ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา (ต่อ)

    คัดมาจากหนังสือ " ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา "
    เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 26-30)

    ตามรอยกรรมนำเที่ยวโลกวิญญาณ
    กัมมุนา วัตตะตี โลโก (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


    อันเวรกรรมที่กระทำเอาไว้ จะให้ผลแน่นอน จึงขอย้อนกล่าวไปถึง บุพกรรมของผู้เขียน เพื่อเรียนเจริญพร ให้ท่านผู้อ่านเรื่องย้อนรอย ถอยหลังอีกนาน อันประวัติการณ์ย้อนรอยกรรม ที่ไปเกี่ยวกับพระประวัติ ของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมา ซึ่งท่านผู้อ่านได้ทราบ เรื่องมาแล้วนั้น อันเรื่องพื้นเพเดิมของมารดา โยมแม่ของผู้เขียนเอง มีภูมิลำเนา อยู่แถบรัฐฉานไทยใหญ่ ได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่เขต เมืองโยนก เชียงใหม่ และแม่มาเกิดที่จังหวัดลำพูน แถวบ้านปาง อำเภอป่าซาง ส่วนตระกูลของโยมบิดา เป็นคนอยุธยา มีอาชีพรับจ้าง เป็นหัวหน้าล่องแพไม้สัก ให้กับบริษัทบางกอกด๊อก แล้วไปมีความสัมพันธ์ ความรักกันแล้วแต่งงาน เมื่อตั้งท้องได้สามเดือน คุณโยมมารดา เข้าวัดจำศีลอุโบสถอยู่วัดบ้านปาง เมื่อท้องแก่ได้เก้าเดือน คุณพ่อก็ขึ้นไปรับ ล่องแพมาตามลำน้ำแม่ปิง ใช้เวลาร่วมเดือน จึงมาถึงปากน้ำโพ จอดแพไว้แบบเอาแพเป็นบ้าน

    ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้เกิดลืมตาดูโลก ในกลางสายน้ำนี้เอง ดังนั้นชีวิตเบื้องต้นของผู้เขียน จึงไม่มีบ้านเลขที่เกิด คือเกิดในแม่คือแม่น้ำ และแม่จริงเป็นคนแปลก ที่เกิดขึ้นมาจากสองแม่ ระหว่างแม่ปิง กับแม่น้ำน่านรวมกัน และเวลาเกิดก็เกิดโดยอุบัติเหตุ คือแม่ไม่รู้ตัวว่าลูกจะออก เพราะอุ้มท้องมาได้ 11 เดือนกว่า เมื่อปวดท้องปัสสาวะ แม่ก็ถ่ายปัสสาวะบนร่องแพนั่นเอง เจ้าลูกอยู่ในท้องคือ ผู้เขียนเองก็หลุดออกไปตกลงในน้ำ ขณะนั้นสุนัขชื่อเจ้าเก่งเพื่อนรักของพ่อเอง ก็กระโจนลงไปคาบขาเอาไว้ พาว่ายน้ำขึ้นมาออกเสียงว่า อุแว๊ อุแว๊ โยมพ่อกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ ถ้าไม่มีสุนัขชื่อเจ้าเก่งแล้ว ผู้เขียนคงจะมรณัง มรณาเป็นเยื่อปลาไปแล้ว แม่จึงสั่งไว้ว่า ให้รักหมาเลี้ยงหมา เพราะเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราเอง แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าเก่ง ชื่อเดียวกับหมา ตกลงว่า หมากับฉันมีชื่อเดียวกัน [​IMG]


    เมื่ออายุได้สิบกว่าปีท่าน Dermonsh (เดียร์มองเซ) ผู้มีหุ้นใหญ่ในบริษัท และใหญ่ในทางการเมือง ในด้านเอเซียตะวันออกทั้งหมด ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม แล้วนับถือศาสนาคริสต์ จนเติบใหญ่อายุได้ 25 ปี เมื่อกลับเมืองไทย แม่ก็ขอร้องให้ถือศาสนาพุทธ ก็รู้สึกฝืนความนึกคิด เพราะติดพระคริสต์เสียแล้ว แต่นี่แม่ขอ ขอให้ไปศึกษาทาง ศาสนาพุทธ จึงขึ้นไปทางเหนือถิ่นเดิมของแม่ ก็รู้สึกว่าน่าศึกษาในความเป็นมาของตุ๊เจ้าองค์หนึ่งคือ ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะในชีวิตของท่าน มีแต่ การต่อสู้ ท่านสู้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม สังคม แต่ท่านก็มีแต่เรื่องถูกจับกุมคุมตัวมาสอบสวนที่กรุงเทพถึง 5 ครั้ง อันนี้เองทำให้เราน่าเลื่อมใส เพราะปฏิปทาของท่านองค์นี้ จะเป็นที่ยอมรับของคำสอนทางฝ่ายคริสต์

    เพราะพระคริสต์ท่านสอนว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก ผู้ได้เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความอยู่รอด ของสังคมของมวลมนุษยชาติ เป็นชีวิตที่มีค่า จึงตัดสินใจบวช ปีแรกในฝ่ายมหานิกายอยู่กับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ได้รับโอวาทจากท่านว่า ชีวิตที่มีค่าแก่สังคม เราต้องฆ่าตัวเอง คือฆ่าความเห็นแก่ตัว ฆ่ากิเลส ต่อไป คุณจะเป็นคนร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่คุณอย่าติดมัน ทรัพย์สมบัติคือ ตัวทุกข์ ยศคือตัวผี ผีร้าย ผีหลอก สังคมเขาหลอกใหัติดมัน สรรเสริญคือตัวมาร สุขอันเป็นโลกียะ คือตัวหลุมเลนในส้วม พระอริยเจ้าท่านเบื่อหน่าย เหม็นเน่าเจ้าจงจำไว้เน้อ แต่อย่าลืมเรื่องเวรกรรมที่ทำไว้มันจะเป็นเงาตามตัว ตามสนองผล

    เมื่อปี พ.ศ. 2481 ข้าพเจ้าได้ 1 พรรษา ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยก็มรณภาพ ไปสู่อนาคามีนี้ ท่านกล่าว ในขณะที่ท่านจะสิ้นใจว่า อนาคามีๆ ผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองก็เร่ร่อนรอนแรม เป็นพระธุดงค์ทรงกลด พระธุดงค์ทรงรถยนต์บ้าง ทรงรถไฟบ้าง พระธุดงค์ทรงเรือไฟ ไปทุกแห่งจนถึงธิเบต และทั่วเมืองไทย อีกใจหนึ่งนึกอยากเป็นหมอสอนศาสนาเข้าหาคริสต์อีก จึงไปเจอ หลวงพ่อครูบาวัง ที่วัดบรมนิวาส เห็นท่าน สั่งสอน เข้าหลักธรรมชาติประยุกต์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน



    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_10 width=233><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">กดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม</TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    พระเถระองค์นี้ มีพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จริงๆ ไม่เหมือนที่เราเห็นมามาก ต่อมาก ที่บอกแต่ปาก ส่วนจิตใจกับไปเป็น พุทธัง เอาสะตังสะระณัง และเป็นพระที่มีตัวแฝงอยู่มาก ยากที่จะหาพระนักปฏิบัติสมัยนั้นเหมือนท่าน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะ ท่านลดละแทบทั้งหมด มีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบ ทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมด แล้วเรียกให้เข้าพบ ท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจ ในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติ กับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์และเคมีมาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย อันพระสงฆ์ทั่วๆ ไป ที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น

    จึงติดตามท่านไป ท่านชวน ให้ยัติเป็นธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม แล้วขึ้นเขารังกา เพราะเห็นว่า ปฏิปทาของพระอาจารย์วัง ใกล้ชิดกับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะนิสัยท่านไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขทางโลกียะวิสัย ไม่เหมือนพระสงฆ์ไทยบางท่านที่เราเห็นมา



