สวัสดีค่ะ

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย january2555, 9 มกราคม 2012.

  1. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ครับคนเราก็เลือกอยู่ตลอดนั่นแหละ และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันเราอาจจะไม่ได้
    สังเกต อย่างเวลาเราตื่นนอนผมยุ่งก็เลือกที่จะทำผมให้เหมือนกับตอนที่มันไม่ยุ่ง
    นี่คือตัวอย่างของการเลือกที่จะเป็นแบบเดิมในแต่ละวัน ผู้ที่รู้จักตัวเองดีแล้วก็จะ
    เลือกแบบเดิมซ้ำๆ เหมือนกับเรารู้ว่าเราเหมาะกับทรงผมแบบไหนเราก็มักจะทำ
    ผมทรงนั้นซ้ำๆ ส่วนพวกที่ไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่รู้ความชอบของตัวเองก็มักจะ
    เปลี่ยนไปเลือกสิ่งใหม่เสมอ อย่างเช่น คุณไปเลือกซื้อเสื้อผ้าแล้วคุณไม่รู้ว่าตัว
    ไหนเหมาะกับคุณ คุณอาจจะลองมันทุกตัว เมื่อคุณรู้แล้วว่าคุณเหมาะกับอะไร
    ครั้งต่อไปคุณก็ไม่จำเป็นต้องลองทุกตัว ทุกแบบใช่ไหม คุณก็แค่เลือกในสิ่งที่
    เหมาะกับคุณเท่านั้นเอง นี่คือการเลือกในแบบเดิมซ้ำๆ
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ส่วนการใช้ใจก็หมายถึงการรูู้ก่อนแล้วค่อยเข้าใจ ส่วนการใช้ความคิดนั้นกลับ
    กันมันต้องเข้าใจก่อนแล้วค่อยรู้ใช่ไหม ในความเป็นจริงคนเรารู้มากกว่าที่เรา
    มีประสบการณ์มาก การใช้ใจหมายถึงการรู้ในสิ่งที่เรายังไม่เคยมีประสบการณ์
    มาก่อน การเชื่อความรู้สึก และความรู้สึกที่ถูกก็คือสิ่งที่ทำให้เราเบิกบาน ลอง
    อ่านดูครับ

    การใช้ใจฟังธรรม

    จากหนังสือธรรมของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร


    "ในสมัยที่เคยอยู่กับหลวงปู่มั่นในอดีตนั้น เคยนั่งฟังเวลาท่านอธิบายธรรม บาง
    ครั้งท่านอธิบายถึงชั่วโมง บางครั้งท่านอธิบาย 3 ชั่วโมงก็มี ทำไมท่านจึงได้พูด
    นานหนักหนา ทำไมได้อธิบายมากหนักหนา ทำไมถึงจะจดไหว ทำไมถึงจะจำ
    ไหว มากมายเหลือเกิน พูดไปอย่างไม่หยุดยั้งเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เป็นเวลา 3
    ชั่วโมง เป็นคำพูดเป็นหมื่นเป็นแสนคำ ซึ่งไม่สามารถจดจำได้หรอก แต่ว่าท่าน
    เคยอธิบายว่า กระแสพระธรรมเทศนานั้น เป็นกระแสที่ทรงอานุภาพ ที่ว่าทรง
    อานุภาพนั้นเพราะสามารถสะกดจิตให้สงบได้ เป็นความจริง แม้จะเป็นเวลาถึง 3
    ชั่วโมงก็เหมือนกันกับเพียงนาทีเดียว เพราะเหตุใด?

