@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]




    ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า (โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง )

    ตอนเริ่มปรารถนาพระโพธิญาณ

    นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อาตมาจะนำความเป็นมาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มาแสดงแก่บรรดาพุทธบริษัท เพื่อเป็นประวัติในการประพฤติดีประพฤติชอบตามที่พระองค์ทรงปฏิบัติมา

    ในวันนี้ ก็ขอเริ่มเรื่องเบื้องต้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ
    แต่ความจริงเรื่องนี้ จะหาตำราที่ไหนมาอ่านก็หาไม่ได้ เป็นอันว่าก็จะขอนำมาจากความรู้ จากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ที่พระองค์ทรงมีพระพุทธประสงค์ให้รู้ความต้นเหตุ ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ
    เนื้อความมีอยู่ว่า นับถอยหลังจากกัปนี้ไป ปรากฎว่าได้ 4 อสงไขยกับแสนกัปเศษในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเกิดเป็นลูกชาวบ้านชาวป่าธรรมดา มีความเป็นอยู่ด้วยความแร้นแค้น ท่านเลี้ยงบิดามารดา มีความกตัญญูรู้คุณทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจว่าอะไรมันจะเป็นบุญ อะไรมันจะเป็นบาป แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ คือทรงความดี ชีวิตินทรีย์ของตนที่ทรงอยู่ได้นี้ก็เพราะอาศัยบิดามารดาเป็นปัจจัย

    ฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงมีกำลังกายใหญ่พอเป็นหนุ่มที่จะเลี้ยงบิดามารดาได้ ภาระอันใดที่บิดามารดาหยุด ตัวเองเป็นผู้ทำแทนทุกอย่างคือ กิจภายนอกบ้านและกิจภายใน

    ตอนนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บิดามารดาของพระองค์นั้นเป็นชาวป่าหาฟืนขาย ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้มีความสุขสบายคือ เรียกว่าขายได้ขายวันหนึ่งก็กินไปวันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีส่วนแห่งการเหลืออะไรเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นความดีที่บิดามารดาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ รู้สึกว่าเป็นคนดี มีศีล มีธรรม
    ท่านกล่าวว่า การเกิดในครั้งนั้นมีความลำบากยากแค้นมาก ต้องหาเช้ากินค่ำ ผลกำไรที่จะเหลือไว้ในวันอื่น ๆ ต่อ ๆ ไปก็มีน้อย และท่านก็เป็นลูกชายคนเดียวของบิดามารดา แต่ก็พยายามปฏิบัติมาด้วยความกตัญญูรู้คุณ ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เมื่อทำภารกิจภายนอกคือตัดฟืนมาได้แล้ว กลับมาบ้านก็หุงข้าวหาอาหารเลี้ยงบิดามารดา เป็นต้น นับว่าเป็นคนดีที่มีจิตประกอบไปด้วยกุศล กล่าวคือความฉลาดในการปฏิบัติความดี
    ต่อมาภายในไม่ช้า ในชีวิตของท่านนี้กล่าวว่าอายุประมาณ 23 ปี ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อุทุมพร ซึ่งอุบัติแล้วในโลกในขณะนั้น ท่านประกาศพระศาสนาในแคว้นอื่น
    สำหรับเมืองที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเกิดในแคว้นนั้น เรียกว่า แคว้นกุรุรัฐ ซึ่งองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์กล่าวว่า เป็นแคว้นในอินเดียแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า เมืองอาฬวี
    ความจริงพระพุทธเจ้า ถ้าจะอุบัติก็ต้องอุบัติในแคว้นชมพูทวีปเหมือนกัน ไม่ไปที่อื่น เพราะว่าในสถานที่นั้นเป็นที่ของบุคคผู้มุ่งผลคือบุญใหญ่ ได้แก่พระนิพพาน โดยเฉพาะเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัส คนในเขตชมพูทวีปก็มักจะปฏิบัติทางจิตใจกันมาก เป็นการเหมาะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงสอนในด้านจิตใจ
    วันหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ประมาณ 80,000 รูป ได้เสด็จมาในแคว้นอาฬวี หรือแคว้นกุรุในสมัยนั้น ได้มีบรรดาชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พากันไปบำเพ็ญกุศล
    สำหรับกระทาชายนี้ คือองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนจนก็จริงแหล่ แต่ทว่าเมื่อเห็นชาวบ้านเขาไปใส่บาตรพระ และเวลากลางวันที่ท่านจะไปตัดฟืน เห็นชาวบ้านเขาเดินเป็นแถว ๆ ถือดอกไม้ ธูปเทียนเครื่องสักกาวรามิส มีอาหารและเครื่องเภสัชเป็นต้น เพื่อจะนำไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา ซึ่งมีนามว่า อุทุมพร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมีความสงสัย จึงได้ถามชาวบ้านเหล่านี้ว่า
    “ท่านไปไหนกัน”
    เขาก็บอกว่า ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อุทุมพร พร้อมไปด้วยพระอรหันต์ 80,000 รูป ไปเฝ้าแล้ว ถวายภัตตาหารแล้วพวกเราก็ฟังเทศน์กัน ส่วนมากคนที่เดินมานั้นเป็นพระอริยเจ้าเป็นส่วนมาก
    ท่านก็ถามว่า “องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าน่ะ มีรูปร่างลักษณะเป็นยังไง”
    ชาวบ้านก็ “พรรณนาให้ฟังว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระจอมไตรบรมศาสดามีความสวยสดงดงามมากมีลักษณะ 32 ครบถ้วน มีลักษณะพิเศษอีก 80 และนอกจากนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ยังมีฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ เวลาแสดงพระธรรมเทศนานั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ สว่างไสวมาก และกระแสสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ไพเราะเสนาะโสตเป็นที่น่าฟัง ฟังแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ”
