บทความให้กำลังใจ(เกื้อกูลกันฉันมือขวาและมือซ้าย)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    ทุกข์ทุกทีเมื่อมีมานะ
    พระไพศาล วิสาโล

    ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองดูดี เด่นกว่าคนอื่น ความอยากดังกล่าวทำให้เราปรารถนาความสำเร็จ อยากได้คำชม ซึ่งทำให้เราเกิดความวิตกกังวลตามมา เช่น เวลาจะทำอะไร ก็กลัวว่าทำออกมาไม่ดี กลัวล้มเหลว กังวลว่าคนอื่นจะมองฉันอย่างไร เกิดความประหม่า อันนี้บางคนก็เรียกว่าเป็นเรื่องอีโก้ ส่วนทางพุทธศาสนาเรียกว่ามานะ หลายคนทำงานแล้วไม่มีความสุขเพราะกลัวถูกต่อว่า กลัวถูกตำหนิ ความกลัวนี่แหละทำให้ทำงานไม่มีความสุข หรือบางทีก็ไม่กล้าจะทำอะไรเลย และนอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว บางครั้งทำให้งานออกมาไม่ดีด้วย

    ในประเทศญี่ปุ่น มีเจ้าอาวาสวัดรูปหนึ่งในเกียวโตมีฝีมือมากในด้านการเขียนอักษรด้วยพู่กันที่เรียกว่า สุมิเย วัดนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงซุ้มประตูเพราะมีคติธรรมที่เกิดจากฝีแปรงของเจ้าอาวาสท่านนี้ เป็นที่ยกย่องว่าสวยงามมาก คติธรรมนี้มีตัวอักษรเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น มีตำนานเล่าว่าตอนที่ท่านเขียนคติธรรมนี้ด้วยพู่กันขนาดใหญ่ มีลูกศิษย์คนหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ คอยทำน้ำหมึกให้ท่าน ลูกศิษย์คนนี้เป็นคนที่ตาเฉียบคมและพูดตรง พออาจารย์ตวัดพู่กันเสร็จ ลูกศิษย์ก็พูดขึ้นมาว่า ยังไม่สวย อาจารย์ไม่ว่าอะไร ก็ตวัดอีกครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ว่าแย่กว่าเดิม อาจารย์จึงเขียนใหม่ แต่ลูกศิษย์ก็ยังเห็นข้อตำหนิ วันนั้นอาจารย์เขียนถึง ๘๐ ครั้งลูกศิษย์ก็ยังว่าไม่สวย จนอาจารย์เริ่มท้อแล้ว เผอิญลูกศิษย์มีธุระออกไปข้างนอก ในช่วงที่ลูกศิษย์ไม่อยู่นี้เอง อาจารย์เห็นเป็นโอกาสดี เพราะไม่ต้องห่วงว่าใครจะมองอย่างไร จึงตวัดพู่กันเดี๋ยวนั้นเลย พอลูกศิษย์กลับมาเห็นก็ตะลึง ชมว่าสวยมาก กลายเป็นผลงานที่ยืนยงมาจนทุกวันนี้


    นี่เป็นที่มาของศิลปะบนซุ้มประตูของวัดโอบากุ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การทำงานนั้นจะได้ผลดีเมื่อเรารู้สึกว่าเราได้ทำอย่างอิสระ โปร่งโล่ง ไม่ต้องคำนึงหรือกังวลกับสายตาของใคร ผลงาน ๘๐ ชิ้นแรกของอาจารย์นั้นออกมาไม่ดีเพราะอาจารย์กังวลสายตาของลูกศิษย์ แต่พอลูกศิษย์ไม่อยู่ อาจารย์ก็ไม่มีความกังวลแล้ว จึงแสดงความสามารถออกมาสุดฝีมือ ผลงานออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่มีความประหม่า ไม่มีความวิตกกังวล ตรงกันข้ามเมื่อใดก็ตามที่เรากังวลกับสายตาของคนอื่น จะเกิดตัวกูขึ้นมาอย่างชัดเจน คือเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะมองฉันอย่างไร ถ้างานออกมาไม่ดี ฉันจะถูกต่อว่า ความรู้สึกว่ามีตัวกูแบบนี้แหละที่ทำให้งานนั้นออกมาไม่ดี คนที่มีตัวตนสูง หรือมีมานะมาก มักจะคาดหวังให้คนชม อยากให้คนสรรเสริญ ทำให้เกิดความกังวลขึ้นมา ไม่เป็นอิสระ เพราะเมื่ออยากให้คนชมก็ย่อมเกิดความกลัวว่าเขาจะตำหนิ ความกลัวนี้เองทำให้ผลงานออกมาได้ไม่เต็มที่ ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นอิสระ