    เพราะว่าพลังจิตของท่านและกระแสธรรมที่ออกจากจิตท่าน ได้ไปบังคับจิตของ
    เรา ให้ลงสู่ภวังค์ บังคับจิตของเราให้ลงสู่จุดใดจุดหนึ่ง ที่เป็นจุดเกิดพลังงาน จุด
    ที่เกิดความเยือกเย็น หรือเป็นจุดเกิดความละเอียดอ่อน ธรรมะนี้สามารถเข้าไปสู่
    จุดนั้นได้จริง เพราะฉะนั้นจึงใช้วิธีการที่เคยทำได้ผลมาแล้ว นำมาใช้ เพราะ
    กระแสธรรมเทศนา เป็นกระแสที่มีความคม เป็นกระแสที่มีความลึกซึ้ง ผู้ที่ฟังนั้น
    ไม่จำเป็นต้องจดจำ เพียงแต่กำหนดจิตให้เป็นภาชนะ เท่านั้นเองกระแสธรรม
    เทศนาจะลงไปสู่จุดที่ต้องการ
    "
     
  3. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    "การเชื่อความรู้สึก และความรู้สึกที่ถูกก็คือสิ่งที่ทำให้เราเบิกบาน"

    เราเข้าใจว่า ถ้าอยู่ในภาวะปกติ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    เมื่อใดที่เราไม่เบิกบาน ต้องเรียกสติ กลับมาดูว่า เราเสวยอารมณ์ อะไรอยู่
    ถ้าเราทำได้ บ่อยๆ เราก็จะลดการตกเป็นทาสของอารมณ์ ต่างๆ เช่น ขี้โกรธ
    ขี้ตกใจ ขี้หงุดหงิด ขี้เกียจ ....

    นับว่าเป็นประโยคที่ใช้เตือนใจได้ดีมากค่ะ

    "การใช้ใจฟังธรรม" เหมือนการเปิดใจ ถ้าเปิดมาก ภาชนะก็ลองรับได้มาก ถ้าจิตมีคุณภาพดี ก็จะรองรับกระแสธรรมได้มาก

    มาพูดถึงการเลือก การลองผิดลองถูก ถ้าพิจารณาไปจนลงตัว ก็เหมือนกับไม่มีอะไรต้อง เลือกอีก เช่น การทำผม การแต่งตัว พอมันทำมาหมดจนอิ่มตัว ก็จะพบว่า ไม่มีอะไรน่าค้นหาอีกแล้ว เช่นแฟชั่นต่างๆ มันก็วนซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีอะไรน่าสนใจ แล้วก็ค้นหาตัวตนไปเรื่อยๆ จน สุดท้ายก็พบว่าไม่มีตัวตน (ตามที่คุณเคยบอก)

    ความรู้สึก ที่ถูกต้อง ที่เบิกบาน จะเอามาใช้แก้ไข ความรู้สึกกลัว
    ที่ไม่มีเหตุผล เช่น คนที่กลัว จิ้งจก แมลงสาป กลัวความสูงยังไง
    เท่าที่เคยลอง ถ้ากลัวความสูง ก็ ให้ไปที่สูงบ่อยๆ แต่สิ่งที่มันดูแล้วขยะเขยง ขนลุก นี่แก้ยากเนอะ
     
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    การเข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริงมันไม่ใช่เรื่องยาก ความรู้สึกที่แท้จริงมันจะทำให้
    เราเบิกบาน เพราะมันออกมาจากสิ่งที่เราเป็นจริงๆ ผมจึงให้ความสำคัญกับการ
    ถามตัวเองว่า เราเป็นใคร เราอยากทำอะไร มากที่สุด มากกว่าเรื่องไหนๆ และ
    มันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางสิ่งที่เคยทำให้เราพอใจได้มันไม่ทำให้เราพอใจได้
    อีกต่อไป เหมือนเด็กที่ซักวันเขาจะเริ่มเบื่อของเล่น และหาสิ่งที่เขาพอใจมากกว่า
    ทางพุทธเราจัดความสุขไว้หลายระดับ กามสุข ฌานสุข นิพพานสุข มันไม่ผิด
    อะไรเลยถ้าเราถามตัวเองแล้วยังมีความพอใจในกามมากกว่าเรื่องอื่น แต่สุด
    ท้ายแล้วมันจะต้องเปลี่ยนไป ไม่ว่าเราจะเคยพอใจกับอะไรซักวันมันจะถึงจุดที่
    เราไม่ต้องการมันอีกต่อไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างเราขึ้นมา ความที่ไม่เคย
    พอใจกับอะไรอย่างแท้จริง แม้ว่าเราจะศรัทธาในคำสอนของใคร มันก็จะมีเวลา
    ที่เราสงสัยเขา เมื่อเราหาจนไม่มีอะไรภายนอกที่จะทำให้เราพอใจได้ เราก็จะ
    กลับเข้าหาภายใน นี่คือการไม่ส่งจิตออกนอก ไม่ว่าอะไรที่อยู่ภายนอกก็ไม่
    สามารถทำให้เราพอใจได้อย่างแท้จริง เราอาจจะใช้ชีวิตอย่างปกติ อาจจะฟัง
    เพลง ดูทีวี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้เราพอใจได้ ใจของเราก็อยู่แต่ภายในไม่ส่ง
    ออกไปภายนอก พอถึงตรงนี้ความกลัวก็ไม่มีไปเอง
     