    [​IMG]

    ต่อมาภายหลัง เมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าไปธุดงค์ทางภาคเหนืออีกหลายแห่ง ในเขตเมืองโยนก เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วมาปักกลด อยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า ในคืนวันหนึ่งได้ฝันนิมิตไปเห็นตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ท่านมาให้โอวาทว่า " ชีวิตที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่อง เป็นชีวิตที่ไม่มีบทเรียน ชีวิตที่ไม่เคยผ่านกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่ เราอยากจะให้คุณ ไปแสวงหาต้นกรรมของคุณที่เมืองอยุธยาโน่น จะได้รู้ ได้สู้กับกรรมเวร ที่คุณทำมาแต่ อดีตชาติ "

    จึงขึ้นรถไฟ จากลำพูนถึงอยุธยาลงจากรถไฟ แล้วเดินต่อเข้าเมืองเก่า ที่มีแต่วัดวาอาราม เวียงวังเก่าๆ ที่ชำรุดทรุดโทรม เพราะถูกเผา ทำลายมาหลายครั้ง จากน้ำมืออันโหดร้ายของข้าศึกในสมัยก่อน เราพักนอน ทำความเพียรทางจิตอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งแต่ละวันเมื่อจิตฝันไป ก็เห็นแต่ พวกมนุษย์มีเวรมีภัย รบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อีกสองวันต่อมาจึงเดินธุดงค์ข้ามทุ่งนา ไปปักกลดอยู่ที่ภูเขาทอง

    ในคืนแรกนั้นเอง ฝันไปว่า ตัวเองไม่ได้เป็นพระภิกษุ แต่เป็นนักรบเคยสู้รบกับข้าศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็แพ้เขา แล้วเราก็ถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนทาง ทิศตะวันตก แล้วมองเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปไหน เขาทำทารุณกรรมอย่างไรกับเรา และกับคณะของเรา ว่าได้รับความทุกข์ ความทรมาน อย่างแสน สาหัสสากันอย่างไร ขณะนั้น ได้ยินเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาทว่า ท่านต้องรีบไป ไปตามรอยกรรม ไม่ไปไม่ได้จะไม่มีใครแก้ไข ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ จึงรีบไปเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีโน้น เพราะถ้าไม่ไปผู้เป็นมิ่งขวัญ ดวงตา ดวงใจ ของคนไทย จะมาไม่ได้ และมีท่านองค์เดียวเท่านั้น ที่จะช่วย ให้คนไทยให้พ้นภัย


    เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ก็ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2490 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนห้า ปีกุล ซึ่งมีเครื่องบริขาร ของพระธุดงค์ ทั้งสะพาย แบก หิ้วพะรุงพะรัง เดินรอบประทักษิณ พระเจดีย์ภูเขาทอง แล้วก็ออกเดินทาง มุ่งสู่เมืองวิเศษชัยชาญ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ล่องใต้สู่เขาพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปพักค้างคืนอยู่วิเวกที่นั้น เราพักปักกลด อยู่ระหว่างเจดีย์สามองค์ ซึ่งนับว่า เป็น สถานที่ท้องถิ่นดินแดนที่มีการรบราฆ่าฟันกันมากที่สุด ในพื้นแผ่นดินสยาม เพราะในนิมิต ฝันไปเห็นผู้คนล้มตาย เกลื่อนกลาดตลอดสัตว์ คือช้าง ม้า ก็ล้มตายกัน น่าสยดสยองยิ่งนัก หากนักประวัติศาสตร์ และนักธรณีวิทยา พากันมาขุดค้นหากันจริงๆ ก็คงจะเจอกองกระดูกของคน และสัตว์มากที่สุด และจะมากกว่าทุกๆ แห่ง ในพื้นแผ่นดินสยามไทย

    แต่ในนิมิตจิตใจของเราเอง ก็ยังอยากจะเดินทางไปให้ถึงที่สุด รุ่งขึ้นวันหลังก็เดินธุดงค์ต่อแบบ เอกะจาริโก (เดินคนเดียว) ใช้เวลา 3 วัน ถึงถ้ำมะเกลือ เมืองปิล๊อก ซึ่งเคยมาก่อนแล้ว พักค้างคืนได้สองวัน แล้วออกเดินทางต่อ ผ่านอำเภอไทรโยค เข้าเมืองสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทาง จากเขาพนมทวน จึงด่านเจดีย์สามองค์ ใช้เวลา 7 วัน แล้วพักเอาแรงอยู่ที่นั่น 7 วัน เพราะเราไปแบบไม่รีบร้อน ไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ที่ฝันเอาไว้ว่า จะต้องไปเมืองพม่าให้ได้ ตามนิมิตฝัน นี่แหละท่านผู้อ่าน อันคนที่ชอบเชื่อความฝัน สักวันหนึ่งจะเจอเรื่องดี แถมจะเอาชีวีไม่รอด ดังจะกล่าวต่อไป คือ ได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า มันเรื่องอะไร ที่ต้องเข้าไปเมืองพม่า อันเป็นเมืองไร้ค่า ล้าหลัง ไร้อิสระภาพ ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกเป็นร้อยๆ ปี เพราะความระยำ อัปรีย์ของมันที่มาเข่นฆ่าทารุณคนอื่น แล้วเผาผลาญ เมืองอโยธยา ซึ่งแต่ก่อนรุ่งเรืองมั่งคั่ง ดังเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ มันมาเผาผลาญ ให้เหลือแต่ซาก



    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_4 width=262><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">กดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม</TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    เราผ่านอุทยานเมื่อไร มันดลใจให้น้ำตาไหลทุกที เพราะความแค้น แค้นที่มันมาเข่นฆ่า ราวีพี่น้องไทย ให้เหลือแต่กระดูก ฝังไว้ใต้พื้นพสุธา ที่ผ่านมาในชีวิต เราได้ไปอยู่ ไปรู้ ไปเห็น เมืองที่เขาเจริญ รุ่งเรืองมาแล้วทุกมุมโลก คือยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เราไปเห็นมาแล้ว และอยู่มาแล้ว แห่งละหลายปี นี้มันเมืองพม่าเมืองล้าหลัง เพราะคงเป็นเวรกรรมของมันแท้ๆ ที่ยกทัพมารังแกคนไทย ละลอกแล้วละลอกอีก นี้เราจะไปทำไม ไปแล้วจะได้อะไรมา แต่เราจะไปเพราะฝัน (ก็ฝันบ้าละซิ) ฝันไปหาเหตุ ดีไม่ดีตายเอากลางทาง จึงมาคิดได้ว่า นานเหลือเกินเดินทางกลางความทุกข์ ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานขวัญ ใจรอนๆ อ่อนล้ามานิรันดร์ เหลือแต่ฝันพอแฝง เลี้ยงแรงใจ จึงตกลงว่า เอ๊าไปก็ไปเป็นไรเป็นกัน ก็ความฝันมันจะให้ไปไปใช้กรรม ใช้เวรที่ตัวเองก่อไว้แต่ปางก่อน มันคงย้อนกลับมาเวรานุเวร มันหนีไม่พ้นต้องตามสนองไม่เร็วก็ช้า นับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด


    เท่าที่ฝันไปเห็นเรื่องว่า ในอดีตชาติ เราเคยเป็นนักรบผู้มีฝีมือ และเป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา สารพัด ยอดตลบตะแลง เมื่อแพ้สงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราชครองเมืองอโยธยา เมื่อเขากวาดต้อนไป ทั้งพระประยูรญาติ เจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช ก็สิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ เราได้เป็นพิธีกรเผาพระศพท่าน แล้วก็เอาอัฐิ ไปฝังไว้ที่พระธาตุ เจ้าบุเรงนองจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชา ซึ่งเดิมเป็นเพียงมหาอุปราชเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน เจ้าหม่องกวาดต้อนเอาไป และเขาจัดเรา ไปอยู่ใกล้ชิดกับหน่อกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ ที่ยังทรงเป็นทารก เขายกให้ดูแลรักษา เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย และรับภาระทุกอย่าง ในสิ่งที่ท่านต้องการ เขาจึงได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็น (ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา) มีหน้าที่ดูแลรักษาทุกๆ คนที่เป็นเชลย