    พวกเราที่ดูบอลโลก เคยสงสัยไหมว่า นักฟุตบอลระดับโลกหลายคนเตะบอลทำไมจึงเตะลูกตรงจุดโทษไม่เข้า ทั้งๆ ที่เป็นจุดที่สามารถเตะบอลเข้าประตูได้ง่ายที่สุด ไม่ใช่เพราะคนเฝ้าประตูเก่ง บ่อยครั้งคนเฝ้าประตูไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะอีกฝ่ายเตะลูกออกนอกกรอบ ไม่ว่าจะเป็นโรนัลโด้ โรนัลดินโญ่ เบ็คแฮม หรือเมสซี่ ล้วนมีประสบการณ์แบบนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักจะเตะพลาดในนัดสำคัญคือนัดตัดเชือก หรือนัดชิงชนะเลิศ ถ้าเป็นการซ้อมในสนามธรรมดาหรือนัดไม่สำคัญ นักฟุตบอลเก่ง ๆ มักจะเตะเข้า แต่ถ้าเป็นนัดชี้ขาดโดยเฉพาะหากทีมของตัวเองเป็นฝ่ายตามหลังเขา ถ้าเตะเข้าก็จะเสมอหรืออาจจะได้เข้ารอบ แต่หลายคนเตะไม่เข้าทั้งๆ ที่มันง่ายที่สุด นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความกดดัน เพราะวิตกกังวลว่าถ้าเตะไม่เข้านอกจากจะแพ้แล้ว ตัวเองยังจะถูกโห่ถูกต่อว่า ว่าลูกง่ายๆ ทำไมเตะไม่เข้า คือถ้าลูกยากๆ เตะไม่เข้าก็ไม่มีใครว่าเพราะเป็นธรรมดา แต่ถ้าลูกง่ายๆ แล้วเตะไม่เข้า คนเตะก็เสียคนได้ พอมีความกังวลแบบนี้ก็เลยเครียด เกร็ง ทำให้เตะไม่เข้าจริง ๆ อันนี้เป็นเพราะมีตัวกูอยู่ มีความรู้สึกว่ากูอาจจะถูกด่า ความรู้สึกแบบนี้ให้เกิดความเครียด เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หลายคนไม่อยากเตะนะ จอห์น เทอรี่ เคยเตะลูกโทษนัดชิงชนะเลิศแล้วไม่เข้า ก็เลยเลิกเตะลูกโทษเป็นปี เพราะเข็ดขยาดหรือขาดความมั่นใจ

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)

    อันนี้เป็นด้านกลับของมานะ คือเมื่อมีมานะมากๆ คุณก็จะใส่ใจกับสายตาของผู้คนมาก ซึ่งทำให้คุณกลัวความล้มเหลว กลัวความผิดพลาด และถ้าคุณยิ่งกลัว ประการแรก มันทำให้คุณทำงานอย่างมีความทุกข์ ประการที่สอง ทำให้คุณทำงานไม่สำเร็จอย่างที่กลัวจริงๆ หรือผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ต่างจากคนที่ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่แคร์ว่าคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร ฉันจะทำให้เต็มที่ คนที่คิดแบบนี้มักจะทำงานได้ดี อันนี้ต่างจากความเห็นของชาวตะวันตกที่ว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้มีอีโก้เยอะๆ ต้องมีมานะเป็นแรงขับเคลื่อน จึงจะทำงานสำเร็จได้ แต่ว่าในความเป็นจริงเราก็จะเห็นว่า ถ้าการทำงานมีอัตตา มีมานะเข้ามาผลักดัน นอกจากจะให้เราเป็นทุกข์แล้ว ยังทำให้งานไม่สำเร็จด้วย