  5. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอบคุณค่ะ ...เป็นคำแนะนำที่ลึกซึ้งมาก
     
  6. โอกระบี่

    โอกระบี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +1,651
    นานาจิตตัง............
     
  7. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=noFDS2wk51s&feature=related]วิธีการเจริญสติ โดย หลวงพ่อเทียน - YouTube[/ame]
     
  8. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=RZgXe9Chxqo&feature=player_embedded#]หลวงพ่อสมบูรณ์01 - YouTube[/ame]!
     
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ขอบคุณ คุณ 0077 ที่นำธรรมะมาแบ่งปันครับ
     
  10. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    ค่ะ คุณ bluebaby2
     
  11. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    เมื่อประมาณปลายปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเที่ยวพิพิธภัณท์ช้างเอราวัณ (ช้างสามเศียร) ที่สมุทรปราการ ที่นั่นเขามีอธิษฐาน เสี่ยงทายโดยการยกช้าง ซึ่งเคยได้ยินมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยลอง วันนั้นก็เลยลองเสี่ยงทายดู วิธีการคือ


    วิธีการอธิษฐานยกช้างเสี่ยงทายความสำเร็จ
    นั่งคุกเข่าข้างลำตัวช้างตั้งใจระลึกอ่านตามที่เขาแปะไว้
    ผู้ชายใช้นิ้วก้อยยก
    ผู้หญิงใช้นิ้วนางยก
    ยกครั้งที่ 1 ให้อธิษฐานถามสิ่งที่ประสบความสำเร็จ ขอให้ยกช้างขึ้น
    ยกครั้งที่ 2 ให้อธิษฐานถามสิ่งที่ประสบความสำเร็จ ขอให้ยกช้างไม่ขึ้น
    สามารถถามได้ทุกเรื่องทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
    ธุรกิจการงาน เคราะห์ โชคลาภ 9ล9

    วันนั้นเราถามเรื่องว่าลูกชาย จะเรียนจบมั้ย ตอนนั้นเราหวาดหวั่นมากเลยว่าเขาจะจบหรือไม่จบ ปรากฏว่ายกครั้งแรกช้างลอยเลย พอครั้งที่สองก็ยกเหมือนเดิม แต่ยกไม่ขึ้นหนักมากเหมือนช้างยึดติดแน่นกับพื้นเลย ในใจตอนนั้นก็ไม่อยากให้ยกขึ้นหรอก แต่ก็ไม่ได้แกล้ง มันหนักมากจริงๆ (ตอนนี้ลูกก็เรียนจบเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่เริ่มทำงานเลย)

    พอหลังจากนั้นก็ได้บัตรเชิญไปชมพิพิธภัณท์ที่เดิม ก็ไปอีก คราวนี้ลองเสี่ยงทายถามอีกเรื่องปรากฏว่ายกแล้วลอยทั้งสองครั้ง ไม่เหมือนครั้งแรก แต่ถามคนละเรื่องนะครั้งนี้ถามประมาณว่าก้ำกึ่งระหว่าง ใช่กะไม่ใช่ คือถ้าไม่ใช่ก็โล่งอก ถ้าใช่ก็เฉยๆ แต่ตอนนี้เรื่องที่สองที่ถามก็ยังไม่เกิดขึ้น ก็คิดในใจว่าคงเกี่ยวกับจิตใต้สำนึก หรือเหนือสำนึกอะไรซักอย่าง