    แล้วชาตินี้ ก็ต้องไปใช้กรรม นำเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตกค้างอยู่ในเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีมาให้หมด และเรื่องที่จะถูกจับกุมตัวในสมณะเพศที่ผ่านมา ก็เพราะเราเป็นตัวการวางแผน ให้เจ้าบุเรงนอง ผู้เป็นบิดา กับเจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) ทะเลาะกัน ถึงกับสั่งลูกน้องเข่นฆ่ากันตายเป็นใบไม้ร่วง นึกว่าเพื่อแก้ลำมัน จนถึงกับมันต้องเปลี่ยน แผ่นดินกัน เพราะเราวางแผนแท้ๆ แล้วกรรมนั้น ก็มาสนองให้เราต้องถูกจองจำ เพราะโทษทัณฑ์ ทางการเมืองในชาตินี้ เมื่อปี 2490 อย่างแสนสาหัส แทบจะเอาตัวไม่รอด แต่ถ้าทวยเทพเทวา ไม่มาเข้าฝัน ให้หันเข้าหาตัวแฝง เราก็คงแย่ แพ้เขาไปเลย หรืออาจจะถูกเก็บเงียบไปเลย ใครจะรู้

    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    คิดว่าควรจะลงย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา ให้จบ

    อีกอย่างข้อมูลที่มีไม่สามารถหาหลักฐานมาสนับสนุนได้ดีพอ

    จึงคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่และยังอยู่ในช่วงตั้งสมมุติฐาน

    เพราะว่าหากมีความจริงที่เป็นความจริงยิ่งกว่าเกิดขึ้น

    ความจริงเดิมที่คิดว่าจริงก็อาจจะไม่จริงได้ จึงคิดว่าไม่ควรประมาท

    บทความใดที่ได้ลงไปชั่วขณะนั้น จึงตัดสินใจลบออกค่ะ

    เพื่อให้กระทู้นี้เดินไปอย่างสง่างามต่อไปสมกับความตั้งใจที่จะเทิดพระเกีรยติ

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันทรงเป็นที่รักที่เคารพบูชาของชาวไทยอย่างสูงยิ่ง

    ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ข้าแผ่นดินก็ยังคงถวายความเคารพท่านตลอดไป

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ถวายแด่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

    ทางสายธาตุ
     
  3. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205

    อนุโมทนา ค่ะ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เกร็ดพงศาวดาร สงครามช้างเผือก พ.ศ. ๒๑๐๖

    ตรัสให้เจ้าพนักงานออกไปปลูกราชสัณฐาคาร ณ ตำบลวัดพระเมรุชิการาม กับ วัดหัสดาวาส ต่อกันมีราชบัลลังก์อาสน์สองพระที่นั่งเสมอกัน ระหว่างพระที่นั่งห่างกันสี่ศอก แล้วให้แต่งรัตนัตยาอาสน์สูงกว่าราชอาสน์อีกพระที่นั่งหนึ่ง ให้เชิญพระศรีรัตนตรัยออกไปไว้เป็นประธาน

    ผลการเจรจากก็ตกลงกันด้วยสันถวไมตรีอันดียิ่ง แต่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองท่านมีหัวการค้า เดิมท่านขอมาเพียง ๒ ช้าง เมื่อไม่ให้

    "...จึงจำต้องยกพยุหโยธาหาญ มาโดยวิถีทุเรศกันดาร จะขอช้างเผือกเพิ่มอีก สอง ช้างเป็น สี่ ช้าง พระเจ้าพี่จะว่าประการใด ..."

    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ตรัสบัญชาให้ จะไม่ให้ได้อย่างไรเล่า ทหารพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้หมดแล้วทั้งสี่ด้านแน่นทึบ แม้แมลงวันหรือยุงร้ายก็เข้า-ออกไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ สมเด็จพระเจ้ากรุงหงสาวดียังตรัสขอเพิ่ม

    "...พระราเมศวรไปเลี้ยงเป็นพระราชโอรส..." แต่มีข้อแม้ที่ไม่อาจปฎิเสธได้ว่า

    "...ถ้าพระเจ้าพี่เราให้แล้ว ก็จะยกทัพกลับไป..."

    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิท่านรู้ทัน ว่าจะขอเอาไปเป็นตัวประกันพระองค์จึงตรัสว่า

    "...ขอเอาไว้เถอะจะได้สืบประยูรวงศ์..."

    สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีท่านยืนยันตามที่ขอและแถมยังสั่งสอนสมเด็จพระเชษฐาเอาบุญเอาคุณเสียอีกว่า

    "...พระมหินทราธิราชผู้น้องนั้นก็สืบวงศ์ได้อยู่ อันจะเอาไว้ด้วยกัน ถ้าพระเจ้าพี่เราสวรรคตแล้ว ดีร้ายพี่น้องจะหม่นหมองมีความพิโรธกัน สมณพราหมณามุขมนตรี อาณาประชาราษฏร์จะได้รับความเดือดร้อน..."

    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิมิอาจขัดพระราชประสงค์ได้ แต่ยอมรับความจริงในข้อนี้โดยสิ้นเชิง เมื่อย้อนหลังไปในรัชกาลก่อนๆ ที่ผ่านมานั้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วในหลายรัชกาลเป็นบทเรียน จึงตรัสยกให้ตามที่พระเจ้าหงสาวดีทรงขอมา

    แล้วยังขอให้พระยาจักรีและพระสุนทรสงครามตามไปเป็นพี่เลี้ยงด้วย ซึ่งพระองค์ก็ยอมให้ตามที่ทรงขอมา ในขณะเดียวกันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงขอบ้างเหมือนกันว่า

    "...อาณาประชาราษฏร์หัวเมือง และ ข้าขอบขัณฑสีมาซึ่งกองทัพจับไว้นั้น ขอไว้สำหรับพระนครเถิด..."

    สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็ทรงยินยอมให้เหมือนกันทุกอย่างก็ยุติด้วยดีโดยมิเสียเลือดเนื้อ อาณาประชาราษฎร์มิได้รับความเดือดร้อนแต่อย่างใดทั้งสิ้น

    ในคราวนี้แม้จะเสียพระเกียรติยศไปบ้าง ก็ทรงยินยอมเพราะเห็นแก่อาณาประชาราษฎร์ดังกล่าวแล้ว จึงมีรับสั่งให้นำช้างพลายสี่ช้างคือ พระคเชนทโรดม หนึ่ง พระบรมไกรสร หนึ่ง พระรัตนากาศ หนึ่ง พระแก้วทรงบาศ อีกหนึ่งรวมเป็นสี่ ไปมอบให้กับสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองตามที่ได้ทรงตกลงกันไว้ แล้วเสด็จกลับเข้ายังพระบรมมหาราชวัง

    แล้วดำรัสสั่งให้สมเด็จพระราเมศวร พระยาจักรี พระสุนทรสงคราม เข้าไปรับบุตรภรรยา แล้วเข้าไปถวายบังคมลาพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อร่วมไปกับกองทัพสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองตามพระราชกำหนด

    สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีก็เสด็จกลับเข้ายังพลับพลา แล้วสั่งให้ประกาศแก่นายทัพนายกองว่า อาณาประชาราษฎร์พระนครศรีอยุธยานั้นให้ปล่อยเสียจงสิ้น แล้วเสด็จยกกองทัพหลวงกลับไปทางเมืองกำแพงเพชร

