แล้วก็มานั่งคิดเอ้อเราก็เอาแบบนี้สิตักมาหยอดๆไว้ ข้างจานให้ข้าวมันอยู่ตรงกลาง เอ้อใช้ได้ ตอนกินก็ไม่ต้องคนมัน อย่างงี้ใช้ได้ป่าวมะรู้ แต่ก็ทำไปแย้ว 555 เค้าก็ต้องแอบทำอยู่อย่างงี้ทุกวันจนกระทั่งออกจากปริวาส แถมกินข้าวได้แค่มื้อเดียวอีกนะ เอ้อตอนนั้นมันทำได้ แต่ตอนนี้หร๋อวันนึงกินไม่รู้กี่มื้อก็มันหิวอ่ะ
แต่มีัอยู่ครั้งหนึ่งเค้าเคยไปเข้าปริวาสวัดป่าที่จังหวัดสระแก้ว เค้าก็ถูกกฎบังคับให้ต้องตักอาหารใส่จานเดียว ขนมข้าวต้มจะกินอะไรได้ทั้งนั้นแต่ต้องใส่จานเดียว มีแต่จานกับช้อนให้เค้าคิดนะตอนนั้นตรูจะทำได้เหรอเนี่ย กินยังไงกินไม่เป็นอะ
ถึงตัวเองจะบอกหรือหลวงพ่อจะบอกว่ามันลงไปในท้องมันก็ไปปนเปกันหมดก็จริงอยู่แต่เขานะเป็นผู้ดีเก่าไง พ่อแม่เคยสอนให้อยู่ดีกินดีจนมันเคยตัว เค้าเลยกินอะไรต้องแยกประเภท แล้วประมาณว่าฝรั่งเขากินกันเป็นครอสๆ ไม่ผสมปนเปเค้าก็เลยติด
555555 ตัวเองนี่ตลกดี วันนี้ไข้ขึ้นละป่าว แต่เค้าชอบๆเวลาที่ตัวเองเป็นอย่างงี้แหละ พูดคุยบอกสอน อย่างน้อยเค้าก็ัยังได้รู้จักตัวตนร่างกายสังขารของเค้า และ คนอื่นดีขึ้น เค้าก็ฟังหลวงพ่อท่านเทศน์บ่อยๆ เรื่องอาหาเรปฎิกูล แต่เค้าก็ยังไม่มีโอกาสรองทำนะ ไอ้เรื่องของคาวของหวานปนกันเนี่ย เค้าก็คงหม่ำไม่ได้แน่
สงสัยต้องไปเกิดอีกนานอักโขเลย พิจารณาจากความโง่ในจิตของเรานี่ เอิ้กๆ ดันทะลึ่งไปคบกับเพื่อนที่ชื่ออวิชชามานาน เลิกคบมันไม่ได้สักที เอิ้กๆๆๆ แถมมันชอบย่องมาไม่ให้รู้ตัวด้วยอะจิ ว่าเปล่า
นี่แหละ Title ของการศึกษานอกจากปริยัติ......นอกตำรา เขาเรียกเรียนภาคสนามน่ะ แต่ก็ยังรู้สึกว่า ตัวเรานี่ยังไม่เข้าใจอีกมากมายเหลือเกิน โง่เหลือหลาย ถ้าไม่โง่ต้องกระจ่างในธรรมและรู้ตามครูบาอาจารย์ไปแล้ว นี่ก็แสดงว่าฝึกยังไม่พอ และยังมีความอยากอีกแยะ อยากรู้โน่น รู้นี่ สงสัยไปหมด ..... วิจิกิจฉาเต็มกะบาลเลยหล่ะ
เพราะร่างกายไม่มีการเกร็งแรงช่วยรับน้ำหนัก ตัวบวมน้ำ น้ำมันไหลหมดไม่มีอะไรกั้นมันแล้วนิ.... อืม พอเราเขาใจ ใจมันก็นิ่งมันไม่โหยหา มันเห็นตามความเป็นจริง ใจมันจึงหมดความอยากชั่วคราว เรียกว่าชั่วคราวเพราะใจเรามีกิเลศ แถมเราคบมันมาต้องกี่อสงไขยนับไม่ถ้วน อย่าไปเรียกเป็นชาติ มันน้อยไป
คือ ปากมันควบคุมน้ำลายและเลือดไม่ได้ น้ำตาขี้ตามันย้อยมา บ้างก็น้ำเมือกจากจมูกไหลย้อยออกมา และทางทวารหนักจะมีอุจจาระหรือปัสสาวะไหลออกมาเนื่องจากระบบหูรูดไม่มีอะไรบังคับ ตามที่หนังจีนเขาเรียกว่า ธาตุแตก หรือเลือดไหลออกจากทวารทั้ง 9 น่ะ แต่มันไม่ขนาดนั้น น้ำหนักตัวจะมากกว่าปกติทั้งที่ชั่งแล้วเท่าเดิม
พอหลายวันก็เป็นไปตามที่คุณเคยศึกษาน่ะ แต่สังเกตได้อย่างว่าทุกอย่างมีครบเหมือนคนเป็น เพียงแต่ลมหยุด ไปแล้ว (หยุดหายใจ) ไฟดับ (การสันดาปของระบบในร่างกายหยุด หัวใจไม่มีพลังงานทำให้เต้นได้) ธาตุน้ำย่อยธาตุดิน (น้ำเหลืองและเลือดเริ่มไหลออกจากทวารทั้ง 9 แต่ที่เด่นๆ มันจะออกมาจาก 5 จุด
