนัก สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ เป็นการยากที่จะหาเมืองที่มีจำนวนลูกค้าขนาดใหญ่ (critical mass) มากพอ ดังนั้น จึงน่าจะจำเป็นต้องใช้แนวทางพิเศษเฉพาะ สำหรับเมืองต่าง ๆ นอกเขตกรุงเทพฯ หากต้องการไปทำธุรกิจที่นั่น

    อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจเองก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก ที่จะพัฒนาเมืองต่าง ๆ นอกเหนือจากกรุงเทพฯ เมืองไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มาก เพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากเครือข่ายของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม และอาจไม่จำเป็นต้องมีบริษัทจำนวนมากนักที่จะสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีแรงเสริมจากการเป็นหุ้นส่วนกับมหาวิทยาลัยท้องถิ่น เช่น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ และเพิ่มจำนวนแรงงานมีฝีมือ และรัฐบาลท้องถิ่น เช่น เพื่อจัดเตรียมสาธารณูปโภคที่จำเป็น สิ่งสำคัญคือการประสานงาน ซึ่งแม้จะไม่ง่ายนัก ที่จะทำให้เกิดขึ้น แต่ทางเลือกที่เหลืออยู่ ก็มีเพียงการดำเนินไปตาม "สิ่งที่เป็นอยู่" ซึ่งคือการหยุดนิ่งของการพัฒนาสู่ความเป็นเมือง การขยายตัวที่เป็นไปอย่างช้า ๆ และการพัฒนาที่ต่ำกว่าศักยภาพแท้จริงที่เรามีอย่างมาก

    ทำอย่างไรให้เมืองโต

    คำถามว่าทำอย่างไรให้เมืองโต ? การรวมศูนย์เพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องปลดล็อกข้อจำกัดจากอุปสงค์ภายในท้องถิ่นที่มีอยู่ไม่มากนักด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงมุ่งเน้นการผลิตเพื่อส่งออก การเพิ่มมูลค่าสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรเพื่อส่งออก หรือการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยกตัวอย่างเช่นชลบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่จำนวนผู้บริโภคในเมืองเติบโตกว่า 70% ภายใน 7 ปีที่ผ่านมา เป็นเมืองที่มุ่งเน้นการผลิตเพื่อส่งออก มีจำนวนนิคมอุตสาหกรรมการขนาดใหญ่ ภายใต้การดูแลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อส่งออก อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย โดยในปี 2009 สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ เป็นรองแต่กรุงเทพฯ

    ด้วย "ชลบุรี" เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่านักท่องเที่ยวไทย จึงทำให้สามารถตั้งราคาได้สูงกว่าแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก จึงสามารถสร้างเป็น "Pattaya premium" ซึ่งจากการวิเคราะห์จากราคาห้องพักโรงแรมที่มีมาตรฐานเดียวกัน เครือเดียวกัน ระดับห้องพักเหมือนกันเข้าพักในช่วงเวลาเดียวกัน จะเห็นว่านักท่องเที่ยวเต็มใจจ่ายค่าห้องพักในพัทยาสูงกว่าห้องพักในหัวหินอยู่ราว 20%

    เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดยเฉพาะที่ตอบสนองความต้องการจากภายนอก "เมือง" ควรพิจารณาดำเนินการ 3 ด้านหลัก ๆ ดังนี้

    1.ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว (Leverage) สำหรับเมืองที่มีเอกลักษณ์เป็นทรัพยากรธรรมชาติ ก็ควรมุ่งเน้นใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ เช่น พระนครศรีอยุธยา มีแม่น้ำหลายสายเชื่อมต่อถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วยให้ประหยัดค่าขนส่งจากการขนส่งทางน้ำแทน ทางบก หรือสุราษฎร์ธานี เมืองร้อยเกาะ มุ่งพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโลก ทั้งนี้ สำหรับแหล่งท่องเที่ยวจะยิ่งสามารถเพิ่มคุณค่าได้อีก หากใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์ของแหล่ง ท่องเที่ยวนั้น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น นครศรีธรรมราช นักท่องเที่ยวจะซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้นอีก หากได้รู้ว่าเดิมรุ่งเรืองเป็นศูนย์อำนาจทางทะเลที่ค้าขายติดต่อกับภายนอก โดยเฉพาะระหว่างฝั่งมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกกับจีนจากทางตะวันออก ถึงขนาดพบเห็นวัตถุโบราณของจีนตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ้อง ราชวงศ์หยวน และราชวงศ์หมิงโดยทั่วไป

    2.ทำให้มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการโตของเมือง (Facilitate) โดยเฉพาะจากภาครัฐ เช่น พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพเชื่อมต่อกับกรุงเทพฯ หรือท่าเรือสำคัญ เป็นต้น

    3.สร้างขึ้นมาใหม่ (Create) เนื่องจากไม่ใช่ทุกเมืองมีทรัพยากรธรรมชาติเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะไทยที่เมืองส่วนใหญ่ เป็นเมืองเกษตรกรรม และก็ไม่ใช่ทุกเมืองสามารถผลักดันให้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทางออกที่ดีที่สุดคือสร้างเอกลักษณ์ขึ้นมาใหม่เอง ซึ่งนั่นรวมถึงการทำตลาดที่ถูกต้อง เพื่อให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

    รัฐบาลที่ผ่านมาของไทยได้ทราบถึงความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และลดการพึ่งพาการส่งออกจึงตั้งข้อสังเกตว่า การหยุดนิ่งลงของการพัฒนาสู่สังคมเมือง ของไทย จึงน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อุปสงค์ภายในประเทศของไทยไม่เพิ่มขึ้น


    -----------
    ประชาติธุรกิจออนไลน์
    ����͡�ا෾���ش�� ! : ��ЪҪҵ��͹�Ź�
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. *~*Sea Anemone*~*

    *~*Sea Anemone*~* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +9,121
    ให้เมืองอื่นๆ เค้าโตมั่งก้อดีเหมือนกันนะ จะได้ไม่มาแออัดที่เมืองหลวงแห่งเดียว
     
  3. mmc01

    mmc01 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +22
    อยากให้ย้ายไปเติบโตที่ปลอดภัยจาก น้ำท่วม สึนามิ และ สตอมเซิร์จ ก็ดีนะ ถ้าน้ำท่วมกรุงเทพได้มีที่สำรองบ้าง
     
  4. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    ประชากรยิ่งมาก สิ่งแวดล้อมก็จะถูกทำลาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...