เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 25 มีนาคม 2025 at 09:30.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,097
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,685
    ค่าพลัง:
    +26,543
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๘


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,097
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,685
    ค่าพลัง:
    +26,543
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพพาพระออกบิณฑบาตตามปกติ แต่เมื่อกลับมาและฉันเช้าเสร็จแล้ว ได้เดินทางไปยังศูนย์ปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมแห่งที่ ๒ หมู่ที่ ๑ ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ไปถึงก็ได้เวลาเพลพอดี จึงเข้าไปร่วมถวายภัตตาหารให้กับพระวิปัสสนาจารย์ ประจำสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งปฏิบัติธรรมประจำปีอยู่ที่นั่น

    แล้วก็ได้ข่าวที่น่าสลดใจก็คือว่า เมื่อวานนี้มีพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งมรณภาพในระหว่างที่ปฏิบัติธรรม ต้องบอกว่าทั้งที่สุขภาพของท่านไม่ดี ก็ยังอุตส่าห์รับอาสามาเพื่อปฏิบัติธรรมเป็นตัวแทนของสำนักในจังหวัดสุพรรณบุรี ต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติโยมและผู้อันเป็นที่รักของท่าน ซึ่งท่านได้จากไปด้วยดีแล้ว ถ้าหากว่าเป็นข้าราชการก็ประมาณว่า "ตายในหน้าที่"

    หลังจากที่ฉันเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เพื่อร่วมพิธีแต่งตั้งรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ รูปที่ ๒ ก็คือหลวงพ่อพระครูอุทัย (พระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์) อดีตเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ เจ้าอาวาสวัดพุทโธภาวนา ซึ่งท่านเองก็จัดเต็มด้วยการนำเอาทั้งพระภิกษุและญาติโยม โดยเฉพาะพ่อมังกร (นายจำลอง คนซื่อ) อดีตหลวงพ่อพุทโธภาวนา ผู้เป็นครูบาอาจารย์มาด้วย พระภิกษุจากสำนักสาขาต่าง ๆ ของวัดสามพราน ซึ่งใช้ชื่อวัดสาขาว่าวัดพุทโธภาวนาแล้วต่อด้วยสถานที่ อย่างเช่นของหลวงพ่อพระครูอุทัย วัดของท่านก็คือวัดพุทโธภาวนา(พุเย) เป็นต้น

    เมื่อพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ทำการมอบตราตั้ง พัดยศ ตลอดจนกระทั่งผ้าไตร และสิ่งของให้กับรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปใหม่ ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งเดิมของกระผม/อาตมภาพแล้ว ก็ได้ทำการถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน ถวายปัจจัยไทยธรรม และกรวดน้ำรับพร

    จากนั้น กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางกลับที่พัก มาเจอญาติโยมส่งข้อมูลมาให้ว่า มีบุคคลหนึ่งได้ให้คำแนะนำเอาไว้ในเฟซบุ๊ก ซึ่งกระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็คิดว่า "ไอ้นี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว..!" ซึ่งจะว่าไปแล้ว สิ่งที่ท่านแนะนำมานั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เป็นการแนะนำแบบหลับหูหลับตา โดยที่คิดว่าดี ไม่ได้ดูบริบทของสังคม หรือสิ่งที่เป็นอยู่เลย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,097
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,685
    ค่าพลัง:
    +26,543
    อย่างเช่นท่านให้คำแนะนำว่า "มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้พิจารณาทบทวนมีคำสั่งห้ามภิกษุเป็นหมอดู ห้ามดูฤกษ์ยาม ห้ามเสก ห้ามเจิม ห้ามลงเลขลงยันต์ ห้ามรดน้ำมนต์ ห้ามสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ห้ามทำพิธีกรรมนอกรีต ห้ามบวงสรวง ห้ามทำไสยศาสตร์ ห้ามปลุกเสก ห้ามจำหน่ายวัตถุมงคล ห้ามสร้างหรือนำวัตถุนอกศาสนามาในวัด" นี่แค่เป็นคำแนะนำเบื้องต้นของท่านเท่านั้น

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ห้ามพระภิกษุของเราเลี้ยงอาชีพด้วยการเป็นหมอดู หรือว่าการดูฤกษ์ดูยาม
    คำว่าเลี้ยงอาชีพก็คือทำมาหากินเป็นปกติทุกวัน เนื่องเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้กำหนดไว้ว่า ให้ภิกษุบิณฑบาตเป็นการเลี้ยงชีพ