    ท่านจึงได้ถามคนทั้งหลายว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนจน กลางวันจะต้องตัดฟืน และกลางคืนจึงจะมีเวลาว่าง อยากจะทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศน์เฉพาะกลางวัน หรือเทศน์กลางคืนด้วย”
    บรรดาชาวบ้านก็บอกว่า “พระพุทธเจ้าเทศน์ทั้งกลางวัน และก็เทศน์ทั้งกลางคืน ถ้ามีคนไปฟัง”
    ท่านจึงตัดสินใจว่า ถ้ากระนั้นเราจะขอไปฟังในเวลากลางคืน กลางวันเป็นหน้าที่ในการเลี้ยงดูบิดามารดา ปฏิบัติบิดามารดาให้เป็นสุข กลางคืนจะเปลื้องทุกข์ด้วยการฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ยกมืออนุโมทนาความดีของบรรดาประชาชนทั้งหลาย เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็หลีกไปสู่มหาวิหาร
    สำหรับองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ซึ่งเป็นกระทาชาย คือบุคคลผู้ยากจนเข็ญใจก็เข้าป่า ใจก็คิดไปว่า
    “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรูปร่างเป็นอย่างไรหนอ”
    “รัศมี 6 ประการขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประการใด”
    “กระแสพระสัทธรรมเทศนา ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เขาลือว่าเพราะ เพราะแบบไหน”
    และคำเทศน์ เทศน์ยังไง ไม่เคยฟัง อยากจะฟัง ไอ้มือก็ฟันฟืนไป ใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เป็นอันว่าจิตใจของท่านเวลานั้นมีความผูกพันกับพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ได้รับคำว่าพระพุทธเจ้าเข้ามาแล้ว จิตใจก็นึกถึงอย่างนี้ ท่านเรียกว่า “พุทธานุสสติกรรมฐาน” นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    เวลากลับมาบ้าน คือเวลาเย็นหาอาหารเลี้ยงบิดามารดาเรียบร้อยแล้ว บริโภคอาหารเสร็จ เวลาค่ำก็แจ้งแก่บิดามารดาทั้งสองว่า
    “เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้ามาโปรดที่นี่ วันนี้จะขอลาบิดามารดาทั้งสองไปฟังเทศน์ในเวลาราตรี”
    บิดามารดาก็ค้านว่า “กลางวันเหนื่อยมากถ้าไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลางวันจะดีกว่า”
    ท่านก็บอกว่า “เวลากลางวันมันมีงาน ถ้าหากว่าขาดวันหนึ่ง อาหารอาจจะขาด จะบกพร่องได้ ถึงแม้ว่าจะไม่หมดก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจะบกพร่องการบริโภคนั้นจะไม่เป็นสุข ฉะนั้น ขอบิดามารดาจงอย่าห่วงใย ข้าพเจ้าจะไปพอกำลังกายทนได้ ถ้าเพลียเมื่อไหร่ก็จะกลับ”
    เป็นอันว่า ท่านบิดามารดาทั้งสองก็กล่าวว่า
    “ปิยะ ปุตโต ดูก่อน บุตรที่รัก ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าย่อมหาได้ยากในโลก พ่อเองแม่เองก็ไม่เคยฟังคำว่าพระพุทธเจ้า เพราะเราเป็นคนอยู่ป่า บังเอิญถ้าได้ฟังคำว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติมาแล้ว ก็มีพระอรหันต์เข้าใจว่าทั้งหมด คือพระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ก็ดี ต้องเป็นพระดี ต้องเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นปวงประชาชีจะไม่พากันไปฟังเทศน์ เอาของไปถวายแด่พระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้น ถ้าลูกจะไป พ่อกับแม่ทั้งสองก็จะไปด้วย ไปเคารพพระพุทธเจ้า ไปรับฟังความดี”
    องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พร้อมปฏิบัติตนให้แก่บิดามารดา อาบน้ำให้ท่าน หาผ้าที่พอสมควรมาให้ท่านที่จะพึงมี พอเสร็จแล้วทั้งสามศรีพ่อแม่ลูกก็ไปสู่พระมหาวิหาร
    เวลานั้น ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในที่พักผ่อน ยังไม่ถึงเวลาที่จะแสดงพระธรรมเทศนา แต่ทว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์พุทธอุปัฏฐากขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ได้ถูกเรียกเข้าไปเฝ้าตรัสว่า
    “เธอจงจัดแจงสถานที่แสดงพระสัทธรรมเทศนา วันนี้ตถาคตจะลงก่อนเวลา"
    พระอุปัฏฐากจึงกล่าวว่า “เวลานี้ยังไม่ค่ำสนิท ขอองค์สมเด็จพระธรรม
    สามิสรโปรดพักผ่อนเถิดพระเจ้าข้า”