    ส่วนสมเด็จพระมหาธรรมราชาเจ้าก็ตามไปส่งเสด็จสมเด็จพระเจ้าหงสาวดี จนถึงเมืองกำแพงเพชรแล้วก็กลับมายังเมืองพิษณุโลก

    หลังจากพระเจ้าหงสาวดีทรงได้ช้างเผือกแล้ว ก็ยังทรงร้องขอสิ่งอื่นต่อไป นั่นคือเจ้านายฝ่ายใน จนไปถึงการขอ พระเจ้าพี่นางเธอ สุพรรณกัลยาด้วย เพื่อสร้างความคับแค้น ขุ่นข้อง อดสูใจให้กับกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ทางสายธาตุขอบังอาจคิดว่าการกระทำนี้สร้างรอยแผลในพระทัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าท่านด้วย

    สมเด็จพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงครามคือ คณะบุคคลที่คัดค้านการส่งช้างเผือกไปหงสาวดีในการขอครั้งแรกนั่นเอง และพระชายาของสมเด็จพระราเมศวรได้โดยเสด็จไปกรุงหงสาวดีด้วยในครั้งนี้

    จากหนังสือเกร็ดพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา หน้า 126-127

    ตรงนี้จะแทรกเกร็ดพงศาวดารที่เจ้านายฝ่ายในสมัยนั้นได้รับ เพื่อให้เห็นถึงการตกเป็นเมืองขึ้นเขาหรือเป็นขี้ข้าเขามันคับแค้นใจ ถ้าพระนเรศวรไม่สู้ก็ต้องก้มหน้าคับแค้นกันไปชั่วลูกชั่วหลาน คนไทยจะอดสูใจยิ่งกว่านี้หากไม่มีผู้มาช่วยให้รอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2009
  5. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    แค่อ่านเพียงเท่านี้ ก็อัดอั้นตันใจ คับแค้นใจมากแล้ว
    ขอรับ มันได้คืบก็จะเอาศอก
    "แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์"
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ใช่ค่ะ น่าเจ็บใจ ได้คืบเอาศอกจริงๆ

    จะพิมพ์ต่อเรื่องของพระแก้วฟ้า พระธิดาของสมเด็จพระจักรพรรดิ

    และชะตากรรมของพระชายาสมเด็จพระราเมศวร

    อ่านแล้วจะอดสูใจ พระนเรศวรเจ้าท่านจึงสู้ สู้ดีกว่าเป็นขี้ข้าเขา

    "แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์"<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส

    เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย

    เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย

    ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา


    บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ

    รัชกาลที่ 6
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต ขอพระเทพกษัตรี ไปเป็นพระมเหสี

    ลุถึงปีพุทธศักราช ๒๑๐๘ (เราเสียช้างเผือก ๔ เชือกในปีพ.ศ. ๒๑๐๖ และในอีกสองปีต่อมาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตจึงขอพระเทพกษัตรี ) พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตมีพระราชประสงค์จะได้พระราชบุตรีอันประสูติแต่สมเด็จพระสุริโยทัยวีรสัตรีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้น บัดนี้จำเริญวัยวัฒนาขึ้นมากแล้ว มาเป็นพระมเหสีให้เป็นเกียรติแก่พระราชวงศ์ จึงมีพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการแด่พระเจ้าช้างเผือก ในพระราชสาส์นมีความโดยย่อว่า

    "...ข้าพระองค์ ยังไป่มีเอกอัครราชกัลยาณีที่จะสืบศรีสุริยวงศ์ในกรุงศรีสัตนาคนหุตต่อไปมิได้ ข้าพระองค์ ขอพระราชทานพระราชธิดาอันทรงพระนาม พระเทพกษัตรี ไปเป็นปิ่นศรีสุรางคนิกรกัญญาในมหานคเรศปราจีนทิศ เป็นทางพระราชสัมพันธมิตรไมตรีสุวรรณปัฐพีแผ่นเดียวกันชั่วกัลปวสาน..."

    เมื่อได้รับพระราชสาส์น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ทรงหารือกับท้าวพระยามุขมนตรี ที่ประชุมมีมติเห็นควรให้ด้วยเหตุผลดังที่ทรงอ้างว่า

    "...กรุงพระมหานครศรีอยุธยากับกรุงหงสาวดีก็เป็นอริชอกช้ำดุจวัณโรคอันมีในพระทรวงจะรักษาเป็นอันยาก..."

    ทรงยินยอมด้วยเหตุผลทางการเมือง เพราะเหตุว่าวันข้างหน้าหากมีศึกสงครามกับใครก็ตาม ก็อาจได้รับความช่วยเหลือจากพระราชบุตรเขยทางฝั่งข้างโน้น จึงมีพระราชสาส์นตอบรับ และให้จัดท้าวนางเถ้าแก่มารับเถิด

    ขณะที่ราชทูตลงมาถึงนั้น พอดีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเทพกษัตรีประชวรหนัก มิรู้ที่จะผ่อนผันฉันใด เกรงจะเสียสัตย์ เสียทางพระราชไมตรี จึงยกพระแก้วฟ้าราชธิดาอันเกิดแต่พระสนมไปแทน

    แต่เมื่อพระแก้วฟ้าราชธิดาถึงกรุงศรีสัตนาคนหุต พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทรงทราบว่า ราชธิดาที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิประทานให้ไปนั้น มิใช่ราชธิดาอันเกิดแต่พระศรีสุริโยทัย ผู้สละพระชนม์ชีพเพื่อปกป้องพระราชสวามี เป็นตระกูลวงศ์กตัญญูอันประเสริฐ จึงเสียพระทัยถึงกับส่งคืน ดังพระราชสาส์นที่ทรงถึงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิในเชิงน้อยพระทัย

    "...เดิม พระองค์ประสาทพระเทพกษัตรีให้ กิตติศัพท์นี้ก็ทั่วไปในนิคมชนบทขอบขัณฑสีมาเมืองกรุงศรีสัตนาคนหุตสิ้นแล้ว บัดนี้พระองค์ส่งพระแก้วฟ้าราชบุตรีเปลี่ยนไปแทนนั้น ถึงมาตรว่าพระแก้วฟ้าราชบุตรี จะมีศรีสรรพลักษณโสภาคย์ยิ่งกว่าพระเทพกษัตรี ร้อยเท่าพันทวี ก็ยังไป่ล้างกิตติศัพท์พระเทพกษัตรีเสียได้ ข้าพระองค์ขอส่ง พระแก้วฟ้าราชธิดาคืน จงพระราชทานพระเทพกษัตรีแก่ข้าพระองค์ดุจ มีพระราชสาส์นอนุญาตมาแต่ก่อน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระเจ้าช้างเผือก แจ้งในลักษณพระราชสาส์นและส่งพระแก้วฟ้าคืนมาดังนั้นก็ ละอายพระทัยนัก พอพระเทพกษัตรีหายประชวรพระโรค จึงตกแต่งการที่จะส่งพระราชธิดาและจัดเถ้าแก่กำนัลสาวใช้ทาสชายห้าร้อย หญิงห้าร้อย..."