    โทษอีกประการหนึ่งของมานะ คือทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมานะทำให้อยากได้รับความสำคัญจากคนอื่น อยากให้ตัวกูได้รับการพะเน้าพะนอหรือตามใจ แต่เมื่อตัวกูไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นลูก หรือสามีภรรยา พอถูกพ่อแม่หรือคนรักตำหนิ ไม่ตามใจ หรือไม่ให้ความสำคัญ ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา นี่เป็นด้านกลับของตัวมานะ เพราะว่ายิ่งอยากได้รับคำสรรเสริญชื่นชม อยากได้รับความสำคัญ แต่พอไม่ได้ บวกก็กลายเป็นลบทันที ความน้อยเนื้อต่ำใจจนเกิดการฆ่าตัวตายก็เพราะตัวมานะนี่แหละ

    ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านใช้คำว่า “ปมเขื่อง” ฝรั่งรู้จักแต่คำว่า ปมด้อย แต่ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่าปัญหาที่แท้จริงคือ ปมเขื่อง นั่นคือความต้องชูตัวตนให้สูงเด่น แต่พอไม่ได้รับการตอบสนองมันก็จะเหวี่ยงกลับ เหมือนกับรักเขามากแต่พอไม่ได้รับการตอบสนองก็กลายเป็นโกรธแล้วก็เกลียดตามมา เพราะรักกับโกรธหรือเกลียดนี้มันใกล้กันมากเลย มันเป็นด้านกลับของกันและกัน ปมเขื่องกับปมด้อยก็เช่นกัน เป็นด้านกลับของกันและกัน ความต้องการเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชม เป็นคนสำคัญ แต่พอไม่ได้รับความใส่ใจ ไม่ได้รับการตอบสนอง มันเกิดความไม่พอใจ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา แล้วก็เกิดการทำร้ายตัวเอง

    นอกจากมานะจะทำให้เรากลัวความล้มเหลว กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกวิจารณ์ กลัวไม่ได้รับคำชม สุดท้ายมันยังทำให้เรากลัวตายด้วย เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “รักตัวกลัวตาย” นั่นคือ เพราะรักตัวจึงกลัวตาย ลึก ๆ แล้วคนเราทุกคนล้วนรักตัว หวงแหนตัวตน มานะในด้านหนึ่งก็หมายถึงการหวงแหนตัวตน หวงแหนตัวกู เพราะฉะนั้นจึงทำให้กลัวตายมาก สังคมหรือวัฒนธรรมที่กระตุ้นให้คนเกิดมานะเยอะๆ เช่น สังคมตะวันตก หรือสังคมสมัยใหม่ ผู้คนจะรู้สึกกลัวตายมาก คนที่มีมานะเบาบาง ปล่อยวางตัวตนได้ จะสามารถยอมรับความตายได้ง่ายกว่า