    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “วันนี้พักไม่ได้ ต้องลงก่อนเวลา เพราะว่าคนดีจะมาวิหารของเรา เวลานี้เขากำลังเดินมา ยังไม่ทันจะถึงแต่ก็จวนจะถึงแล้ว”
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดา จึงได้ประทับอยู่ก่อน
    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินวร คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและบิดามารดาเข้าไปถึงมหาวิหาร พระสงฆ์ที่เป็นพุทธอุปัฏฐากจึงได้พาองค์สมเด็จพระพิชิตมารกับบิดามารดาทั้งสองท่านไปเฝ้า
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่บนอาสนะอันสมควร ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและบิดามารดาทั้งสอง ทั้งสามท่านเห็นเข้าตะลึงงัน ไม่ทราบเลยว่าองค์สมเด็จพระภควันต์จะสวยงามแบบนี้
    “โภ ปุริสะ ดูก่อน บุรุษผู้เจริญผู้มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา เมื่อบิดามารดาเลี้ยงท่านท่านก็เลี้ยงตอบ คนประเภทนี้ตถาคตขอสรรเสริญว่าเป็นคนดี”
    เมื่อฟังคำขององค์สมเด็จพระมหามุนี บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้นก็ทรงมีธรรมปีติ มีความอิ่มอกอิ่มใจ ใจสบายเป็นสุขเป็นกรณีพิเศษ ยิ่งเห็นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีความสวยงาม เปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ ก็ชื่นใจ พระสุรเสียงที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสออกมาก็ไพเราะ
    ต่อจากนั้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด เป็นอันว่าเทศน์ก่อนเวลา เทศน์คนฟังแค่ 3 คนเมื่อเทศน์จบก็ปรากฎว่าบิดามารดาทั้งสองท่านได้พระโสดาปัตติผล
    สำหรับองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาอาศัยมีธรรมปีติมากเกินไป จึงไม่ได้อริยมรรค อริยผล ได้แต่การเข้าถึงไตรสรณคมน์
    การเทศน์คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์ถึงบุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ เทศน์ว่า
    ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
    สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    และกล่าวอานิสงส์ของสังฆทานว่า บุคคลใดได้ถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ตายไปแล้วกี่ชาติ ๆ กว่าจะเข้าพระนิพพาน คนนั้นก็พ้นจากความยากจนเข็ญใจจะมีขึ้นมาบ้าง ก็อาศัยกรรมที่เป็นอกุศลอาศัยมากลั่นแกล้งไม่ช้าก็สลายตัวไป องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงผูกพันเรื่องสังฆทาน เพราะมันไม่จน
    เมื่อฟังเทศน์จบ ก็ลาองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับบ้าน บิดามารดาก็ดีใจว่าได้เป็นพระอริยะเจ้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดีใจว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อุทุมพร ชมว่าเป็นคนดีมีความกตัญญูรู้คุณ ต่างคนต่างดีใจ และก็มาผูกพันว่า เมื่อไรหนอเราจึงจะมีโอกาสได้ถวายสังฆทาน
    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกคืนก็ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า กลางวันก็ทำงานเป็นพิเศษ จนกระทั่งตั้งใจที่จะถวายทานแด่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์สัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ 80,000 รูปเป็นเหตุ แต่ว่าต้นทุนมันน้อย แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า การถวายสังฆทาน ของเล็กน้อยก็ทำได้ จึงได้รวบรวมกำลังทรัพย์สินที่พึงหาได้ในกรณีพิเศษมาเพื่อถวายสังฆทาน ก็ได้ข้าวไปหนึ่งหม้อน้อย ๆ แกงหนึ่งหม้อ ขนมอีกหนึ่งหม้อ น้ำอีกหน่อยหนึ่ง ไปประกาศถวายสังฆทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    เวลานั้น ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมาของท้าวโกสีย์สักกเทวราชก็เกิดแข็งกระด้าง คิดว่าคนนี้ต่อไปจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เราจะต้องไปช่วย