    แต่สมัยที่ลูกจับฉลากเข้าเรียน มีครั้งหนึ่งกลัว กังวลมาก ก็ไหว้บนบานหลายครั้ง ปรากฏว่าจับไม่ได้ ต้องมาสอบเข้า และก็ได้เข้าเรียน แสดงว่าต้องพึ่งตนเองจริงๆ แต่เรื่องการไหว้ บนบาน ก็ทำให้อุ่นใจ หรือมีกำลังใจ เท่านั้น

    พอดีว่างๆ ก็เลยนั่งพิมพ์เล่นๆ น่ะ
     
  12. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ความกลัวทุกอย่างจะหมดไปเมื่อเราไว้วางใจธรรมชาติ มันเป็นประสบการณ์ของ
    ผมเองว่าธรรมชาติพร้อมที่จะช่วยเหลือเราในทุกอย่างที่เราปรารถนา ไม่ว่าเรา
    เชื่ออย่างไรธรรมชาติก็จะให้ประสบการณ์แบบนั้นกับเรา ถ้าเราเชื่อว่าธรรมชาติ
    ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยเราก็จะมีประสบการณ์ว่าธรรมชาติไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย
    เหมือนกับคนส่วนมากกำลังมีประสบการณ์อยู่ตอนนี้ ถ้าเราเชื่อว่าเราต้องต่อสู้
    ดิ้นรนเพื่อสิ่งที่เราต้องการธรรมชาติก็จะให้ประสบการณ์ว่าเราได้ต่อสู้ดิ้นรน แต่
    จุดเปลี่ยนเมื่อเราปล่อยวางตัวตนของเรา เราจะตระหนักถึงความจริงที่ว่า
    ธรรมชาติได้ช่วยเหลือเรามาตลอด ไม่มีขาด ไม่มีเกิน ทุกสิ่งเป็นไปในแบบที่มัน
    ควรจะเป็น สมบูรณ์แบบในทุกมิติอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกเหตุการณ์ในชีวิต ทุกคนที่
    เราได้พบเจอ ทุกสถานที่ที่เราได้ไป ไม่มีความบังเอิญเลยแม้แต่น้อย เมื่อนั้นการ
    ต่อสู้ดิ้นรนก็จะสิ้นสุดลง เราจะมองย้อนกลับไปและขอบคุณทุกคนและทุก
    เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ว่ามันจะเลวร้ายขนาดไหน เพราะถ้าไม่มีคนและเหตุการณ์
    เหล่านั้นก็จะไม่มีเราในวันนี้ ถ้าไม่มีความทุกข์ในตอนนั้นเราก็จะไม่มีศรัทธาใน
    ตอนนี้ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมมันจะมองเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ บางครั้ง
    มันก็บังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ จนเล่าให้เพื่อนฟังก็ตกใจแต่ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่อง
    ธรรมดามากเพราะผมไว้วางใจในธรรมชาติ
     
  13. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ดีค่ะ ถ้าเราไว้วางใจธรรมชาติ เข้าใจทุกอย่าง ตามจริง ไม่ย้อนอดีต อนาคต เราก็คงไม่เครียด ไม่กังวล ไม่คิดมากโดยไม่จำเป็น

    สังเกตดูจากคนที่มีลูกคนแรก พ่อแม่จะเครียด บางทีก็ทำตามทฤษฏี เกินไป
    แต่พอลูกคนหลังๆ จะปล่อยวาง และเข้าใจมากขึ้น เด็กคนเล็กจะร่าเริง

    หรือบางทีเด็กขับรถไปชนอะไรที่ไม่รุนแรงมาก แต่ต้องเสียเงินค่าซ่อมรถ ก็พยายามคิดว่าเป็นบทเรียน ดีกว่าไปชนคนตายหรือบาดเจ็บอะไรทำนองนั้น

