สวัสดีค่ะ

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย january2555, 9 มกราคม 2012.

  1. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เรื่องของความสุขและความทุกข์มันเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ มัน
    เหมือนลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งไปมาระหว่างสุขกับทุกข์ ถ้าเราทุกข์ไม่สุด
    มันก็สุขได้ไม่สุดเหมือนกัน ลองมองดูเด็กเล็กเวลาเขามีความสุขไม่มี
    ผู้ใหญ่คนไหนจะมีความสุขได้เท่ากับเขา แต่เวลาเขาร้องไห้มันเหมือน
    กับโลกทั้งใบจะสลาย ดังนั้นเคล็ดลับความสุขจริงๆ จริงไม่ใช่เรื่องของ
    การที่เรามีอะไรหรือไม่มีอะไร แต่อยู่ที่ความแตกต่างของเวลาที่เรามี
    กับไม่มี บางครั้งเราเห็นคนที่ดีใจอย่างมากเพราะได้บางอย่างที่เราไม่
    เคยสนใจ เราก็นึกสงสารเขาแล้วคิดว่าความสุขของเขาช่างน้อยนัก
    เพราะสิ่งนี้ไม่เคยทำให้เรามีความสุขได้เลย แต่ในความเป็นจริงความ
    สุขของเขามากมายกว่าของเรามาก เพราะความแตกต่างระหว่างเวลา
    ที่เขามีกับไม่มีนั้นมากมาย ดังนั้นแม้ความสุขของขอทานก็อาจจะ
    มากกว่าความสุขของพระราชา และเป็นเช่นนั้นเสมอ ความสุขของคน
    จนมักจะมากกว่าความสุขของคนรวย เพราะเหตุผลง่ายๆ ว่าเขามีช่วง
    เวลาที่ทุกข์มากกว่า
     
  2. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    นั่นสินะ เราเคยอ่านเรื่องที่มีเศรษฐี ไปเที่ยวชนบท แล้วเห็นชาวบ้านเขาก็นอนหลับสบายในบ้านที่ดูไม่ค่อยมีอะไร แล้วเศรษฐีก็รำพึงรำพันในใจว่า เรามีเตียงที่ทำด้วยทองคำแต่ไม่เคยนอนหลับสนิท อย่างมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกจะเป็นนิทาน แต่ก็คงจะจริงเห็นคนที่ดูเหมือนรวยมีชื่อเสียง แต่ชอบซื้อยานอนหลับกัน
     
  3. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    แล้วเมื่อก่อนจะไม่ชอบตอนที่กลับจากไปเที่ยวเลย คือเหมือนเที่ยวสนุกแล้วกลับมาก็ต้องจัดการกับภาระเดิมๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็ทำใจได้ดีมากกว่าเดิม
     
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ครับการใช้ชีวิตของคนเรามันไม่ได้แสดงถึงสติปัญญาเลยแม้แต่น้อย
    คนรวยก็อิจฉาคนจนที่นอนหลับสนิท คนจนก็อิจฉาคนรวยที่มีทุกอย่าง
    แต่ไม่รู้จักเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมี คนจนไม่เคยเห็นคุณค่าของการ
    นอนหลับสนิท โลกของคนจนเป็นโลกที่กว้างใหญ่ ที่ของคนรวยเป็น
    เพียงที่แคบๆ ไม่มีความหลากหลาย ส่วนคนรวยนั้นมีอิสรภาพอย่าง
    มากไม่ว่าจะทำอะไร แต่ความเป็นจริงเรากลับอิจฉากันและกัน ไม่เคย
    พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็มีความสุขได้ในแบบ
    ของตัวเอง และทุกคนก็มีทุกข์ในแบบของตัวเอง คนรวยทุกข์แบบคน
    รวย คนจนทุกข์แบบคนจน คนฉลาดทุกข์แบบคนฉลาด คนโง่ทุกข์
    แบบคนโง่ คนขยันทุกข์แบบคนขยัน คนขี้เกียจทุกข์แบบคนขี้เกียจ
    ทุกคนทุกข์หมดดังนั้นพระพุทธองค์ไม่สรรเสริญการที่เราจะเป็นอะไร
    ทั้งนั้น เพราะไม่ว่าแบบไหนก็ทุกข์ทั้งนั้น ทางที่ประเสริฐที่สุดคือการ
    ทำทุกข์ให้สิ้นไป
     