    ฉะนั้นการพยายามกระตุ้นให้คนเกิดมานะมากๆ นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้คนเรามีความทุกข์ขณะที่มีชีวิต และในเวลาทำงานเท่านั้น แม้แต่เวลาตายก็ตายไม่มีความสุข โดยเฉพาะเมื่อคุณพบว่า เวลาล้มป่วยคุณทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก่อนเคยบังคับบัญชา สั่งการทุกอย่างได้ แต่พอล้มป่วยแล้วก็อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะบังคับบัญชาร่างกายก็ทำไม่ได้ ในสภาพเช่นนี้คนที่มีอัตตาสูงจะทุกข์ทรมานมาก คนเก่งจำนวนมาก เมื่อถึงเวลาป่วย นอนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียง อยู่ในโรงพยาบาล เขาจะรู้สึกอึดอัดมาก และจะพยายามแสดงอำนาจโดยการสั่งคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะพยาบาลอยู่ตลอดเวลา เพราะชีวิตของเขาเคยสั่งได้ตลอด เมื่อมานอนป่วยก็ทำใจไม่ได้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม ก็ยิ่งโกรธและแสดงออกด้วยการใช้อำนาจกับหมอ กับพยาบาล ใช้อำนาจกับคนเฝ้า พยาบาลหลายคนเล่าว่า ถ้าเจอคนไข้ที่มีตำแหน่งสูงๆ จะเจอปัญหาแบบนี้มาก เพราะเขาเคยชินกับการใช้อำนาจ คุ้นเคยกับการสั่งคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาลืมไปก็คือ การยอมรับความจริงว่าถึงที่สุดแล้ว เราก็ควบคุมอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งกับร่างกายตัวเราเอง
    คนเก่งๆ คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำ ผู้บริหาร มักมีมานะหรืออัตตาสูงตามไปด้วย เมื่อถึงเวลาป่วยก็จะป่วยอย่างทุกข์ทรมานมาก เวลาใกล้ตายก็จะขัดขืนต่อสู้กับความตาย จึงมักทุกข์ทรมานมากกว่าคนทั่วๆ ไป ชาวบ้านส่วนมาก เขาทำใจได้มากกว่า เพราะตลอดชีวิตเขาต้องทำใจมาตลอด ทำใจกับดินฟ้าอากาศ ทำใจกับสิ่งที่ไม่สมหวัง เจอตำรวจหรือข้าราชการ ก็ต้องยอม ดังนั้นพอถึงเวลาจะตายก็ไม่ดิ้นรนขัดขืน ต่างจากคนที่มีมานะมากๆ ประสบความสำเร็จมากๆ ใช้อำนาจสั่งการผู้คนตลอดเวลา ถึงตอนที่ทำอะไรไม่ได้ จะรู้สึกอึดอัด กระสับกระส่าย ทุรนทุราย

    :- https://visalo.org/article/suksala14.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    เกื้อกูลกันฉันมือขวาและมือซ้าย
    พระไพศาล วิสาโล
    ผู้หญิงคนหนึ่งร่างกายซีกซ้ายไม่มีความรู้สึก เพราะสมองบางส่วนตายไปเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก หมอพยายามทดสอบว่าร่างกายซีกซ้ายมีความรู้สึกแค่ไหน ด้วยการนำสิ่งต่างๆ มาสัมผัสที่ร่างกายซีกซ้าย ปรากฏว่าคนไข้ไม่รู้สึกอะไรเลย ระหว่างนั้นหมอสังเกตเห็นว่า คนไข้เอามือขวาลูบแขนซ้ายอยู่หลายครั้ง หมอแปลกใจว่าคนไข้ทำเช่นนั้นทำไมในเมื่อแขนซ้ายไม่สามารถรับความรู้สึกได้ เมื่อสอบถามคนไข้ ก็ได้คำตอบว่า เวลาเธอเอามือขวาสัมผัสร่างกายซีกซ้าย เธอสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ หมอแปลกใจมากว่าซีกซ้ายของเธอรับรู้สัมผัสจากมือขวาได้ แต่กลับไม่สามารถรับรู้เวลาหมอเอาสิ่งต่าง ๆ มาสัมผัส

    เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างมือซ้ายกับมือขวา หรือแขนซ้ายกับแขนขวา

    เวลามือซ้ายเจ็บปวด เช่น โดนตะปูตี โดนค้อนทุบ ปฏิกิริยาแรกของเราคือ มือขวาจะรีบไปกุมมือซ้ายที่เจ็บปวดทันที มันไม่ใช่เแค่ปฏิกิริยาอัตโนมัติธรรมดา เพราะมีการทดลองมานานแล้วว่า เวลามือซ้ายปวดแล้วมือขวาไม่ได้ไปทำอะไรกับมือซ้าย ความปวดจะมากขึ้น แต่ทันทีที่มือขวาไปสัมผัสหรือกุมมือซ้ายไว้ จะช่วยลดความปวดลงได้