    แต่พระมหาธรรมราชาต้องการให้พระเทพกษัตรีอยู่ภายใต้พระมหาเศวตฉัตรแห่งกรุงหงสาวดีมากกว่า จึงให้ม้าเร็วไปแจ้งเรื่องนี้ยังกรุงหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีจึงมีรับสั่งให้จัดทหารกลุ่มหนึ่งมาซุ่มระหว่างทาง ณ ด่านสมอสอแล้วชิงเอาพระเทพกษัตรีไปยังกรุงหงสาวดี

    เป็นเรื่องที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเป็นอย่างมาก ถึงกับทรงสละราชสมบัติเสด็จไปประทับยังพระราชวังหลังขณะเมื่อพระชนม์ได้ ๕๙ พรรษา แล้วยกราชสมบัติให้กับพระเจ้าลูกยาเธอพระมหินทราธิราช เสด็จขึ้นผ่านพิภพไอศวรรยาธิปัตย์ ถวัลยราชประเพณี ครอบครองแผ่นดินกรุงเทพพระมหานครศรีอยุธยา เมื่อ ศักราช ๙๓๐ ปีชวด จัตวาศก พุทธศักราช ๒๑๑๑*

    เรื่องนี้จะเห็นว่าสยามทะเลาะกันเอง หรือแตกความสามัคคีกันเองเมื่อไหร่ เราก็อ่อนแอเป็นช่องให้ศัตรูได้เปรียบโจมตีได้

    "รู้รักสามัคคี" เป็นสิ่งที่พวกเราต้องรับไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมปฎิบัติตามให้จงได้ จะเป็นการถวายกำลังพระทัยให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ได้อย่างดีที่สุด

    หมายเหตุ * เรื่องปี พ.ศ.ที่สมเด็จพระมหินทราธิราชครองราชย์ เดิมในหนังสือระบุว่าเป็นปี ๒๐๙๕ น่าจะผิด ปีดังกล่าวสมเด็จพระมหาจักรพรรดิยังทรงครองราชย์อยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2009
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมเด็จพระมหินทราธิราช เสด็จขึ้นครองราชย์ เกิดสงครามกับพม่าครั้งที่๓ และเสียกรุงครั้งแรก

    สมเด็จพระมหินทราธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้ ๒๕ พรรษา (คาดว่าพระเทพกษัตรีจะพระชนม์ ประมาณ ๑๘-๒๐ พรรษา อ่อนกว่าน่าจะไม่มากเพราะร่วมพระชนนีเดียวกันและทรงเป็นพระองค์สุดพระครรภ์ องค์แรก พระราเมศวร องค์ทีสอง พระมหินทร์ องค์ที่สาม พระวิสุทธิกษัตรีย์ องค์ที่สี่ พระบรมดิลก องค์ที่ห้า พระเทพกษัตรีย์ และสันนิษฐานว่า พระแก้วฟ้าคงจะมีพระชนมายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพระเทพกษัตรี) ในขณะนั้นหัวเมืองเหนือทั้งปวงอยู่ในอำนาจสิทธิ์ขาดแก่สมเด็จพระมหาธรรมราชา โดยมีสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเป็นผู้สนับสนุนอยู่อย่างเปิดเผย สร้างความขุ่นเคือง คุมแค้นให้กับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระมหินทราธิราชเป็นอันมาก แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ ด้วยติดขัดที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเป็นผู้คอยปกป้อง คุ้มครองอยู่ การแตกหักระหว่างสมเด็จพระมหาธรรมราชา กับฝ่ายกรุงศรีอยุธยา จนเกิดสงครามระหว่างพระเจ้ากรุงหงสาวดีกับกรุงศรีอยุธยา เป็นครั้งที่ ๓ อันนำไปสู่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๑๑๒ นั้น หนังสือพงศาวดารพม่าบันทึกไว้ว่า มีมูลเหตุดังนี้

    พระชายาของพระราเมศวรที่เป็นม่ายอยู่ที่กรุงหงสาวดีทูลลาพระเจ้าหงสาวดีจะกลับเข้ามาอยู่กรุงศรีอยุธยา แต่ถูกอำมาตย์ที่พระเจ้าหงสาวดีให้พามาส่งนั้นกระทำชู้กับชายาพระราเมศวร พาแวะเวียนอยู่เสียกลางทาง ทางกรุงศรีอยุธยาทราบเรื่องนี้จึงฟ้องร้องไปยังพระเจ้าหงสาวดี สั่งให้นำพาตัวมาชำระได้ความจริง จึงสั่งให้สำเร็จโทษเสีย แล้วแต่งให้อำมาตย์อีกคนหนึ่งพามาส่ง สมเด็จพระมหินทราธิราชให้ดักฆ่าอำมาตย์ผู้นั้นเสียกลางทาง แล้วเลยตั้งแข็งเมือง

    พระมหาธรรมราชาทราบเรื่องนี้จึงไม่ยอมเข้าด้วย แล้วลอบออกไปเมืองหงสาวดีเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการออกตัวในเรื่องนี้ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองพอใจในความสวามิภักดิ์ จึงตั้งให้เป็นเจ้าประเทศราชเรียกว่า "เจ้าฟ้าสองแคว" (ตามชื่อเดิมของเมืองพิษณุโลก)

    ในขณะที่พระมหาธรรมราชาไม่อยู่นี้ ทางสมเด็จพระมหินทราธิราชเสด็จขึ้นไปพิษณุโลกไปรวบรวมเอาครอบครัวของพระมหาธรรมราชาลงมาไว้เป็นตัวจำนำที่กรุงศรีอยุธยา ต่อมาพระเจ้าหงสาวดีทราบเรื่องนี้พิโรธมากหาว่าไม่ไว้หน้าและหยามน้ำใจ จึงสั่งให้เตรียมทัพ

    แต่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองที่คอยจ้องอยู่ เมื่อเห็นว่า ทางกรุงศรีอยุธยาแตกความสามัคคีดังสมคะเน ก็มีรับสั่งให้เตรียมกองทัพใหญ่ เป็นทัพกษัตริย์ทีเดียว

    นักประวัติศาสตร์ชั้นหลังสันนิษฐานกันว่า ก่อนที่พระมหาธรรมราชาจะกลับจากกรุงหงสาวดีในคราวนั้น คงจะมีการตกลงสัญญาลับกันไว้ว่าสงครามนี้เป็นสงครามที่จะรบกันให้แตกหัก ให้เห็นผลการแพ้ การชนะอย่างเป็นรูปธรรม แต่จะไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ประชาชนล้มตายโดยไม่จำเป็น แล้วจะให้พระมหาธรรมราชาขึ้นครองราชย์ เป็นเมืองในประเทศราชของกรุงหงสาวดี

    ดังนั้น การกลับจากกรุงหงสาวดีในคราวนั้น พระมหาธรรมราชามิได้นำพระนเรศวรกลับมาด้วย คงทิ้งให้พำนักอยู่ที่กรุงหงสาวดีในทำนองเป็นตัวประกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2009
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อนุโมทนา สาธุครับ นานๆจะได้มีโอกาสทบทวนประวัติ
    ศาสตร์กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวกันสักครั้ง ประวัติศาสตร์
    แห่งความชอกช้ำระกำใจของชาติไทยเรา เผื่อจะได้เป็น
    เครื่องเตือนสติให้กับ ลูกหลาน เหลน โหลน ไทยใน
    ปัจจุบันได้บ้างนะครับ
    ก่อนหน้านี้เรารู้จักกันแต่เพียงคำว่าสามัคคี ในลักษณะที่เป็นคำนามกันเสียส่วนมาก อาจจะไม่สู้เข้าใจในคำกริยา
    ที่จะนำไปสู่ความสามัคคี จวบจนพระบาทสมเด็จพระเจ้า
    อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้มีพระกระแสรับสั่งใน
    เรื่องรู้รักสามัคคี เมื่อไม่นานมานี้ สมควรที่พวกเราชาว
    จักได้น้อมรับใส่เกล้าฯนำไปยึดถือปฎิบัติกันครับ
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ลุถึงปีพุทธศักราช ๒๑๐๘ (เราเสียช้างเผือก ๔ เชือกในปีพ.ศ. ๒๑๐๖ และในอีกสองปีต่อมาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตจึงขอพระเทพกษัตรี ) พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตมีพระราชประสงค์จะได้พระราชบุตรีอันประสูติแต่สมเด็จพระสุริโยทัยวีรสัตรีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้น บัดนี้จำเริญวัยวัฒนาขึ้นมากแล้ว มาเป็นพระมเหสีให้เป็นเกียรติแก่พระราชวงศ์ จึงมีพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการแด่พระเจ้าช้างเผือก ...