  5. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ชีวิตส่งเราไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุดเสมอ ที่จะได้หยุดทบทวนว่าอะไรอยู่เบื้องหลัง การกระทำทั้งหมดของเรา เราต้องการอะไรบางอย่างแท้จริงในชีวิต และสิ่งที่ทำ พาไปสู่ชีวิตที่เราต้องการหรือเปล่า
    ชีวิตใช้บทเรียนเพื่อบีบให้เราเรียนรู้ที่จะหยุดแล้วเติบโตเป็นคนใหม่ ดึงสิ่งที่สุดที่สุดในตัวเองออกมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีใหม่ ที่ไปเหนือกว่าการตอบโต้ตามสัญชาตญาณ
    ชีวิตจะบีบคั้นเรียกร้อง ให้เราไปเหนือกว่าการใช้ชีวิตไปตามกระแส ตอบโต้ไปตามสถานการณ์ แต่ให้เราค้นพบเกาะภายในตัวเอง ที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงกลางมหาสมุทรแห่งชีวิต
    ถ้าเราไม่ยอมดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเองออกมา ยังใช้ชีวิตแบบอ่อนแอ ไม่มีจุดมุ่งหมาย วุ่นวายไม่มีหลัก ยังโต้ตอบแบบด่ามาด่าไป ตีมาตีไป ตามสถานการณ์แวดล้อม ชีวิตก็จะส่งบทเรียนที่ยากขึ้น ยากขึ้น มาให้จนกว่าเราจะยอมจำนน
    เพราะชีวิตต้องการให้เราเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง เป็นเราที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะเรามีความสมบูรณ์ยอดเยี่ยมที่สุด พร้อมอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ที่รอการเปิดเผยออกมา

    (จาก เข็มทิศ 3)
     
  6. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เป็นความเห็นที่ไม่ธรรมดา ต้องเรียนรู้จากชีวิตมาพอสมควรถึงคิดแบบนี้
     
  7. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ตอนนี้กลุ้มใจ เป็นทุกข์มากเลย ลูกโทรมาบอกว่าไม่สบาย เวลานอนก็หายใจลำบาก
    แพ้ฝุ่น อยากกลับบ้านแต่ก็กลับไม่ได้(น้ำเสียงเศร้ามาก) ฟังดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
    แต่ก็รู้สึกผิดว่า เป็นเพราะการเลี้ยงดูของเรา ทำให้เขาอ่อนแอ หรือเปล่า อะไรต่างๆนาๆ
    แล้วก็คิดกลับไป กลับมาอีกว่าทำถูกหรือเปล่าที่ส่งเขาไปอยู่ ตจว
    แต่ก็คิดอีกนั่นแหละ ว่าไม่ลองก็ไม่รู้ มันคงมีทั้งข้อดีข้อเสีย

    ไม่สบายใจเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คุณจะไม่ทุกข์ถ้าคุณสามารถจะเข้าใจชีวิต มันไม่ได้ซับซ้อน ชีวิตจะปรับเปลี่ยน
    ชีวิตเพื่อชีวิตเสมอ สิ่งนี้นำมาสู่การ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หมายความเมื่อร่าง
    กายเกิดขึ้นมา ร่างกายเองก็จะปรับเปลี่ยนตัวของมันเองเพื่อความคงอยู่ของมัน
    และความผิดปกติในร่างกายเป็นเรื่องธรรมดามาก มันมีการทำงานที่ซับซ้อน
    อย่างมาก มันสามารถจะทำงานผิดพลาดได้เสมอ คุณจะไม่ทุกข์เพราะการ
    เปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อคุณรู้ว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงตัวมันเองเพื่อตัวของ
    มันเอง ไม่ว่ามันจะเป็น การเป็นไข้ หรือเป็นหวัด หรืออื่นๆ ล้วนเป็นการปรับตัว
    เพื่อการตั้งอยู่ทั้งนั้น และถึงแม้มันจะไม่สามารถตั้งอยู่ได้ มันอาจจะดับสลายไปก็
    ตามมันก็เป็นการที่ ชีวิตปรับเปลี่ยนชีวิตเพื่อชีวิตอยู่ดี แต่อาจจะเป็นในระดับที่สูง
    ขึ้นไปกว่าระดับของร่างกาย การที่ร่างกายดับสลายไปเพียงแค่หมายความว่า
    เกิดการปรับตัวของชีวิตในระดับที่สูงขึ้นไป เพราะชีวิตก็คือการเปลี่ยนแปลง ดัง
    นั้นการเปลี่ยนแปลงไม่มีทางใดที่จะเป็นปรปักษ์กับชีวิต เมื่อไหร่ที่คุณเกลียดการ
    เปลี่ยนแปลงเมื่อนั้นคุณเกียดชีวิต และเมื่อคุณเกลียดชีวิตคุณก็จะต้องทุกข์ เมื่อ
    ไหร่ที่คุณสามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงในฐานะส่วนหนึ่งของชีวิตคุณก็จะไม่
    ทุกข์ ผมเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกนั้นมีมาก อาจเพราะแม่กับลูก
    เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นเวลานาน จิตจึงเชื่อมโยงถึงกันได้ บางครั้งถ้าลูกป่วย
    แม้จะห่างกันข้ามโลกคนเป็นแม่ก็อาจจะกระวนกระวายเป็นทุกข์ขึ้นมาโดยไม่รู้
    สาเหตุ สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่การกังวลจนเกินเหตุก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี
     