แต่ถ้ามืดนี้กลัวน่ะ เพราะมันมองไม่เห็น จิตมันหลอกว่ามีผี มันเลยกลัว กลัวเพราะความไม่รู้อวิชชามันบังตาน่ะ .......มันเลยหลอนจิตว่ามีนู่นมีนี่ บ๊องส์กันไปเลย เอาเลยไปไหนไม่รู้เลี้ยกลับมา ที่เดิมก่อน การพิจารณาคนตายสิ่งที่เห็นได้คือติ่งหูและก็เล็บ ติ่งหูจะเขียว และเล็บสีจะไม่สดใสจ๊ะ
แล้วอย่างคนตายนี่ก็เคยไปนั่งดูน่ะ คนบ้าเห็นป๊ะ คนดีเขาไม่ทำหรอก เขานำศพมาไว้ที่วัด นี่เป็นลมตายไปเฉยๆ พึ่งตายไม่นาน เลยมาไว้ที่ศาลาวัด วัดแรกเขาไม่เอาผ้าคลุม แหมเหมือนคนนอนหลับ วันนั้นกำหนดสติ และนึกครึ้มไปนั่งดูศพ พิจารณาเป็นมรณานุสติดู อารมณ์กลัวมันไม่มี ไอ้ที่เคยกลัวผีมันหายไปไหนไม่รู้
แต่สิ่งที่ได้มันไม่ใช่ความกลัวมันกลายเป็นสงัด จิตสงบ พิจารณากายไปเจยเลย เอาเป็นว่าการนั่งในป่าช้าไม่เป็นผล ผิดเป้าหมาย ก๊ะจะไปให้ขันธ์ 5 มันกลัวซะหน่อย มันกลับสบายใจซะเฉิบ นี่ มันตลบหลังเราแหนะ ขันธ์ 5 นี่
แต่ก็ผ่านบททดสอบดีน่ะ......จริงๆ แล้วพระท่านก็บอกเป็นธุดงค์แบบหนึ่ง คือ ฉันอาหารในบาตรอย่างเดียว แต่นี่แบบในจานอย่างเดียว.......... เคยทดสอบจิตตนโดยการไปนั่งในป่าช้าทั้งวันอยู่เหมือนกัน
พระท่านเรียกว่าทำอะไรทำแต่พอดี ทดลองให้รู้ พิจารณาให้เข้าใจ อย่างวันไหนเราป่วยประสาทรับรสมันก็แย่ มันก็แยกแยะรสชาติลำบาก ถ้าป่วยไม่มากก็หาอาหารรสจัดช่วยให้เจริญอาหาร ถ้าป่วยมากมันก็ต้องกินอาหารรสชาติเบาๆ อ่อนๆ ถ้าป่วยหนักมากอันนี้มันกินไม่ได้ สังขารมันเลยพาลแย่น่ะ
สุดยอดแบบที่เรียกว่ามันแบ่งชั้นกับน้ำ และถั่วเขียวปนกับคราบมันหมู รสชาติแบบสุดๆๆ เลย.. แต่ถือว่าเป็นการฝึกและทดสอบ การพิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา และพิจารณาว่าเมื่ออยู่ในท้องมันก็อย่างนี้ ดีที่ในท้องมันไม่ได้แยกรส ไม่งั้นแย่ ก็ทดลองรับประทานอยู่เกือบอาทิตย์ เพราะนานกว่านั้นไม่ได้ ต้องอยู่ในสังคมเดียวเขาว่าบ้าเอา
เคยกินข้าวแบบพระ แต่ในจานน่ะ ไม่ได้ในบาตร พระท่านสอนให้ลองกินดู โอโหสุดยอดเลย รวมแล้วคลุก กินในจานเดียวไม่ใช่มาทีละอย่างน่ะ รวมหมดขนมหวาน แกงที่มีกะทิ แกงน้ำๆ ทั้งหลายรวมหมด ที่เขาเรียกว่าข้าวหมูเลยหล่ะ อู้ฮู..ที่ขาดใจสุดก็ไอ้ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกับแพนงหมูนี่หล่ะ มันสุดยอดเลย
แหนะ แสดงว่ากินแต่ปลามีระดับนะนี่...........ส่วนใหญ่แสดงว่าเน้นไปทางปลาทะเลเป็นส่วนมาก ปลาก้างน้อย หนังไม่เป็นเมือกเกินไปใช่เปล่า.............อืม....แสดงว่าเป็นฝ่ายใน...เราพวกฝ่ายพ่อครัวไง ชิมหมด.....
เค้าเป็นไรไม่รู้กินปลาสวาย ปลาตะเพียน และปลาหมอ ปลาไหลไม่ได้ ปลาสวายเค้าแขยงตกหนังมัน มันๆๆ ทำยังไงเค้าก็กินไม่ได้ ส่วนปลาตะเพียนและปลาหมอเคยโดนก้างมันตำคอนรกเลย ปลาไหลนี่มันก็เหมือนงูเค้ามะกินอ่ะ
เหมือนคนนึงที่เขารู้จักเป็นพระมหาอยู่วัดดังที่กรุงเทพเทศน์จนสาวแก่แม่ม่ายติดตรึมเพราะเทศน์เก่งสรุปแล้วเป็นไงดีแต่เทศน์ศีลอะไรก็ขาดกระจุยเค้าก็นึกคนมันก็ศรัทธากันเข้าไปได้เนาะ