    ฉะนั้น ในการถวายทานคราวนั้น ความจริงอาหารอื่นของพระก็มีอยู่ แต่ว่าองค์สมเด็จพระบรมครูทรงพระนามว่าอุทุมพร ตรัสกับพระว่า จงอย่าฉันอาหารที่บิณฑบาตรมาในตอนเช้าแล้วให้เหลืออยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูให้ฉันอาหารหม้อเดียวของกระทาชายนายนั้น ด้วยอำนาจของพระอินทร์บันดาล พระ 80,000 รูป กับพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งฉันอาหารไปหมด
    เมื่อพระพุทธเจ้าฉันภัตตาหารเสร็จ พระสงฆ์ฉันเสร็จ ก่อนที่จะโมทนากระทาชายนายนั้น จึงเข้าไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอปรารถนาพระโพธิญาณ คืออยากจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอุทุมพรจึงได้ทรงพยากรณ์ว่า
    “นับตั้งแต่กัปหน้าต่อไป กัปนี้ไม่นับ อีก 4 อสงไขยกับแสนกัป เธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดมบรมครู”
    และหลังจากนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนา เมื่อเทศน์จบก็ปรากฎว่า บิดามารดาทั้งสองบรรลุอรหัตผล ลูกชายเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เข้าถึงไตรสรณาคมณ์
    เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว บิดามารดาทั้งสองก็ขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุมัติ ตรัสว่า “เอหิ ภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” สองท่านก็เป็นพระในทันที แล้วสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กลับบ้าน
    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ภาระมันก็น้อย ก็เลยไปหาพระพุทธเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน แบ่งเวลาตอนเช้าไปตัดฟืน ตอนเที่ยงก็เลิก ตอนบ่ายไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนเย็นก็กลับ ตอนกลางคืนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังเทศน์แล้วก็กลับ มีจิตปรารถนาอย่างเดียวคือ พระโพธิญาณ
    นี่แหละ บรรดาท่านพระพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องนี้เห็นจะหาตำราอ่านได้ยาก เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    “ก่อนที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์จะปรารถนาพระโพธิญาณนั้น ก็เริ่มต้นมาจากการถวายสังฆทานเป็นเหตุ ฉะนั้น จึงเป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ”
    และองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ตรัสว่า “คนที่ถวายสังฆทานแล้ว ถ้าจะปรารถนาพุทธภูมิ ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นพระสาวก ก็ได้เป็นพระพุทธสาวก ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ย่อมได้ ถ้าปรารถนาจะเป็นอรหันต์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา องค์ใดองค์หนึ่งก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้น สังฆทานยังเป็นปัจจัยให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชและมหาเศรษฐี”
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เป็นอันว่าประวัติความเป็นมาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่หาได้ยากในการเริ่มต้น ในปรารถนาพระโพธิญาณ เล่ามาก็พอสมควรแก่เวลา
    ในที่สุดนี้ อาตมภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะทั้ง 3 ประการ ขอจงบันดาลให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า
    ถ้าจะปรารถนาเป็นพระโพธิญาณ ก็ขอให้ได้บรรลุพระโพธิญาณสมความปรารถนา
    ถ้าจะปรารถนาเป็นอัครสาวก พระมหาสาวก พระสาวก ปกติธรรมดาก็สำเร็จผล
    และขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านมีความประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    บารมี