    คงจะประมาณรัชสมัยของทั้งสองพระองค์นี้กระมังครับ จากความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างกัน จึง
    ได้มีการสร้างพระธาตุศรีสองรัก
    เพื่อเป็นอนุสรณ์ ( พระธาตุศรีสอง
    รัก อยู่ที่ จ. เลย )
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เจ้านายฝ่ายในของสยาม ที่เสด็จไปเป็นพระสนม พระเจ้าบุเรงนอง

    พระอัครมเหสีและพระสนมของพระเจ้าบุเรงนอง

    จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ข้างพม่าระบุชัดว่า พระเจ้าบุเรงนองมีมเหสีถึงสามพระองค์ โดยในสามพระองค์นี้มีพระนางตะเคงจีเป็นมเหสีเอก ทรงเป็นราชินีพม่าองค์เดียวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาราณี และยังทรงมีพระสนมมากถึง 30 พระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์ล้วนเป็นเจ้านายจากหัวเมืองต่างๆ ทั้งสิ้น
    1.พระอัครมเหสีพระนางอดุลศรีตะเกงจีมหาเทวีเจ้า (พระพี่นางต่างมารดากับ
    พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้)
    2.พระราชเทวีจันทรา (ธิดากรุงอังวะ)
    3.พระราชเทวี (ธิดาเมืองแปร)
    4.พระราชเทวีอุ่นคำ (มเหสีเมืองศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง)
    5.เจ้านางตองสี (ธิดาเจ้าเมืองมอญ อดีตพระสนมของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้)
    6.เจ้านางมิ่งแก้ว (ธิดาเมืองเชียงใหม่)
    7.พระเทพกษัตรีย์ (พระขนิษฐาของ
    พระวิสุทธิ์กษัตริย์)
    8.พระพิจิตรจินดา (ธิดาของสมเด็จพระมหินทราธิราช)
    9.
    พระสุพรรณกัลยา (ธิดาของพระวิสุทธิ์กษัตริย์ ทรงเป็นพระพี่นางของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
    10.พระอินทรเทวี (ธิดาของพระสนมทองจันทร์ ผู้เป็นพระสนมของ
    สมเด็จพระมหาธรรมราชา)

    ที่สืบค้นได้มีสี่พระองค์ คือ พระเทพกษัตรีย์ พระพิจิตรจินดา พระสุพรรณกัลยา พระอินทรเทวี ส่วนเจ้านางมิ่งแก้ว (ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ล้านนานะคะ ไม่ทราบว่าถือว่าเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของสยามหรือไม่ในยามนั้นค่ะ)

    หลังจากเห็นชื่อพระพิจิตรจินดา พระธิดาของสมเด็จพระมหินทราธิราชแล้ว คาดว่าในหนังสือเกร็ดพงศาวดารเล่มที่อ่านนี้คงจะระบุอายุของพระมหินทราธิราชในตอนที่ขึ้นครองราชย์ไม่ถูกต้องนะคะ เพราะเป็นพระบิดาแล้ว อายุน่าจะมากกว่า 35 พรรษา คงต้องตรวจสอบกันอีกที
     
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434

    ความรู้ใหม่ ไม่เคยรู้ประวัติเรื่องพระธาตุศรีสองรักเลยค่ะ

    ถ้าคุณจงรักภักดีพอจะรู้เรื่อง เล่าสู่กันฟังบ้าง ชื่อพระธาตุน่าสนใจ
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    จะยังไม่ตอบก็เกรงจะเป็นการใจไม้ใส้ระกำ ก็ขอขัดตาทัพพอเป็นน้ำจิ้มไปก่อนนะครับ สืบเนื่องจากเมื่อครั้งไปปฎิบัติ
    ธรรมกับท่านพระอาจารย์นวลจันทร์ ที่ภูนาคำ จ.เลย เมื่อ
    ไม่นานมานี้ และได้มีโอกาสพบกับคุณภาวิโต (พี่ภาวิโต)
    พระอาจารย์ได้พาไปกราบไหว้สถานที่สำคัญๆหลายแห่ง
    หนึ่งในนั้นก็คือพระธาตุศรีสองรักนี่แหละครับ เท่าที่ได้อ่าน
    ดูก็จำได้ว่า ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองแผ่นดินไทยและลาว ในสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ ครับ พอสังเขปแค่นี้ก่อนนะครับ รายละเอียด
    เพิ่มเติมจะค้นหามาเพิ่มเติมให้ต่อไปครับ
     
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พระธาตุศรีสองรัก

    อ. ด่านซ้าย จ. เลย

    ข้อมูลทั่วไป - พระธาตุศรีสองรัก

    [​IMG] พระธาตุศรีสองรัก ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหมัน ห่างจากตัวอำเภอด่านซ้ายประมาณ 1 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวจังหวัด 83 กิโลเมตร พระธาตุศรีสองรักมีรูปทรงลักษณะศิลปกรรมแบบล้านช้าง องค์พระธาตุสูง 19.19 เมตร ฐานกว้างด้านละ 10.89 เมตร ฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ย่อมุมไม้สิบสอง องค์ระฆังทรง “บัวเหลี่ยม” คล้ายพระธาตุพนม พระธาตุหลวง (เวียงจันทน์) พระธาตุศรีโคตรบอง (แขวงคำม่วน) และอีกมาก
    มายแถบลุ่มน้ำโขง พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นถวายเป็นอุเทสิกเจดีย์ (หมายถึงเจดีย์สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศให้พระศาสนา โดยไม่กำหนดว่าต้องเก็บรักษาสิ่งใด) สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2103 เสร็จในปี พ.ศ.2106 พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหาจักรพรรดิ)และกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรกศิลปะธิเบตด้วย ทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ชาวด่านซ้ายหรือ “ลูกผึ้งลูกเทียน” จะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุศรีสองรักขึ้นโดยจะนำต้นผึ้ง (ประดิษฐ์จากโครงไม้ไผ่เป็นทรงหอปราสาทขนาดกว้าง 2 ฟุต สูง 2 ฟุตเศษ กรุรอบด้วยลวดลายงานแทงหยวกจากนั้นประดับด้วย “ดอกผึ้ง” ซึ่งทำจากแผ่นเทียนกลม ๆ บาง ๆ ตากแดดแล้วจับเป็นกลีบ ตรงกลางติดดอกบานไม่รู้โรย หรือขมิ้นหั่นเล็ก ๆ ต่างเกสรดอกไม้สีสดใส) เทียนเวียนหัว (เทียนแท่งที่ฟั่นยาวพอคาดได้รอบศีรษะ) มาถวายองค์พระธาตุถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมจะมีการจัดงานนมัสการพระธาตุศรีสองรักขึ้นทุกปี

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=10 width=745><TBODY><TR><TD class=blue13n align=middle width=143 bgColor=#e9f0f8>[​IMG]
    พระธาตุศรีสองรัก
    </TD><TD class=blue13n align=middle width=143 bgColor=#e9f0f8>[​IMG]
    พระธาตุศรีสองรัก
    </TD><TD class=blue13n align=middle width=143 bgColor=#e9f0f8>[​IMG]
    พระธาตุศรีสองรัก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับองค์พระธาตุศรีสองรัก คือ ไม่ควรนำสิ่งของหรือดอกไม้สีแดงขึ้นบูชา ไม่ควรแต่งกายด้วยชุดสีแดงขึ้นไปนมัสการ เพราะองค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเลือดและความรุนแรง ไม่ควรกางร่ม สวมหมวกและสวมรองเท้าขึ้นไปบนพระธาตุ ไม่ควรนำเด็กต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไปนมัสการ (หมายเหตุ : ก่อนท่านจะทำหรือประกอบพิธีใด ๆ ที่เกี่ยวกับองค์พระธาตุขอให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าองค์พระธาตุก่อน)