    เหตุการณ์ร้ายๆ หลายๆ อย่างก็ผลักดันให้เราปรับปรุงตัว หรือหนีไปอยู่ในที่ใหม่ที่เหมาะสมกับเรา

    ข้อความสั้นๆบางประโยคของคุณ ก็ช่วยเชื่อมโยงกับหนังสือที่อ่านมาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ค่อย
    get ได้เหมือนกันนะ เหมือนตอนเด็ก เรียนหน้าที่ศีลธรรม ท่องไปเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วก็ค่อยเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
     
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ถ้าเราวางใจในธรรมชาติ ปล่อยให้มันเป็นไปมันจะไม่ต้องดิ้นรนเลย ไม่ต้องใช้
    พยายามใดเลยเหมือนกับเราล่องไปตามกระแสน้ำเราไม่ต้องดิ้นรนหรือพยายาม
    เลย แต่ถ้าเราฝืนมัน ต่อต้านด้วยการว่ายน้ำทวนกระแสน้ำมันจะต้องดิ้นรนและใช้
    ความพยายามอย่างมาก ดังนั้นเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าดิ้นรนและใช้ความพยายามเมื่อ
    นั้นเรากำลังฝืนธรรมชาติ เรากำลังไม่ไว้วางใจธรรมชาติ
     
  15. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอถามความเห็นหน่อยนะ

    คือตอนนี้มันมีปัญหาเร่งด่วนมากๆ ว่า ลูกที่เรียนจบมาประมาณ 2-3 เดือน แต่ยังอยู่ที่บ้าน
    ถามเขาก็บอกว่า รอสอบ กว และ toic สัปดาห์หน้าแล้วจะหางานทำ

    แต่ตอนนี้ พ่อเขา จะให้ไปอยู่ที่อื่น แล้ว คือให้ไปอยู่ ต่างจังหวัดกับญาติ ประมาณว่า ย่า
    และอา ซึ่งเขาก็ไม่สนิทกันเลย
    แต่ลูกบอกว่า อยากหาหออยู่ใน กทม แต่พ่อกลัวว่าถ้าอยู่หอต่อไปก็ไม่ขวานขวาย เดินทางเอาก็ได้ ไม่อยากให้อยู่บ้านอีกต่อไปแล้ว
    ที่จริงเรา รอได้และอยากให้โอกาสลูกตัดสินใจเอง
    แต่พ่อ จะเครียด ซีเรียส ไม่พูดกับลูก เขาบอกว่าทนไม่ได้แล้ว และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆแก้ไขหรือปรับความเข้าใจอะไรกันไม่ได้เลย

    คือเราก็ยื้อและให้เวลาลูก แต่ตอนนี้ ต้องรีบแล้ว
    ก็คงต้องทำอะไรซักอย่าง เลยหนักใจมาก
    เพราะเหมือนเราเป็นคนกลาง เขาไม่พูดกันเอง
     
  16. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เห็นใจนะครับ แต่เรื่องพวกนี้ถ้าไม่แก้ไขให้ถูกต้องมันก็จะวนซ้ำรอยเดิมไปเรื่อยๆ
    ลองคิดดูสิครับ ในอดีตชาติลูกของคุณอาจจะเป็นแหมือนพ่อของเขาในชาตินี้
    เลยต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันกับลูกเขาในอดีตชาติ และต่อไปพ่อ
    ของเขาซักวันหนึ่งก็จะกลับมาเป็นแบบเดียวกับลูกของคุณในตอนนี้ ถ้าไม่มีใคร
    ยอมหยุดมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน วนซ้ำรอยเดิมไปเรื่อยๆ เพราะไม่
    ยอมแก้ไข ไม่ยอมหยุด เรื่องของกรรมมันไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับแค่เราทำ
    ให้คนอื่นมีประสบการณ์แบบไหนซักวันเราก็จะมีประสบการณ์แบบนั้น และเมื่อรู้
    อย่างนี้แล้วก็ให้ทำในใจดังนี้ว่า เราอยากได้สิ่งใดจงให้สิ่งนั้นกับผู้อื่น เราไม่
    ปรารถนาสิ่งใดจงอย่าให้สิ่งนั้นกับใคร ถ้า พ่อ-ลูก คนใดคนหนึ่งรู้และเข้าใจและ
    ปฏิบัติได้ตามนี้ก็จะเป็นการไม่ผูกโซ่กรรมต่อไป แต่ถ้าเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่
    ปฏิบัติตามก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย อีกหน่อยคนพ่อจะกลายเป็นแบบคนลูก คนลูกจะ
    กลายเป็นแบบคนพ่อ วนอยู่แบบนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าลึกๆ แล้วลูกๆ ส่วนใหญ่ถึง
    ไม่พอใจในพ่อ-แม่ตัวเอง และพ่อ-แม่ส่วนใหญ่ลึกๆ แล้วไม่พอใจในลูกของตัว
    เองแบบนี้ เพราะมันเหมือนกระจกสะท้อนกันและกัน
     