  9. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    เมื่อสองวันก่อนเราป่วย นอนยาว 1 วัน เต็มๆ ช่วงที่ป่วย ทำให้เราคิดได้ว่า คนเราแค่มีสุขภาพดี มีอาหารกิน มีที่อยู่พักผ่อนหลับนอน ทำจิตใจให้ปกติ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตคนเรา

    ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งคำแนะนำและข้อคิดต่างๆ ค่ะ
     
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อนุโมทนาสำหรับความคิดบวกนี้นะคะ
     
  11. มัญญา

    มัญญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +154
    ประทับใจ ข้อความนี้ กดlike ไม่จำกัด สุดยอดบทความ...โมทนาค่ะ..
     
  12. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ค่ะ คุณครูติงติง ตอนที่ป่วยคิดแบบนั้นจริงๆ แต่หลังจากหายป่วยแล้ว
    ก็ต้องเจอกับโลกธรรมทั้งหลาย ความคิดมันก็อาจจะเป็นอื่น บางทีเหตุผลมันมาทีหลังอารมณ์น่ะค่ะ
    (ขอบคุณนะที่ไม่ปล่อยให้เราคุยอยู่คนเดียว..)
     
  13. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    การเข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะทำอะไรตามต้องการมันยากนะ เพราะมักจะขัดแย้งกับ ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ หรือไม่ก็ขัดแย้งกับความคิดของคนอื่น แล้วก็มักจะเกิดความรู้สึกไม่เบิกบานตามมา
    คือบางเรื่องที่เราอยากทำ แต่คิดว่าไร้สาระเกินไปไม่เหมาะสม และอาจจะรบกวนผู้อื่นเราก็เลยไม่ทำน่ะ แต่บางทีมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นั่นแหละ คือต้องหาอะไรทำอยู่เรื่อยๆ คือเรารู้สึกว่าเรามีหน้าที่ ที่ต้องทำหลายอย่าง ถ้าเกิดเราละเลยหน้าที่ก็ไม่สบายใจ ก็คิดเสียว่าการปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม คงต้องฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ ...
     
