เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    การหมุนธรรมจักร

    หากจะให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เรื่องการหมุนกงล้อแห่งธรรมชาติ ที่เกี่ยวข้องกับอายตนะทั้ง 6 กับกลไกการใช้สติปัญญาของสมอง มนุษย์ลองนึกภาพการคนน้ำในถ้วยแก้ว หรือ การคนกาแฟ

    การเหวี่ยงหมุนธรรมจักร มนุษย์จะต้องเหวี่ยงหมุนตาทั้ง 6 ที่อยู่รอบนอกม้วนเข้าหาจุดศูนย์กลาง โดยผ่านตาที่สามซึ่งถัดเข้าข้างใน แล้วเหวี่ยงหมุนมันต่อไปจนเข้าสู่จุดศูนย์กลางแห่งกงล้อแห่งธรรมชาติหรือดุมล้อในที่สุด

    สติปัญญาทั้ง 4 ระดับมี 6 ปีก มีทั้งตารอบนอกและข้างใน

    คือ สติปัญญาทั้ง 4 ระดับ ได้จากกระบวนการสมอง ล้วนมีจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคนเป็นผู้ขับเคลื่อนการใช้งานมันทั้งสิ้น

    ตารอบนอกรอบใน หมายถึง กระบวนการทางสมองที่นำไปสู่ สติปัญญาทั้ง 4 ระดับ จะทำหน้าที่ร่วมกับสิ่งที่เรียกว่า "ตารอบนอก" คือ อวัยวะทั้ง 6 อันเป็นกลไกอวัยวะประสาท เป็นช่องทางแห่งการสัมผัสรู้ดูเห็นในสังขารร่างกาย ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และ จิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์ที่สามารถนึกคิดได้เอง รวมเป็น 6 ช่องทาง

    ส่วนตาข้างใน หมายถึง "ตาที่สาม" อันเป็นดวงตาของจิตวิญญาณ ในมิติของแก่นแท้

    เมื่อมนุษย์สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดเรื่องใดก็ตาม ด้วยกลไกอายตนะทั้ง 5 แล้ว มันจะถ่ายทอดข้อมูลการสัมผัสรู้ดูเห็นไปยัง ตาที่สาม ซึ่งเป็นดวงตาที่ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ที่เร้นอยู่ข้างในอีกทอดหนึ่ง

    ตรงตาที่สามนี้เอง เมื่อได้รับรู้ข้อมูลผ่านมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น หรือ กายสัมผัสแล้ว จะสั่นสะเทือนเป็นการรับรู้เพื่อให้คำตอบว่า

    สิ่งที่รับรู้อยู่นั้น คือ อะไร

    ลำพังแค่เพียงเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก รับรสด้วยลิ้น หรือสัมผัสด้วยผิวกาย มนุษย์จะไม่สามารถบอกได้เลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่สามารถบอกได้ก็เพราะอาศัยคุณสมบัติพิเศษของตาที่สามตรงต่อมไพนีล ซึ่งมนุษย์เรียกว่า จิตหยาบ นี่เอง (ในทางพระพุทธศาสนา คือ วิญญาณ ค่ะ)

    การหมุนอายตนะทั้ง 6 ซึ่งรวมถึงการนึกคิดของจิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์ให้เป็น "ธรรมจักร" ในขั้นต่อมาคือ

    เมื่อจิตหยาบเกิดการรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จิตหยาบจะต้องไม่นำเอาสิ่งที่รับรู้นั้นมาปรุงแต่ง หรือสิ่งที่รับรู้นั้นมาเป็นเงื่อนไข ในอันที่จะนำจิตของตนไปสู่การสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ทางอารมณ์รู้สึกต่ำ ๆ ที่เป็นความอยาก-ไม่อยาก ซึ่งมนุษย์เรียกว่า กิเลสตัณหา นั่นเอง

    มนุษย์ต้องรู้ว่า ในสภาวะที่จิตสั่นสะเทือน
    เป็นปกติในยามปกติ คือ จิตมีความสุขและสงบนั้น จิตมนุษย์จะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ทางอารมณ์ด้านบวกสูงสุดเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมันเป็นคลื่นทางอารมณ์รู้สึกด้านบวกสูงมาก มนุษย์จึงเข้าใจว่าตนเองรู้สึกเฉย ๆ เสมือนว่าว่างไปจากอารมณ์รู้สึกทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นความคิดเข้าใจที่ไม่ถูกต้องโดยแท้

    มนุษย์จึงต้องวางเฉยต่อสิ่งใดเรื่องใดที่ตนรับรู้อยู่ในขณะนั้นให้จงได้ ซึ่งหมายถึง
    การวางจิตเป็นอุเบกขา คือ รับรู้แต่ไม่รับเอา แต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพิ่อค้ำจุนความถี่ทางอารมณ์รูสึกด้านบวกสูงสุดอันเป็นสภาวะปกติในการสั่นสะเทือนตามธรรมชาติของจิตตนเองเอาไว้มิให้มันลดทอนเพราะถูกรบกวนให้จงได้

    มนุษย์จะต้องใช้เครื่องมือชิ้นหนึ่ง เพื่อค้ำจุนสภาวะจิตของตนเองจากเงื่อนไขสิ่งเร้า จนทำให้สภาวะจิตเสียสมดุลไปจากเดิมได้โดยง่าย นั่นคือ การเป็นผู้มีสติ ที่มั่นคง