    การเดินทางสู่ พระธาตุศรีสองรัก

    จากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 203 เส้นเลย-ภูเรือ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2013 อีก 15 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้ายจากนั้นแยกขวาเข้าเส้นทาง 2113 อีก 1 กิโลเมตร
     
  16. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พระธาตุศรีสองรัก ได้สร้างขึ้นในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ครอบครองกรุงศรีอยุธยาแห่งอาณาจักรสยามสมัยนั้น และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) แห่งอาราจักรล้านช้างสมัยนั้น เพื่อเป็นสักขีพยานในการทำสัญญาทางพระราชไมตรี และเป็นด่านกั้นเขตแดนของสองพระนครใสสมัยโน้น ทั้งนี้เนื่องจากในระหว่างที่กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ เพราะพม่ามีกษัตริย์ที่เข้มแข็งในการสงครามปกครองคือ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ และพระบุเรงนองได้ยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุตหลายคราว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช [​IMG]จึงทำไมตรีกัน เพื่อร่วมกันต่อสู้กับพม่าและเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีกันครั้งนี้ ได้ทรงร่วมกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นเป็นสักขีพยานจึงได้ขึ้นชื่อว่า “ พระธาตุศรีสองรัก ” ตามตำนานกล่าวไว้ว่าได้สร้างขึ้น ณ ที่กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำน่านบนโคกไม้ติดกัน เริ่มสร้างแต่ พ.ศ. 2103 ตรงกับปีวอก โทศก จุลศักราช 922 และเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ตรงกับปีกุล เบญจศก จุลศักราช 925 ในวันพุธขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 และได้ทำพิธีฉลองสมโภชในวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6การสร้างพระธาตุศรีสองรัก นับเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ของชนชาติเผ่าลาวในดินแดนล้านช้างสมัยนั้น[​IMG] มาตั้งแต่โบราณการเป็นอย่างดี และพระธาตุศรีสองรักนี้ ประชาชนในท้องที่จังหวัดเลยและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือ เป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในวันเพ็ญเดือน 6 จะการทำพิธีสมโภชและนมัสการพรเจดีย์ขึ้นทุกปีจนถือเป็นประเพณีตลอดมาจนทุกวันนี้ พระธาตุศรีสองรัก นับแต่สร้างมาจนถึงปัจจุบันนี้นับได้ 400 ปีเศษ นอกจากเป็นปูชนียสถานสำคัญของอำเภอด่านซ้าย ยังเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของจังหวัดเล[​IMG]<O:p>
    </O:p>
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พระธาตุศรีสองรัก กับความเชื่อเรื่อง สีแดง


    เกร็ดความรู้ เรื่องน่าอ่าน ความรู้รอบตัว เรื่อง พระธาตุศรีสองรัก กับความเชื่อเรื่องสีแดง พระธาตุศรีสองรัก เป็นที่เคารพบูชาของทั้งชาวไทยและชาวลาว และที่นี่มี ความเชื่อ ว่าห้ามใส่เสื้อผ้าสีแดง รวมถึงของประดับที่มีสีแดงเป็นส่วนประกอบ เข้าไปบริเวณองค์ พระธาตุศรีสองรัก อยากรู้ว่าทำไมสีแดงจึงเป็นสีต้องห้ามที่นี่มีคำตอบค่ะ

    [​IMG]


    ลมหนาวมาเยือนครั้งใด "ภาคเหนือ" มักจะเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติอยู่ไม่น้อย ซึ่งต้นหนาวคราวนี้ เรามีโอกาสได้ไปเยือนเมือง "เลย" (เมืองที่ไปไม่ถึงสักที เพราะ "เลย" ไปตลอด) โดยคำเชิญจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตะวันออกเฉียงเหนือเขต 5

    และเมื่อกล่าวถึง จ.เลย คงมีหลายอย่างให้เราได้นึกถึง ไม่ว่าจะเป็น ขบวนแห่ผีตาโขน ที่มีหนึ่งเดียวในโลก หรือโบราณสถานอย่าง "พระธาตุศรีสองรัก" ที่เป็นที่เคารพบูชาของทั้งชาวไทย และชาวลาว

    ทั้งนี้ เมื่อมีโอกาสที่ได้ไปเยือน "พระธาตุศรีสองรัก" ทำให้เจอะกับคำถามที่น่าสงสัยว่าทำไม คนที่จะเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุศรีสองรัก จึงห้ามใส่เสื้อผ้าสีแดง รวมถึงของประดับที่มีสีแดงเป็นส่วนประกอบ ซึ่ง "เก็บตกริมทาง" ก็ขออาสาหาคำตอบมาบอกกัน
    [​IMG]
    ย้อนไปในอดีต "พระธาตุศรีสองรัก" ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์สัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) เนื่องจากขณะที่กษัตริย์ทั้งครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ และมีการรุกรานดินแดนต่างๆ เพื่อขยายอำนาจ สมเด็จพระมหาจักรพรรและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงเห็นตรงกันที่จะรวมกำลังเป็นพันธมิตร เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่า จะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ทรงร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองอาณาจักร โดยการสร้างเจดีย์ขึ้นและให้ใช้ชื่อว่า "พระธาตุศรีสองรัก"

    ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปสักการะองค์พระธาตุศรีสองรัก อาจจะต้องแปลกใจ เพราะว่า คนที่จะเข้าไปสักการะองค์พระธาตุได้ จะต้องห้ามใส่เสื้อผ้า "สีแดง" หรือถือสิ่งของที่มีสีแดงเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ ด้วยเหตุผลที่ว่า...

    "พระธาตุศรีสองรัก" เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ระหว่างประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งนี้ "สีแดง" อาจเปรียบได้กับ "เลือด" ที่เป็นผลของการทำสงคราม ดังนั้น คนโบราณจึงมีการห้ามไม่ให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีแดง เข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน

    [​IMG]

    ภายในมณฑปบริเวณองค์พระธาตุ ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก ที่สร้างขึ้นพร้อมกับ พระธาตุศรีสองรัก หัวนาคปรกสร้างด้วยศิลา ในส่วนขององค์พระพุทธรูปสันนิษฐานว่า สร้างด้วยทองสัมริด มีหน้าตักกว้าง 21 นิ้ว สูง 30 นิ้ว โดยหลวงพ่อไกรสีห์จะเปิดให้นมัสการในโอกาสสำคัญ ซึ่งในแต่ละปีจะมีการปิดทอง 1 ครั้ง โดยจะทำก่อนวันงานสมโภชและนมัสการพระธาตุศรีสองรัก 1 วัน

    นอกจากนั้น ประวัติการสร้างพระธาตุศรีสองรัก ยังถูกบันทึกไว้บน "ศิลาจารึกพระธาตุศรีสองรัก" (หลักเก่า) บริเวณวัดพระธาตุศรีสองรัก โดยเป็นศิลาจารึกรูปใบโพธิ์ บันทึกประวัติโดยย่อของพระธาตุศรีสองรัก

    ทั้งนี้และทั้งนั้น ถ้ามีโอกาสได้ไปสักการะ "องค์พระธาตุศรีสองรัก" ก็อย่าลืมธรรมเนียมปฏิบัติ กับข้อห้ามในเรื่องของ "สีแดง" ด้วย จะได้ไม่เก้อ...


    ข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....ส่วนเจ้านางมิ่งแก้ว (ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ล้านนานะคะ ไม่ทราบว่าถือว่าเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของสยามหรือไม่ในยามนั้นค่ะ)....