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ครับบางครั้งมันก็ไม่ง่ายเลย ถึงแม้เราจะรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของ
    เราแต่มันไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนชีวิตแบบเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองไปเลย
    หรือการทิ้งความรับผิดชอบ ทิ้งภาระทุกอย่างที่มี นั่นเป็นเพราะว่าก่อน
    หน้านี้เราได้เลือกที่จะลงไปในหลุมที่เราไม่สามารถจะขึ้นจากมันได้
    เลย เราไม่ได้คิดเลยว่าวันหนึ่งเราอาจจะไม่อยากอยู่ในหลุมนี้อีก
    อยากที่จะขึ้นจากหลุมนี้แล้ว แต่เมื่อวันที่เรารู้ตัวว่าอยากที่ขึ้นจากหลุม
    นี้มันกลับทำไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็เลือกได้ว่าเราจะไม่ลง
    ไปในหลุมที่เราไม่สามารถขึ้นได้อีกต่อไป ก่อนที่จะลงไปในหลุมไหน
    เราจะต้องแน่ใจก่อนว่าเราสามารถปีนขึ้นจากหลุมนั้นไม่ยากลำบากจน
    เกินไป เลือกแบบนี้ในทุกครั้งที่สามารถจะเลือกได้ เริ่มจากความรู้ว่า
    เราสามารถจะได้ในสิ่งที่เราเลือก เมื่อมีความรู้ก็จะเกิดประสบการณ์ว่า
    เราสามารถจะได้ในสิ่งที่เราเลือกและสิ่งนี้จะกลายเป็นความจริงของ
    เราในที่สุด มันจะมีวันหนึ่งที่คุณไม่ต้องลงไปในหลุมไหนเลยถ้าคุณไม่
    ต้องการ แต่คุณก็สามารถที่จะลงไปได้ถ้านั่นคือสิ่งที่ออกมาใจของคุณ
    การที่เราสามารถทำอะไรตามความรู้สึกได้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่
    ต้องรับผิดชอบอะไร ถ้าคุณยังต้องการเปลี่ยนอะไรบางอย่างคุณจำ
    เป็นจะต้องมีความรับผิดชอบ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยน
    อะไรซักอย่างโดยที่ไม่รับผิดชอบผลที่ตามมาเลย แต่คุณจะมองความ
    รับผิดชอบว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับ
    ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง คุณจะรู้ว่าคุณได้
    เลือกที่จะรับผิดชอบพร้อมกันกับที่คุณรู้ว่าคุณเลือกที่จะเปลี่ยนแปลง
    บางอย่าง
    และนั่นก็จะก่อให้เกิดประสบการณ์ว่าเราสามารถจะได้ในสิ่ง
    ที่เราเลือกและกลายเป็นความจริงของคุณ เพราะแม้แต่ความรับผิดชอบ
    ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เราเลือกเองจากความรู้สึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2012
  15. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    คุณbluebaby2 ใช้คำว่าลงหลุมฟังดูน่ากลัวจัง ความหมายคงคล้ายกับการเลือกทางเดินใช่ไหม คือเราคิดว่าทุกคนก็ต้องเลือกทางที่จะเดินอยู่ตลอด ถ้าเราทำหน้าที่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เราก็จะขึ้นจากหลุม ได้ง่ายหรือเร็วขึ้นนะ คือชีวิตก็คงต้องฟันฝ่า และเรียนรู้ด้วยตนเอง ทางไหนที่ผ่านมาได้เราก็จะได้ไม่ต้องผ่านอีก แต่ถ้าเราไม่ผ่านทางหรือไม่ลงหลุมเลยแล้วสักวันเผลอไปตกหลุมเราจะอาจจะไม่มีกำลังพอที่จะขึ้นมาก็ได้

    หลุมที่น่ากลัวอีกอย่างคือหลุมอารมณ์นะ

    ขอบคุณสำหรับความรู้และข้อคิดต่างๆ ค่ะ
     
  16. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ผมไม่ได้ใช้คำว่าหลุมในความหมายที่ไม่ดีอะไร ผมไม่เคยใช้คำว่าไม่ดี
    ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนแล้วมันขัดกับความรู้สึกที่แท้จริงของผม
    มันก็คือหลุมสำหรับผม ทุกคนบอกผมว่ามันมีบางสิ่งที่จะต้องทำ และมี
    ที่บางที่จะต้องไป แต่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวสามารถจะตอบผมได้
    ว่าทำไมผมจะต้องทำสิ่งนั้นด้วย ทำไมผมจะต้องไปที่นั้นด้วย ทุกคนมี
    ความเชื่อว่าจะต้องลงหลุมที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปสู่หลุมที่ลึกขึ้น
    กว่านั้นอีก ผมก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าทำไมจะต้องลงหลุมที่ลึกขนาดนั้น
    ด้วย ทำไมเราจะต้องใช้ชีวิตที่เป็นศตรูกับความรู้สึกของตัวเองขนาด
    นั้น ถ้าเราลองสังเกตดูไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวที่เรากำลังต่อสู่
    กับมันยกเว้นความรู้สึกที่แท้จริงของเรา ทุกคนดูอ่อนล้าอย่างมาก
    เพราะได้ผ่านการต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับความรู้สึกของตัวเอง ผมเป็น
    คนหนึ่งที่เคยเชื่ออย่างนั้นมาตลอด แต่มันก็ถึงจุดหนึ่งที่ผมเบื่อกับมัน
    เต็มที และลองเปลี่ยนดู และตั้งใจว่าจะใช้ทั้งชีวิตของผมเพื่อพิสูจน์
    มัน ผมไม่กล้าบอกว่าสิ่งที่ผมเชื่อเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด และถ้ายังมีใครที่
    ตอบคำถามของผมได้ผมก็พร้อมที่จะรับฟังและเก็บมาพิจารณาเสมอ
    แต่ตอนนี้ผมอยากลองเป็นมิตรกับความรู้สึกของตัวเองดูบ้าง
     