    ท่านติช นัท ฮันห์ ได้บรรยายเรื่องนี้ไว้เป็นคติสอนธรรมได้ดีว่า

    เมื่อมือซ้ายได้รับความเจ็บปวดขึ้นมาโดยฉับพลัน มือขวาจะรีบไปช่วยเหลือมือซ้ายทันที โดยที่ไม่ถามว่าทำแล้วจะได้อะไร ไม่ถามว่ามือซ้ายเป็นใคร ไม่มีความรังเกียจหรืออิจฉามือซ้ายว่าเวลามีงานอะไร มือซ้ายไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย มีแต่มือขวาที่ถูกใช้งาน มือขวายช่วยมือซ้ายโดยไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าฉันถูกเอาเปรียบ ฉันทำงานหนักกว่าเธอ มือซ้ายก็เช่นเดียวกันเวลาเห็นมือขวาปวดก็ไม่ได้คิดตั้งแง่ว่า เจ้านายรักมือขวามากกว่า มีอะไรก็ใช้แต่มือขวา ไม่สนใจมือซ้าย เวลาจะใช้งานฉันก็ใช้ในทางที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เวลาจะล้างก้นก็ใช้แต่มือซ้าย มือซ้ายไม่เคยคิดแบบนั้น ทันทีที่รู้ว่ามือขวาปวดก็รีบเข้าไปช่วยทันทีเป็นการช่วยแบบไม่มีเงื่อนไข

    ท่านเปรียบเทียบให้เห็นความสัมพันธ์ของมือซ้ายและมือขวา เพื่อที่จะโยงไปถึงความเมตตากรุณาที่มนุษย์พึงมีต่อกัน

    คนเราควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างนี้ คือเข้าไปช่วยเหลือกันทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการตั้งข้อรังเกียจใดๆ ทั้งสิ้น มองให้ดีนี้คือความสัมพันธ์แบบ “ไม่มีตัวกูของกู” นั่นเอง

    ถ้ามือซ้ายและมือขวามีความรู้สึกว่าทำแล้วฉันจะได้อะไร แล้วเธอเป็นใคร ความคิดแบบนี้เป็นอาการของการยึดติดในตัวกูของกู ทำให้เกิดการแบ่งเขาแบ่งเรา

    ท่านยังสอนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันว่า ไม่ควรจะมีความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเรา หรือทำไปด้วยความรู้สึกติดยึดในตัวกูของกู จิตใจเช่นนี้จะเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา อยากช่วยเหลืออย่างเต็มที่โดยไม่มีเงื่อนไข ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ความเมตตาที่ไม่มีประมาณเกิดจากการมีปัญญาอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งเห็นว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีความเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย

    ปัญญาและเมตตากรุณามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ปัญญา คือสิ่งที่ช่วยขจัดมายาภาพหรือความหลงเกี่ยวกับตัวกูของกู คือทำให้เห็นว่าตัวกูของกูนั้นไม่มีอยู่จริง เมื่อมีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งเช่นนี้ ความยึดติดในตัวกูของกู หรืออัตตวานุปาทานก็หมดไป ไม่มีความเห็นแก่ตัวอีกต่อไป จึงเกิดเมตตากรุณาอย่างไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นเราเป็นเขา เห็นมนุษย์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เหมือนกันหมด นี้เป็นอุดมคติของชาวพุทธ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทรงมีเมตาต่อพระราหุลอย่างไร ก็ทรงมีเมตตาต่อพระเทวทัตอย่างนั้น

    คนเรานั้นมีจิตใจ ที่สามารถสัมผัสหรือเข้าถึงความรู้สึกของกันและกันได้โดยเฉพาะเมื่อมีความผูกพันกันประหนึ่งมีใจดวงเดียวกัน ดังเช่นมือซ้ายของผู้หญิงคนนี้สามารถรับรู้ได้เมื่อมีมือขวามาสัมผัส ความรับรู้นี้เกิดขึ้นได้เพราะมือขวากับมือซ้ายนั้นผูกพันกันมาก ในทำนองเดียวกันคนที่ผูกพันกันก็สามารถรับรู้ทุกความรู้สึกที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายได้ไม่ว่าสุขและทุกข์ อันนี้เป็นผลจากเมตตากรุณาที่มี่ต่อกันจนนรู้สึกเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยที่คนอื่นอาจจะไม่สามารถหยั่งเข้าไปถึงได้