  17. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ทุกวันนี้เราก็คิดอยู่ตลอดว่าจะแก้ไขให้ถูกต้องอย่างไร ในความเห็นเราคือ คิดว่าจะให้เวลาให้โอกาส โดยไม่กดดันเขาจนเกินไป แต่ก็ไม่รู้ว่ายิ่งเวลาผ่านไปนาน มันก็เหมือนปล่อยเกินไป คือเราก็พูดบ้าง แต่ไม่รุนแรง

    ส่วนในความคิดเห็นอีกคน เขารู้สึกว่าความถูกต้องคือ ต้องทำอะไรซักอย่างที่ผลักดันให้เด็กไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ที่จะช่วยกระตุ้นและอบรมสั่งสอนให้เขาทำเหมือนคนอื่นๆ
    คือ ขยัน ทำงาน ตื่นเช้า อะไร ทำนองนั้น

    มันมีหลายมุมมอง และเราก็ไม่รู้อนาคต ในส่วนตัวเราก็คิดว่าอยากให้เขาเป็นตัวของตัวเอง และอยู่อย่างมีความสุข ให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะ มีชีวิตชีวา
    แต่ในอีกหลายๆ แง่มุม(พ่อ) เขาคงคิดว่า ควร ทำงาน หาเงิน ขยัน แล้วจะทำให้ตัวเองดูมีคุณค่า และแก่ตัวลงจะได้ไม่ลำบาก

    เราอยากได้สิ่งใดจงให้สิ่งนั้นกับผู้อื่น เราไม่
    ปรารถนาสิ่งใดจงอย่าให้สิ่งนั้นกับใคร


    ถ้าเราเป็นลูกเราก็อยากขอเวลา และค้นหาว่าจะทำอะไรต่อไปด้วยตนเอง
    แต่มันก็ไม่มีสถานการณ์ที่จะบีบบังคับหรือผลักดันให้เขาทำอะไรน่ะ
    ซึ่งดูเหมือนมันหย่อนเกินไป
    ส่วนพ่อเขาก็คิดว่าการสร้างสถานะการณ์ แล้วจะเป็นการช่วยเขาทางอ้อม

    ไม่เป็นไรค่ะ คนเราก็ต้องเจออะไรกันบ้างและแก้ปัญหาไปเรื่อย
    ขอบคุณนะ
     
  18. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ไม่ต้องแก้ไปเรื่อยๆ หรอกครับถ้าสามารถแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาได้ก็จะจัดการ
    ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน การแก้ที่ปลายเหตุจะต้องแก้กันไปเรื่อยๆ ไม่มี
    ที่สิ้นสุด ต้นเหตุอยู่ที่ความคิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน อาจจะเพราะวัยที่ต่างกัน
    ผู้ใหญ่ก็สนใจแต่เรื่องความมั่นคง แต่เด็กไม่สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่เลย มันเลย
    เหมือนเส้นขนาน ถึงลูกของคุณจะปฏิบัติตามแต่กว่าใจจะยอมรับได้คงต้องรอไป
    จนกว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่ถึงจะคิดแบบเดียวกับพ่อของเขา อย่างน้อยก็คงหลัง
    อายุ 30 ถึงจะเริ่มคิดเห็นไปในทางเดียวกัน วัยของเขาตอนนี้เป็นวัยที่เริ่มฝัน ไม่
    ใช่วัยที่จะหยุดเพื่อทำเรื่องเดิมๆ ซ้ำแบบนั้น การสื่อสารกันไม่เข้าใจมันลำบาก
    เหมือนกับคนหนึ่งเข้าใจแต่ภาษาจีน อีกคนเข้าใจแต่ภาษาอังกฤษมันไม่มีทางคุย
    กันรู้เรื่องเลย มันจำเป็นที่จะต้องมีคนหนึ่งเข้าใจทั้งสองภาษาถึงจะคุยกันรู้เรื่อง
    ลูกต้องเข้าใจพ่อให้มากขึ้น พ่อต้องเข้าใจลูกให้มากขึ้น การสือสารกันมันถึงจะ
    เป็นได้
     