  17. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80

    เราคิดว่าการที่จะบอกให้ใครทำอะไร อย่างน้อยก็ต้องมีเหตุผลบ้าง คนสมัยนี้กับคนสมัยก่อน อาจจะไม่ต้องทำเหมือนกันก็ได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงอะไร


    แล้วการที่คุณบอกว่าคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิต ที่เป็นศัตรูกับความรู้สึกของตัวเองนั้น เราไม่เห็นด้วยนะ คือคนส่วนใหญ่ทำตามกระแสเพราะอยากทำ แต่ถ้าเขามีความคิดเป็นของตนเองจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนคนอื่นก็ได้ เช่นมหาเศรษฐีของโลกที่มีชีวิตธรรมดา มีบ้านไม่ใหญ่โตอะไร ในขณะที่บางคนพยายามจะมีบ้านหลังใหญ่ แต่ต้องผ่อนหรือทำงานหนัก นั่นก็เป็นความต้องการของเขาเอง แต่เขาอาจไม่ทันคิดว่าทำไปทำไม แค่อยากทำให้เท่าเทียมคนอื่นก็แค่นั้น

    อย่างคนที่ไปวิ่งมาราทอน หรือปีนเขาสูงๆ ทั้งหนาวทั้งอันตรายเขาก็ทำเพื่อสนองตัณหาตัวเอง คือคิดว่าทำแล้วพอใจมีความสุขที่ได้ทำน่ะ

    การเป็นมิตรกับความรู้สึกของตัวเองก็ดีแล้ว
    แต่สำหรับเรา เรามักจะเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นมิตรกับสิ่งที่เรามีอยู่แล้วน่ะ คือเรารู้ตัวว่าไม่ค่อยมีจุดยืนที่แน่นอน มันเปลี่ยนไปเรื่อยตามสถานการณ์ แล้วก็ต้องปรับทัศนะคติให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
     