    มือขวากับมือซ้ายก็เป็นเช่นนั้น เพียงแค่มือขวาสัมผัสมือซ้าย ไม่ต้องให้ใครสัมผัส ก็ทำให้ความปวดทุเลาเบาบางได้ เรื่องนี้เป็นภูมิปัญญาที่มีมานาน และนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็รับรอง หลังจากทำการทดลองแล้วพบว่า ถ้ามือขวาไม่สัมผัสกับมือซ้าย มือซ้ายจะปวดมากขึ้นกว่าเดิม แต่พอได้สัมผัสแล้วความปวดลดลง แต่ไม่ได้เป็นเฉพาะมือขวาและมือซ้ายของตัวเองเท่านั้น การให้มือขวาของคนอื่นมาสัมผัสก็ช่วยได้ ดังนั้นประโยชน์ของการสัมผัสคือ ถ้ามีคนป่วยแล้วมีอีกคนมาสัมผัสด้วยความเมตตากรุณาก็จะช่วยบรรเทาความปวดได้
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    ความเมตตากรุณาของคนภายนอกนั้น เป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกมาให้เห็นก่อนที่จะสัมผัส หรือในระหว่างที่สัมผัส เช่น ความอ่อนโยน นุ่มนวล ทางสีหน้าหรือน้ำเสียง เพื่อคนที่เจ็บปวดจะรับรู้ถึงเมตตาและทำให้ความเจ็บปวดนั้นทุเลาได้ แต่มือขวาไม่ต้องแสดงอาการอย่างนั้นกับมือซ้ายก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น มือซ้ายก็สบาย รู้สึกดีขึ้นเพราะรู้ว่าเมีความปรารถนาดี มันเป็นความเชื่อมโยงที่สัมผัสกันได้ สามารถเกิดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
    เป็นเรื่องที่ดีมากหากเราปฏิบัติต่อกันเหมือนมือขวาและมือซ้ายได้ โดยเริ่มต้นที่คนใกล้ชิดก่อน คือเพื่อนกับเพื่อน พี่กับน้อง สามีกับภรรยา แล้วขยายไปถึงเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เพื่อนที่อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หรือเพื่อนที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ขยายออกไปแม้กระทั่งกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนหรือเป็นเพียงแค่เพื่อนมนุษย์ก็สัมพันธ์ในลักษณะนั้นได้ แม้เป็นเรื่องยากแต่เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะนี่ก็เป็นอุดมคติของมนุษย์ที่ควรทำต่อกัน เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้แสดงเป็นแบบอย่างแก่เรา
    อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อย่างมือซ้ายและมือขวานี้ควรเกิดขึ้นระหว่างกายกับใจเราด้วย ถ้ากายกับใจอยู่ใกล้ชิดกัน มีความสัมพันธ์กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแล้ว เราจะทุกข์น้อยลงมาก แต่อย่างที่เรารู้กัน กายกับใจบางครั้งก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันหรือช่วยเหลือกันเท่าไหร่ เวลากายปวด บ่อยครั้งใจกลับซ้ำเติม ทำให้กายแย่ลง เช่น พอรู้ว่าร่างกายมีก้อนมะเร็ง ใจก็ซึมเศร้า ทำให้หมดเรี่ยวแรงไปเลย หรือพอวิตกกังวลว่า “ฉันจะตายแล้วหรือนี่” กายก็ทรุดหนักลงหรือตายเร็วขึ้น เช่น คุณป้าคนหนึ่งไปหาหมอหลายครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กระทั่งวันหนึ่งหมอบอกว่า “ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” ปรากฏว่าป้าตกใจมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวลสารพัด สุดท้ายอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย
    อย่างนี้เรียกว่าใจไปซ้ำเติมกาย แทนที่จะช่วยพยุงให้กายให้ดีขึ้น กลับฉุดให้ย่ำแย่ลง บางคนร่างกายปกติดี แต่ใจเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เคียดแค้นพยาบาท ร่างกายก็เลยป่วย ความดันสูง ปวดหัว ปวดท้องเรื้อรัง รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะหมอหาสาเหตุทางกายก็ไม่พบ ได้แต่รักษาตามอาการ นี่เรียกว่าใจไปซ้ำเติมกาย หรือทำร้ายร่างกาย