  19. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    "แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาได้ก็จะจัดการ
    ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน "


    การแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาทุกปัญหา ควรเริ่มที่ตัวเอง เริ่มจากการ สำรวจความคิด คำพูด การกระทำและเจตนา
    ถ้าเราวางใจในธรรมชาติ จริงๆ ใจจะสงบและยอมรับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาอย่างมีสติ ค่อยๆ
    พินิจพิจารณา ดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหมือนยอมรับกฎของธรรมชาติ(กฏแห่งกรรม)
    และถ้าไม่อยาก มีเวรมีกรรมเกิดขึ้นอีก ก็ต้องลดความคาดหวัง แต่ให้เชื่อว่าทุกอย่างมีกฏเกณท์ มีที่มาที่ไป ไม่กล่าวโทษใคร เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝน โดยใช้ศีล สมาธิ เป็นแนวทาง

    ก็เห็นปัญหาของแต่ละคนแล้ว มันไม่ได้อยู่ที่ความหนักเบาของปัญหาเลย
    ปัญหาที่ดูเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่ดูยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับบางคน

    แม้แต่เรื่องเล็กน้อย เช่น การล้างแก้ว การทำงานบ้าน การทำกับข้าว ถ้าไม่
    เคยฝึกฝนมาก่อน มันก็เป็นเรื่องเครียดได้เหมือนกัน
    ยกตัวอย่างเช่น บ้านที่จ้างแม่บ้านทำงานบ้าน ช่วงที่ขาดไปเช่น ลากลับบ้าน
    ลาออก ก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับเจ้าของบ้าน

    แต่พอลองทำเองสักพัก ก็ยังทุกข์ขี้เกียจอยู่ดี แล้วพอมีเรื่องอื่นที่หนักกว่า
    เรื่องเก่าก็ดูเล็กน้อยและยอมรับไปได้ในที่สุด สรุปแล้วทุกคนก็ต้องผ่านประสบการณ์ความทุกข์ด้วยตัวเองกันทุกคน เหมือนการปอกหัวหอม ลอกออกไปเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก ก็คือการสิ้นสุดของการมีตัวตน
     
  20. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    อย่างเรื่องการมีบุตรนี่ก็เหมือนกัน บางคนก็มีความพร้อมและอยากมี แต่สุขภาพไม่พร้อม
    ก็พยายามเหลือเกิน เสียเงินเสียเวลามากมายเพื่อจะมี พอไม่ได้ก็ทุกข์อีก

    ในขณะที่บางคนยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น ถึงแม้จะดูว่าพร้อม แต่ใจยังไม่ต้องการ ก็ไม่ happy เท่าที่ควร

    บางคู่ที่รักกันมากแต่อีกฝ่ายหนึ่งมาตายจาก ในเวลาที่ไม่คาดฝันก็ทุกข์หนัก
    ในขณะที่บางคนก็เฉยๆ อยู่ก็ได้ตายก็ดี แต่ยังไม่ตาย

    ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรน่่าเอาน่าเป็นเลย การไม่เกิดในความหมายของท่านพุทธทาส คือเกิดความอยากมี อยากได้ใช่ไหม เดี๋ยวถ้ามีอะไรจะมาเล่าต่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...