    แต่ว่าการที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์หลายต่อหลายท่าน ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อญาติโยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการดูฤกษ์ดูยาม หรือว่ารดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์อะไรก็ตาม นั่นเป็นการกระทำด้วยความเมตตา สงเคราะห์ญาติโยมผู้ที่เลี้ยงดูตนเองมาด้วยปัจจัย ๔ อยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นที่พึ่งให้แก่ญาติโยมได้


    กระผม/อาตมภาพขอยกตัวอย่างหลวงปู่จง พุทฺธสโร วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นครูบาอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ภรรยาของกำนันเถา กำนันตำบลบางนมโค ร้อนใจมาก เนื่องจากว่ากำนันเถาลงไปเมืองกรุง ก็คือกรุงเทพฯ นานเกือบเดือนแล้ว จึงมากราบเรียนหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอกว่า "ให้ช่วยดูหมอให้หน่อยว่า ตอนนี้กำนันเถาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ?"

    หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตอนนั้นท่านถวายการรับใช้อยู่ข้าง ๆ หลวงปู่จง ก็เห็นหลวงปู่จงเปิดหนังสือตำราพรหมชาติ แล้วก็อ่านว่า "สิทธิการิยะ พระท่านว่า ขณะนี้กำนันเถาเอาเรือมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว" ภรรยากำนันเถาก็ดีอกดีใจ กราบลากลับบ้านไป ปรากฏว่ากำนันเถามาถึงบ้านจริง ๆ..!

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็สงสัยว่า "ตำราอะไรมีระบุชื่อคนแบบนี้ด้วย ?" จึงเปิดดูหน้าที่หลวงปู่จงท่านเอากระดาษคั่นเอาไว้ ปรากฏว่าเป็นตำรานาคสมพงษ์ในการดูเนื้อคู่ หลวงพ่อท่านถึงกับหัวเราะ แสดงว่าการดูหมอของหลวงปู่จง เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมผู้เดือดร้อนนั้น ท่านไม่ได้ใช้ตำราพรหมชาติ แต่เป็นการดูด้วยทิพจักขุญาณ นี่ก็คือการอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่ผู้เดือดร้อนซึ่งมาพึ่งเย็น โดยมีหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายเหล่านั้นเป็นที่พึ่ง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,097
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,685
    ค่าพลัง:
    +26,543
    แม้กระทั่งการรดน้ำมนต์ หรือว่าพรมน้ำมนต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มอบรตนสูตรให้กับพระอานนท์เถระ ทำน้ำมนต์พรมให้กับชาวเมืองเวสาลี ที่โดนโรคระบาดคุกคามอย่างหนัก จนกระทั่งเหล่าอมนุษย์ซึ่งนำมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เกรงบารมีพระรัตนตรัย แย่งกันหนีออกจากเมืองเวสาลีเพราะว่ากลัวอำนาจน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งกำแพงเมืองพังไปทั้งแถบ..! แล้วท่านทั้งหลายจะห้ามภิกษุทำน้ำมนต์หรือ ?

    โดยเฉพาะการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ก็มีอายุวัฒนกุมารที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งให้ตั้งปรัมพิธี แล้วนำพระสงฆ์มาเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน จนกระทั่งบุคคที่จะต้องสิ้นชีวิตลง อายุยืนยาวต่อมาได้ถึง ๑๒๐ ปี จึงได้ชื่อว่าอายุวัฒนะ (ผู้เจริญด้วยอายุ)

    ดังนั้น..สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นก็แปลว่า ท่านไม่ได้ศึกษาในเรื่องของพระไตรปิฎกหรือพระพุทธศาสนาเลย คิดว่าอะไรไม่ดีไม่งาม เพราะมีบุคคลนอกรีต กูก็ห้ามไปเสียหมด อย่างเช่นการห้ามปลุกเสก ห้ามจำหน่ายวัตถุมงคล ห้ามสร้างหรือว่านำวัตถุนอกศาสนามาไว้ในวัด กระผม/อาตมภาพเห็นด้วยอยู่อย่างเดียวคือ
    ห้ามนำวัตถุนอกศาสนามาไว้ในวัด

    เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าท่านทั้งหลายได้สังเกตดูก็จะเห็น อย่างเช่นว่าการสร้างสมเด็จมฤคทายวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นองค์ประธานในการสร้าง นิมนต์พระเถระในยุคนั้นมารวมตัวกันปลุกเสกเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ เนื่องเพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งบรรดาทหารหาญต้องการวัตถุมงคล เพื่อเป็นกำลังใจการออกไปป้องกันประเทศชาติ หรือว่าออกไปสู้รบตามนโยบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้ประเทศไทยปรากฏต่อนานาชาติ

    หรือแม้กระทั่งพระฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ก็ทรงเป็นประธานในการสร้าง เพื่อที่จะซื้อที่ดินและสร้างพระประธานพุทธมณฑล

    ก็แปลว่าสิ่งที่ท่านตั้งใจหลับหูหลับตาห้ามนั้น ไม่ได้ดูวัตถุประสงค์ ถ้าจะห้ามก็ห้ามเฉพาะวัดที่ทำเพื่อการค้าขายในลักษณะที่บางคนเรียกว่า "พุทธพาณิชย์" ไม่ใช่วัดที่ท่านทำเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อหาทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ญาติโยมไม่ยอมควักกระเป๋าช่วยพระในการบูรณปฏิสังขรณ์ แล้วก็ยังมาห้ามโน่นห้ามนี่ กระผม/อาตมภาพขอถามว่า "นั่นใช่หรือไม่ ?"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,097
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,685
    ค่าพลัง:
    +26,543
    ข้อต่อไปคือท่านห้ามจัดงานรื่นเริงภายในวัด ท่านต้องเข้าใจว่าพระภิกษุสงฆ์ของเรานั้น อยู่ด้วยพระธรรมวินัยอย่างหนึ่ง อยู่ด้วยกฎหมายบ้านเมืองอย่างหนึ่ง และอยู่ด้วยจารีตประเพณีอย่างหนึ่ง จารีตประเพณีที่ชาวบ้านร่วมกันทำขึ้นมา อย่างเช่นว่างานประจำปีของวัด งานทำบุญถวายบูรพาจารย์ เหล่านี้เป็นต้น ก็จะมีงานจัดงานต่าง ๆ ซึ่งทางมหาเถรสมาคมก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า งานประเภทใดบ้างที่ห้ามจัด ต่อให้ท่านไม่พูดถึงตรงนี้ เขาก็มีการห้ามอยู่แล้ว โปรดลืมตาดูโลกเสียบ้างว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มหาเถรสมาคมดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมอยู่แล้ว

    ข้อต่อไปคือ "การแต่งตั้งเจ้าอาวาส ควรกระจายพระมหาที่มีทั้งภูมิรู้และภูมิธรรม ตั้งแต่เปรียญธรรม ๓ ประโยค มีอายุและพรรษาที่เหมาะสม ออกไปเป็นเจ้าอาวาส หรือที่ปรึกษาเจ้าอาวาส จะได้มีความรู้ด้านพระธรรมวินัยให้พระภิกษุทุกวัดศึกษาธรรมะจบอย่างน้อยนักธรรมเอก ให้พระภิกษุในวัดปฏิบัติธรรมทุกวัน ทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา"

    เรื่องนี้ก็เช่นกัน กระผม/อาตมภาพเมื่อครู่กล่าวไปแล้ว การแต่งตั้งเจ้าอาวาสนั้นแม้เป็นอำนาจของเจ้าคณะปกครอง แต่ก็ต้องอนุเคราะห์อนุโลมตามไปด้วยว่า ชาวบ้านสนับสนุนพระรูปไหน ? ไม่ใช่ส่งพระมหาประโยค ๙ เข้าไป แล้วก็อยู่ได้แค่ ๓ วัน อย่างวัดที่กระผม/อาตมภาพกำลังนั่งบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่นี่..!