    <iframe width="480" height="360" src="https://www.youtube-nocookie.com/embed/tJqTopA6Vf8?&autoplay=&rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2015
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 254.JPG
      254.JPG
      ขนาดไฟล์:
      61.8 KB
      เปิดดู:
      1,339
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]


    ปรากฎความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกามหาวรรค ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนัก จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตรนั้งเอง ภายหลังถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา พระพุทธองค์ตรัสว่า


    "บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ

    ....จงอุตสาหะภิบาลบำรุงบิดามารดา
    .... ประพฤติกุศลสุจริตธรรม

    จักสมปรารถนาทุกประการ "



    ******************************


    ผลานิสงส์จากการเลี้ยงดูบิดามารดา ยังส่งผลร่วมให้ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ได้สำเร็จดังเจตนาได้ปานนั้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ และกล่าวรับรอง


    กัลยาณชน ปุถุชนชั้นดี เมื่อได้บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา ย่อมได้รับผลานิสงส์อันเป็นกรรมดีมากมายนานับประการ แม้ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่ทำด้วยสำนึกอันดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.1.jpg
      1.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.4 KB
      เปิดดู:
      1,106
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _3.jpg
      _3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      233.2 KB
      เปิดดู:
      1,449
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2015
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]


    หลวงพ่อวัดปากน้ำ  ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า  ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ  อันนี้ท่านย้ำมากบอกอยู่บ่อย  แต่เราทำไม่ค่อยได้  ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม  เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ  แล้วท่านก็อธิบายว่า  เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา  แล้วถามว่าเราเจ็บไหม  ก็เจ็บนะ  แล้วเราจะตีเขาตอบไหม  เราจะโกรธไหม  ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม  ถ้าเขาตีเรา  แล้วเราอโหสิให้  เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน  เราจะได้บารมีตรงนี้  นี่ตอนท่านสอนใหม่ๆ สอนไป  ก็ทำวิชชาไป  ท่านสอนอยู่เรื่อยๆ


    ลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2015
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y12770002-5.jpg
      Y12770002-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.8 KB
      เปิดดู:
      341
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
      เกิดมา  ว่าจะ มาหาแก้ว
     พบแล้ว ไม่กำ  จะเกิดมาทำไม


          สิ่งที่อยากเขาก็หลอก  
    สิ่งที่หยอกเขาก็ลวง  
    ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย


          เลิกอยาก  ลาหยอก
     รีบออกจากกาม

     เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป


          เสร็จกิจสิบหก  ไม่ตกกันดาร  เรียกว่านิพพานก็ได้




    [​IMG]
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    รวมสวดมนต์เสียงพระวัดหลวงพ่อสด

    My Files


    *********************************************








    [​IMG]




    หนังสือ " อริยสัจ 4 " โดยหลวงป๋า  

    ดาวน์โหลดได้ที่
    อริยสัจ 4
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]


    เรื่ิองอธิษฐาน ต้องระวังให้ดี บางทีกลายเป็นการผูกมัดตัวเอง ผูกมัดตัวเองไม่ใช่แต่เพียงอธิษฐาน บางคนว่าฉันต้องรักษาวาจาสัตย์ พูดอะไรออกไปก็ต้องเป็นตามนั้นเสมอไป ถ้าพูดถูกเป็นตามนั้นก็สมควร แต่ถ้าพูดผิดด้วยอารมณ์ บางทีก็มีอารมณ์รัก โกรธ เกลียด ชอบ ชัง หลง กลัว อะไรๆก็แล้วแต่ พอเราพูดว่าต่อไปนี้ ฉันจะไม่ยังงั้นล่ะ ฉันจะไม่อย่างงี้ล่ะ หรือว่าต่อไปนี้ฉันจะทำอย่างนั่้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ฉันก็จะไม่เป็นอย่างนี้

    บางทีเราหลงเข้าใจผิดแล้ว เลยอธิษฐานหรือพูดพลาดไปผิดๆ ถ้าไม่ระวังให้ดี หรือถ้ารู้ว่าอธิษฐานผิด พูดผิดแล้วไม่แก้ให้ถูก ก็เสียผลอย่างใหญ่หลวงได้

    เพราะฉะนั้น การถือสัจจะหรืออธิษฐานนี่ ให้จำไว้ว่า เราจงทำในขณะที่เรามีสติสัมปชัญญะดี มีปัญญาแจ้งชัดดีแล้ว ถ้ายังไม่แจ้งชัดพอ ก็อย่าเพิ่งอธิษฐาน อย่าเพิ่งลั่นวาจา ตรงนี้สำคัญ

    ถ้าลั่นวาจาแล้ว ภายหลังเรารู้ว่าไม่ถูก ไปพูดเข้าไปแล้ว เลยกลับคำไม่ได้ หรืออย่างเช่นการอธิษฐานนี่ บางท่านอธิษฐานกินเจ มังสวิรัติ ตลอดชีวิต บางรายก็เป็นโรคขาดสารอาหาร เลยเหี่ยวแห้ง เพราะร่างกายต้องการสิ่งที่มีประโยชน์ มาบำรุงพอสมควร แต่ไม่ใช่ว่าต้องรับประทานอาหารที่ดีๆเกินไป จนเกินเหตุ เราต้อง "โภชเนมัตตัญญุตา" คือรับประทานแต่พอควร ถ้าอดอาหารจนร่างกายไม่มีกำลัง พระพุทธเจ้าทรงถือว่าเป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เป็นการทรมานร่างกายจนเกินเหตุ ไม่ใช่ทางให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางให้เกิดปัญญา ที่จะแทงตลอดอริยสัจได้ นี่ต้องระวัง เรื่องนี้สำคัญ


    .............................
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    ปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2015
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]





    10 ประโยคที่ไม่ควรพูดกับพ่อแม่

    1.พอแล้วๆ รู้แล้ว จู้จี้จริงๆ พูดอยู่นั่นแหละ!