    หน้าที่ที่ใจควรมีต่อกาย คือช่วยให้ดีขึ้น ไม่ใช่ซ้ำเติมให้แย่ลง หากใจเป็นมิตรกับกาย ใจจะไม่ทำอย่างนั้น พอกายแย่ ใจจะช่วยให้กำลังใจ มองแง่บวก นึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เป็นกุศล หรือมีสมาธิ ร่างกายก็จะหายไวขึ้น เจ็บปวดน้อยลง อันที่จริงเพียงแค่ทำใจให้เป็นปกติ ไม่ตีโพยตีพาย ก็ช่วยความเจ็บปวดของกายทุเลาลงได้

    ถ้ากายกับใจเกื้อกูลกันเหมือนกับมือซ้ายและมือขวา เราจะมีความสุขได้ง่ายมาก ความทุกข์จะลดลงไปเยอะ เช่นเมื่อทำอะไร ใจก็รู้ มีสติ รู้ตัว ความรู้ตัวจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเดือดร้อน เวลาขับรถ ก็ถึงที่หมายโดยปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุ ควบคุมเครื่องจักร ก็ไม่เผลอจนเกิดความผิดพลาด ถึงกับเสียมือเสียขาไป เวลาพักผ่อน ใจก็ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำให้หลับได้ง่าย ร่างกายก็มีสุขภาพดี

    ที่พูดมาเป็นเรื่องใจช่วยกาย ที่จริงกายก็ช่วยใจได้มากมาย ก่อนอาตมาบวชมีช่วงหนึ่งที่เซ็งสุดๆ ไม่มีความกระตือรือร้น ตื่นก็สาย แม้กระนั้นก็ซึมเซาทั้งวัน เรียกว่าถีนมิทธะครอบงำ เวลาประชุมก็จะง่วงนอนไม่มีส่วนร่วมกับวงประชุมเลย ทั้งๆ ที่อายุเพียง ๒๔ ปีเท่านั้น ทีแรกก็คิดว่าเป็นเพราะเหนื่อยอ่อน จึงพักผ่อนให้มากขึ้น แต่กลับเฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม ทำอย่างไร ๆ ก็ไม่หาย จนได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง ก็เกิดกำลังใจ พยายามเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองตื่นแต่เช้า ไปวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกาย ทีแรกก็ลำบากมากเพราะไม่อยากตื่นเช้า แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็รู้สึกดีขึ้น เกิดความกระฉับกระเฉงขึ้นมาก อันนี้เป็นเพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงตื่นตัว ก็ช่วยกดใจให้หายเบื่อหายเซ็ง

    เราจะสังเกตเห็นเรื่องทำนองนี้ได้จากชีวิตประจำวัน เช่น เวลารู้สึกท้อแท้เพราะเจออุปสรรคมากมาย หรือเหนื่ยอ่อนเพราะทำงานมาทั้งวัน แต่พอได้นอนเต็มที่ ตื่นขึ้นมาความรู้สึกจะเปลี่ยนไป มีกำลังใจมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่อุปสรรคและปัญหาต่างๆ ยังเหมือนเดิม แต่รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา ไม่ใช่ที่กายแต่ที่ใจ ดังนั้นเวลาใจมีปัญหา กายต้องช่วยด้วย ดูแลกายให้ดีเพื่อฉุดใจขึ้นมา ไม่ใช่ไปซ้ำเติม เช่น พอจิตใจท้อแท้ห่อเหี่ยว ก็ไปเที่ยวกลางคืน กินเหล้า เพราะหวังว่าจะทำให้ลืมความทุกข์ หายเศร้า กลับทำให้แย่กว่าเดิม เพราะการใช้ชีวิตแบบนั้นทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อนมากขึ้น จิตใจเลยแย่ลง นี่เรียกว่าฉุดกันลง ไม่ได้ช่วยกันฉุดขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นเวลามีปัญหาเราไม่ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากใครเลยก็ได้ เพียงแค่กายกับใจช่วยกัน อยู่เคียงคู่กัน กายอยู่ไหน ใจอยู่นั่น มีสติตื่นรู้ อันตรายที่เกิดขึ้นกับกายกับใจก็น้อยลง
    :- https://visalo.org/article/suksala20.htm

     

แชร์หน้านี้

Loading...