    ดังนั้น..ท่านหลับหูหลับตาพูดโดยที่ไม่ได้ศึกษาบริบทของชาวบ้านเลย อยู่ในลักษณะ "ตีหัวเข้าบ้าน" ก็คือคิดว่ากูตำหนิ กูแนะนำแล้วว่าสิ่งที่ดีเป็นอย่างนี้ โดยที่เป็นความดีในด้านเดียวของท่าน ไม่ใช่ความดีของสังคมรอบด้าน

    พระภิกษุทุกวัดต้องปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ท่านได้ศึกษาหรือไม่ว่าเขามีวัดอรัญวาสี คือสายวัดป่า และมีวัดคามวาสี คือสายวัดบ้าน แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงการศึกษาคันถธุระ ก็คือการศึกษาเล่าเรียนพระบาลี พระไตรปิฎก หรือว่าเรียนนักธรรมนั่นเอง และวิปัสสนาธุระ ก็คือการปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,097
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,685
    ค่าพลัง:
    +26,543
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีการแบ่งออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ก็คือท่านใดนิยมการปฏิบัติธรรม ก็ไปอยู่วัดสายปฏิบัติ ใครที่นิยมการศึกษาก็ไปอยู่วัดที่เป็นสายปริยัติ ไม่ใช่หลับหูหลับตายัดให้ทุกวัดทำเหมือน ๆ กัน อันดับแรกเลย ท่านจะเอาพระที่ไหนมาปฏิบัติเหมือนกันแบบนั้น ? ไม่ใช่ว่าเรากินแกงเผ็ดแล้วบอกว่าอร่อยมาก บังคับให้ทุกคนกินเหมือนเรา คนที่เขาไม่ชอบแกงเผ็ด แต่ว่าชอบแกงจืด หรือว่าชอบต้มยำ ชอบผัด เขาก็ไปกับเราไม่ได้ จะแนะนำอะไรโปรดพินิจพิจารณาให้รอบด้านด้วย

    ข้อต่อไป ท่านแนะนำว่า "ให้วัดทุกวัดแบ่งพื้นที่วัดครึ่งหนึ่งปลูกต้นไม้เป็นป่า เพื่อใช้ปฏิบัติธรรม และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้มีความสงบ สงัด ร่มรื่น ร่มเย็น เป็นธรรมชาติ ไม่ควรให้วัดสร้างสิ่งปลูกสร้างเกินความจำเป็น" กระผม/อาตมภาพอยากจะถามว่า "ท่านเดินดูวัดในกรุงเทพฯ ครบทุกวัดหรือไม่ ? มีวัดใดบ้างที่ยังเหลือที่ดินให้ท่านแบ่งไปครึ่งหนึ่งเพื่อปลูกป่าบ้าง ?" ก่อนจะแนะนำอะไรให้ออกไปถ่างตาให้กว้าง ๆ แล้วก็ดูให้รอบด้านด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าแนะนำไปเรื่อย..!

    สิ่งที่ท่านแนะนำเอาไว้ยังมีมากมายกว่านี้อีก กระผม/อาตมภาพนำมากล่าวไม่ถึงครึ่ง ถึงได้บอกว่า "ไอ้นี่เพ้อเจ้อ..!" เนื่องเพราะว่าสิ่งที่กล่าวมาเข้ากับบริบทสังคมไม่ได้ หลายต่อหลายอย่างมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็มีกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนแล้ว หลายต่อหลายอย่างสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็เกิดจากจารีตประเพณี หรือว่าแนวทางที่ครูบาอาจารย์ท่านได้วางเอาไว้แล้ว

    ถ้าหากว่าท่านอยู่เฉย ๆ ไม่พูด ก็คงไม่มีใครว่าท่านเป็นใบ้ เอ่ยปากออกมาเมื่อไรก็ส่อให้รู้เลยว่าท่านสักแต่หลับหูหลับตาแนะนำ โดยที่ปราศจากความรู้ที่แท้จริง คิดว่าอะไรดีก็แนะนำไป ไม่ได้ดูบริบทของสังคม ไม่ได้ดูสภาพวัดในปัจจุบัน โดยเฉพาะไม่ได้ดูว่าพระเณรในปัจจุบันนี้ทำอะไรกันบ้าง

    ดังนั้น..สิ่งที่ท่านแนะนำมา กระผม/อาตมภาพขอเจริญพรขอบคุณ แต่ขอบอกว่าเป็นความเพ้อเจ้ออย่างมาก ขอให้พยายามกลับไปพินิจพิจารณาให้รอบด้าน แล้วเรียบเรียงคำแนะนำของท่านขึ้นมาใหม่ เผื่อว่ามหาเถรสมาคมเห็นว่าสิ่งไหนที่ขาดจะได้กระทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ อานิสงส์จะได้เกิดขึ้นกับท่าน ไปชาติใหม่เผื่อว่าจะได้มีปัญญามากกว่านี้..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...