    2.มีอะไรอีกไหม ไม่มีอะไร จะวางสายละนะ!
    (ที่พ่อแม่โทรมา ก็เพราะอยากจะได้ยินเสียงลูก อยากถามไถ่ความเป็นอยู่ อย่าได้เห็นเป็นเรื่องน่ารำคาญ ทีพูดกับเพื่อนกับแฟนยังพูดได้เป็นชั่วโมง)

    3.พูดยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ต้องถามแล้วนะ!

    4.บอกพ่อกับแม่กี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำ ถึงทำไปก็ไม่เห็นจะดีอะไรเลย!
    (พ่อแม่แก่เฒ่า มีใจแต่ไร้กำลัง แต่การที่พูดแบบไม่คิดอย่างนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของท่านแทน)

    5.ความคิดแบบนี้มันโบราณไปแล้ว ยุคนี้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก!
    (คำแนะนำของพ่อแม่อาจจะช่วยอะไรเราไม่ได้ แต่ทำไมเราไม่เปลี่ยนมาเป็นรับฟัง อย่างน้อยอาจมีสิ่งดีๆที่เราคาดไม่ถึง ออกมาจากประสบการณ์ของพ่อแม่ก็เป็นได้)

    6.บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเข้ามาจัดห้อง เห็นไหมล่ะ! หาของไม่เจออีกแล้ว วันหลังไม่ต้องยุ่ง!
    (ห้องรก ต้องรู้จักจัดเก็บ ไม่จัดเก็บให้ดี ก็อย่าได้โทษพ่อกับแม่)

    7.ผมรู้ว่าผมจะกินอะไร วันหลังไม่ต้องทำเผื่อ!
    (พ่อแม่เฝ้ารอคอยลูกๆกลับบ้าน ความรักความอาทรถูกเติมลงไปในอาหารที่ทำ จงรับเอาความห่วงหาอาทรนี้ไว้เถิด อย่าทำร้ายน้ำใจของท่านเลย มีคนจำนวนเท่าไหร่ที่อยากทานอาหารที่พ่อแม่ปรุงให้ แต่ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว!)

    8.บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินของที่เหลือ บอกแล้วไม่รู้จักจำ
    (พ่อแม่ประหยัดกินประหยัดใช้จนเป็นนิสัย บอกท่านทำให้น้อยลง ดีกว่าให้ท่านเป็นคนเก็บของเก่ามากินเอง)

    9.ผมโตแล้ว ผมรู้ว่าผมจะต้องทำยังไง พูดอยู่ได้ รำคาญ!

    10.ของเก่าๆพวกนี้เก็บไว้ทำไม รกบ้านเปล่าๆ ใช้การอะไรก็ไม่ได้!
    (มันอาจจะไร้ค่าสำหรับเรา แต่มันอาจมีค่าสำหรับพ่อแม่ของแต่ละชิ้น ล้วนมีประวัติศาสตร์ เราไม่ดีใจเหรอ ของที่เราใช้ในตอนเด็ก วันนี้มันยังอยู่กับเรา?)

    10 ประโยคนี้ เราอาจเคยพูดกับพ่อแม่ คุณๆทั้งหลายครับ อย่ารอจนถึงวันที่เรารู้คุณค่าแต่ท่านไม่อยู่เสียแล้ว...


    บทความ Cr. นุสนธิ์บุคส์
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    <iframe width="480" height="360" src="https://www.youtube-nocookie.com/embed/UqIckwtEPdU?&autoplay=&rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 สิงหาคม 2015
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...