    -ผมเองก็ไม่สู้จะแม่นในประวัติศาสตร์สักเท่าไร แต่สำหรับกรณีเชียงใหม่นี่พอจะลำดับข้อมูลและเหตุผลได้อยู่ ถ้าดู
    จากที่ตั้งจะเหมือนกับอยู่กึ่งกลางระหว่างหงสาวดีกับ
    อยุธยา โดยประมาณ เปรียบเสมือนเป็นหัวเมืองเอกหรือ
    อาจจะเรียกว่าเป็นเมืองหน้าด่าน (ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าจะถูก
    ต้องหรือไม่ ) ยามใดที่ฝ่ายใดมีอำนาจก็จะยึดครองไว้
    เพื่อประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่า
    ส่วนหญ่แล้วพม่าจะเป็นฝ่ายยึดครองเชียงใหม่เสียมากกว่า
    ก็เพื่อประโยชน์ต่อการรุกรานกรุงศรีอยุธยาโดยใช้เชียงใหม่เป็นเสมือนฐานทัพ ในการรวบรวมเสบียงอาหารและส่ง
    กำลังบำรุง เท่าที่พอจำได้พม่าจะส่งราชวงศ์ระดับพระ
    โอรสมาปกครองเชียงใหม่ ถ้าเรียกแบบไทยๆก็คงเป็นเมือง
    ลูกหลวงกระมังครับ ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    เมื่อครั้งที่ยกทัพจะขึ้นไปตีอังวะ เจ้าเมืองเชียงใหม่ที่
    สวามิภักดิ์ต่อศรีอยุธยาก็เป็นระดับพระโอรสของพระเจ้า
    นันทบุเรง (ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้ ) ดังนั้นจึงน่าสันนิษฐาน
    ว่าในยุคสมัยที่พระเจ้าบุเรงนองเรืองอำนาจ เมืองเชียงใหม่
    ก็น่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของพม่านะครับ ส่วนเจ้านาง
    มิ่งแก้ว จะเป็นเชื้อสายทางใด คงต้องศึกษาย้อนขึ้นไปอีก
    ว่าก่อนหน้านั้นเชียงใหม่อยู่ภายใต้การปกครองของไทย
    (สยาม) หรือพม่า เอ! น่าสนใจนะครับ
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ไหนๆก็ได้หลุดเรื่องไปปฎิบัติธรรม ก็พอมีน้ำจิ้มมา
    ฝากกันครับ

    อัสสาสะ ปัสสาสะ ระลึกรู้
    จิตเฝ้าดู เฝ้ารู้ ตลอดสาย
    สั้นก็รู้ ยาวก็รู้ มิวางวาย
    จิตกับกาย แยกให้ได้ไม่ใช่เรา
     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    บทสวดพุทธชนะมาร(พาหุง)

    [​IMG]



    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
    พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว
    ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม.

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว ;
    ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์.

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
    เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความเจริญจำแกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้

    (๑)พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
    ครีเมขะลังอุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมาะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
    พระจอมมุนี ได้เอาชนะพระยามารผู้เนรมิตแขนมากตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างครีเมขละ มาพร้อมกับเหล่าเสนามารซึ่งโห่ร้องกึกก้อง ด้วยวิธีอธิษฐานถึงทานบารมี เป็นต้น,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๒) มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
    โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
    อนึ่งพระจอมมุนี ได้เอาชนะยักษ์ชื่อ อาฬวกะ ผู้มีจิตหยาบกระด้าง ผู้ไม่มีความอดทน มีความพิลึกน่ากลัวกว่าพระยามาร ซึ่งได้เข้ามาต่อสู้อย่างยิ่งยวดจนตลอดคืนยันรุ่ง ด้วยวิธีทรมานอันดี คือ ขันติ ความอดทน,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๓) นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
    ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ
    พระจอมมุนี ได้เอาชนะช้างตัวประเสริฐ ชื่อ นาฬาคิรี ที่เมายิ่งนัก และแสนจะดุร้าย ประดุจไฟป่าและจักราวุธและสายฟ้า ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือ ความมีพระทัยเมตตา,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๔) อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
    ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ
    พระจอมมุนี ทรงคิดจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ จึงได้เอาชนะโจรชื่อ องคุลิมาล ผู้แสนจะดุร้าย มีฝีมือ ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๕) กัตวานะ กัฎฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
    จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
    พระจอมมุนี ได้เอาชนะคำกล่าวใส่ร้ายของ นางจิญจมาณวิกา ซึ่งทำอาการเหมือนดั่งตั้งครรภ์ เพราะเอาท่อนไม้กลมผูกไว้ที่หน้าท้อง ด้วยวิธีทรงสมาธิอันงาม คือ ความกระทำพระทัยให้ตั้งมั่นนิ่งเฉย ในท่ามกลางหมู่ชน,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๖) สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
    วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
    พระจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญา ได้เอาชนะ สัจจกะนิครนถ์ ผู้มีความคิดมุ่งหมายในอันจะละทิ้งความสัตย์ มีใจคิดจะยกถ้อยคำของตนให้สูงประดุจยกธง และมีใจมืดมนยิ่งนัก ด้วยการแสดงเทศนาให้ถูกใจ,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๗) นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
    ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
    อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
    พระจอมมุนี ได้เอาชนะพญานาคราช ชื่อ นันโทปนันทะ ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีบอกอุบายให้พระโมคคัลลานเถระพุทธชิโนรส แสดงฤทธิ์เนรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาค ชื่อ นันโทปนันทะ นั้น,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๘) ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
    พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ
    พระจอมมุนี ได้เอาชนะพระพรหมผู้มีนามว่า ท้าวผกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ คิดว่าตนเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ ผู้ถูกพญานาครัดมือไว้แน่น เพราะมีจิตคิดถือเอาความเห็นผิด ด้วยวิธีวางยา คือ ทรงแสดงเทศนาให้ถูกใจ,
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

    (๙) เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา
    โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
    หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
    โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ
    บุคคลใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดและระลึกถึงพรุพุทธชัยมงคล ๘ คาถาเหล่านี้ทุกๆ วัน บุคคลนั้นจะพึงละความจัญไรอันตรายทั้งหลายทุกอย่างเสียได้ และเข้าถึงความหลุดพ้น คือ พระนิพพานอันบรมสุข นั้นแลฯ

    ภะวะตุสัพพมังคลัง
    รักขันตุสัพภเทวตา
    สัพพพุทธานุเวนะ
    สทาโสตถีภวันตุเต
    ขอสัพมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
    ขอเหล่าเทวดาทั้งหลายจงรักษาท่าน
    ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง
    ขอความสวัสดีทั้งหลายจงมีแก่ท่านทุกเมื่อเทอญ

    ภะวะตุสัพพมังคลัง
    รักขันตุสัพภเทวตา
    สัพพธัมมานุเวนะ
    สทาโสตถีภวันตุเต
    ขอสัพมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
    ขอเหล่าเทวดาทั้งหลายจงรักษาท่าน
    ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง
    ขอความสวัสดีทั้งหลายจงมีแก่ท่านทุกเมื่อเทอญ

    ภะวะตุสัพพมังคลัง
    รักขันตุสัพภเทวตา
    สัพพสังฆานุเวนะ
    สทาโสตถีภวันตุเต
    ขอสัพมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
    ขอเหล่าเทวดาทั้งหลายจงรักษาท่าน
    ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ทั้งปวง
    ขอความสวัสดีทั้งหลายจงมีแก่ท่านทุกเมื่อเทอญ


    ขอนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธะ ขอนอบน้อมต่อพระธรรมคำสั่งสอน ขอนอบน้อมต่อพระสงฆ์ผู้เจริญ​

    ขอนอบน้อมต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ บูรพกษัตริย์ทุกๆพระองค์​

    ขอถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระดวงแก้วดวงใจไทยทั้งชาติ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...