  18. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เวลาที่ผมพูดถึงความรู้สึกผมไม่ได้หมายถึงความคิดนะครับ มันอาจจะ
    ไม่ง่ายที่จะแยกระหว่างความรู้สึกกับความคิดแต่มันก็ไม่ยากถ้าสนใจ
    มันจริงๆ เวลาที่คนเราใช้คำว่ารู้สึกมันกลับกลายเป็นตัวความคิดไป
    หมด ความอยากมี อยากเป็น เหล่านี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ผมพูดถึง มัน
    เป็นความคิดที่แสดงตัวออกมาเป็นความรู้สึก เป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง
    ความรู้สึกก็คือของจริงที่เกิดขึ้นอารมณ์คือความคิดเกี่ยวกับของจริงที่
    เกิดขึ้น อย่างเช่นคุณเห็นดอกไม้คุณมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นก็เป็น
    ความรู้สึกของคุณ ไม่มีแม้แต่คำถามว่ามันสวยหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็น
    อย่างแรกนั้นคือความรู้สึก และมันไม่สามารถจะเปลี่ยนไปตาม
    สถานการณ์ ไม่สามารถจะปรับความรู้สึกได้ใช่ไหม คุณสามารถจะ
    ปรับความรู้สึกได้ไหมเวลาเห็นเล็กเล่นกัน หรือเห็นช่อดอกไม้ที่สวย
    งาม คุณไม่สามารถจะปรับความรู้สึกที่มีต่ออะไรได้หรอก เพราะว่า
    ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นก่อนความคิด และการที่จะปรับเปลี่ยนอะไรจะต้อง
    ใช้ความคิด คุณสามารถคิดที่จะปรับมันได้ คุณสามารถที่คิดเกี่ยวกับ
    มันได้ คุณอาจจะคิดว่าดอกไม้นั้นสวย คุณอาจจะคิดได้ว่าตัวเองอยาก
    รวย คุณอาจจะคิดได้ว่าอยากจะมีอะไรเทียบเท่ากับคนอื่น แต่นั่นไม่ใช่
    สิ่งที่ผมสนใจ ผมหมายถึงความรู้สึกที่แท้จริง ที่ไม่ได้รับการปรุงแต่ง
    ใดๆ ผมไม่สนใจซักนิดว่าใครจะมีความคิดหรืออุดมการณ์อะไรแล้วทำ
    ตามอุดมการณ์นั้นแต่ถ้ามันขัดกับความรู้สึกที่แท้จริงนั่นก็การเป็นศตรู
    กับความรู้สึกตัวเอง และการเข้าถึงความรู้สึกตัวเองก็คือการถามตัว
    เองว่าเราเป็นใคร เราอยากทำอะไร จะต้องวางทั้งหมดทั้งเรื่องที่เรา
    คิดว่าเราเป็นใคร วางเรื่องที่เราคิดว่าเราอยากทำอะไร แทนที่จะสนใจ
    ความคิดเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเรา ทำไมไม่สนใจตัวตนที่แท้จริง
    ของเราล่ะ เราจะแจ้งในขันธ์ 5 ไม่ได้ถ้าเรายังมัวแต่คิดเกี่ยวกับขันธ์
    5 เพราะการคิดถึงของจริงกับของจริงเป็นคนละสิ่งกัน
     
  19. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ความคิดเป็นสิ่งปรุงแต่ง ปรุงไปได้ไม่สิ้นสุด

    ถ้าพูดถึงตัวตนที่แท้จริง ตอนนี้ก็นึกถึง ผิวหนัง ผม เล็บ โครงกระดูก อวัยวะต่างๆ ที่มารวมกัน เหมือนโรงงาน หรือหุ่นยนต์ที่สามารถสั่งการเองได้ ปรุงแต่งไปต่างๆ นาๆ ถ้าระลึกได้บ่อยๆ ก็คงจะลดการปรุงแต่งลง ไม่หลงอยู่ในอารมณ์นานจนเกินไป

    เราพอจะได้ idea แล้วว่าเหตุที่ควรจะทำสมาธิ หรือปลีกตัวไปพิจารณา เวทนา กาย จิต.... ไปนั่งวิปัสนาก็ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงความจริงได้ง่ายขึ้นใช่ไหม

     
  20. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288

    การที่เราถามตัวเองว่าเราเป็นใคร เราอยากทำอะไร คำตอบที่ได้ก็คือ
    การระลึกได้ว่าเราเป็นใคร นั่นคือสติ เมื่อเรามีความตั้งมั่นเห็นสติทั้ง
    หมดก็เป็นสมาธิ และเมื่อมีสมาธิผลที่ตามมาก็คือปัญญา เห็นความ
    เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเรารู้ถึงตัวเราที่แท้จริง เป็นตัวเราที่
    แท้จริง ก็คือเข้าถึงความปกติหรือศีล และเมื่อทรงอยู่ได้นานก็มีสมาธิ
    และปัญญาอยู่เป็นปกติ เพราะธรรมชาติของจิตนั้นเป็นพุทธะ เป็นจิต
    ประภัสสร ดังนั้นมันจึงเป็นกำลังให้แก่กัน เสริมกันต่อเนื่องกันไป เมื่อ
    เข้าถึงตัวพุทธะได้ก็จะเข้าถึงธรรมะที่มีอยู่ในสภาพนี้ เมื่อน้อมนำมา
    ปฏิบัติ เพียรปฏิบัติก็เกิดเป็นสังฆะ ถ้าเราจะเน้นไปที่อาการ 32 ทีละ
    อาการก็ได้ ระลึกได้ก็เป็นสติ เห็นสติทั้งหมดเป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็
    เกิดเป็นปัญญา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดความเบื่อหน่าย คลาย
    กำหนัด เป็นญาณต่างๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...