    เพราะ "สติ" คือ เครื่องค้ำจุนสภาวะจิตของมนุษย์ที่แท้จริง

    การวางจิตของตนเองเป็นอุเบกขาเช่นนี้ ก็เพื่อจะหมุนกงล้อแห่งธรรมชาติ หรือธรรมจักรของตนเองให้หมุนวนรุดหน้าเข้าสู่จุดศูนย์กลางกันต่อไป โดยมิให้เกิดการสะดุดหรือหยุดลงเสียกลางคันนั่นเอง

    เมื่อจิตหยาบเกิดจากรับรู้สิ่งใดเรื่องใดแล้ว จิตยังสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงสุงด้านบวกอยู่ตามปกติ คือ มี
    อาการสุขสงบ มนุษย์ก็จะนำข้อมูลถ่ายทอดลงสู่การใช้สติปัญญาของสมอง ซึ่งมี 4 ระดับตามที่กล่าวไว้ เพื่อเรียนรู้ คิดรู้ หรือ หยั่งรู้กันต่อไป

    การหมุนกงล้อธรรมจักรกันอย่างถูกต้อง หรือ หมุนเป็นแล้ว ต้องหาทางสร้างแรงสั่นสะเทือนสูงสุดทางอารมณ์รู้สึกด้านบวกสูงสุดให้จงได้
    เพราะมันเป็นพลังอำนาจที่สามารถจะก่อให้เกิดแรงเหวี่ยงสูงสุดสู่มิติการใช้สติปัญญาของจิตวิญญาณ ที่เร้นอยู่ข้างในสุด เสมือนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของกงล้อธรรมจักรที่เรียกว่า "ดุมล้อ" ให้ได้ นั่นเอง

    พฤติกรรมทางอารมณ์ของมนุษย์ อันเกิดจากการหมุนธรรมจักรไม่ถูกต้อง ล้วนเป็นเงื่อนไขด้านลบที่จะนำไปสู่การทำลาย ความสุข และความสงบภายในจิตใจ มนุษย์คนอื่น ๆ ได้เสมอ ในที่สุดความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทซึ่งกันและกันก็จะเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงการเกี่ยวกรรมต่อกันไว้ ยังผลให้การเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณหรือการมีภพชาติเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2019
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    และจะเข้าใจได้ยิ่งขึ้นค่ะว่า สภาวะจิตเดิมที่มีสภาวะเป็น" สุญญตา" มีลักษณะเป็นเช่นไร แล้วจะรู้และเข้าใจว่าการหมุนธรรมจักรเข้าไปทำไมต้องเป็นเช่นนี้นะค่ะ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    ทำไมต้องสุญญตา !

    หลายคนที่เข้าใจว่านิพพานแล้ว ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย โปรดอ่านดูอีกครั้งค่ะ


    มนุษย์โดยจิตหยาบจะต้องรู้ว่า ผู้เกิดมาเป็นตนเอง คือ จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้เร้นอยู่ข้างในรูปธรรมมนุษย์ เป็นผู้ขันอาสาเดินทางข้ามมิติมาจากสนามพลังงานสากลนอกระบบเอกภพ เข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ หรือ เป็นคน "สองมิติ" เพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนเอกภพ ทำงานร่วมกับดาวเคราะห์โลกหรือช่วยค้ำจุนความสมดุลในทางมิติกายภาพและมิติพลังงานของระบบโลกให้มั่นคงตลอดไป

    สาเหตุที่มนุษย์ไม่สามารถบรรลุหน้าที่ในพันธะสัญญา 6 ได้ อันเป็นหน้าที่ทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นหน้าที่ของตนเองได้ เป็นเพราะสาเหตุว่า

    มนุษย์โดยจิตหยาบในแต่ละคน หมุนธรรมจักรในตนเองไม่เป็น และหมุนกันอย่างไม่ถูกต้องด้วย จึงทำให้ธรรมจักรกลายเป็น "กรรมจักร" ไปอย่างน่าเศร้าใจ และที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือ มนุษย์โดยจิตหยาบนี่เองที่เป็นตัวการทำลายความบริสุทธิ์ของแก่นแท้ตนเองให้เสื่อมไปอย่างไร้สำนึก

    สิ่งหนึ่งที่มนุษย์โดยจิตหยาบแต่ละคนจะต้องมีสำนึกรู้ คือ จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ซึ่งข้ามมิติมาจากสนามพลังงานสากลนั้น ต่างมีคุณสมบัติเดิมแท้เป็นอย่างเดียวกัน หรือเหมือนกันทุกรูปธรรม คุณสมบัติที่ว่านั้นก็คือ

    เป็นผู้อิ่มเอิบอยู่ในความว่างอย่างยิ่งยวด!

    คำว่า "อิ่มเอิบอยู่ในความว่าง" หมายถึง

    สภาวะจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบ โดยไม่มีคุณสมบัติอื่นใดเคลือบแฝงปนเปื้อนอยู่ในนั้นเลย

    หากจะให้อรรถาธิบายความหมายนี้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว อาจกล่าวได้ว่า จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคนนั้นเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีความสมดุลภายในตนเอง โดยจะมีการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดอยู่ภายในรูปธรรมของตนอย่างต่อเนื่องและมั่นคงอยู่เพียงมิติเดียว ซึ่งแปลความหมายของคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดว่า "ความสุขสงบ" นั่นเอง

    อาจกล่าวสรุปได้ว่า คุณสมบัติเดิมแท้ของจิตวิญญาณทุกรูปธรรมก็คือ "ความสุขสงบ" ซึ่งหมายถึง "จิตที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง"

    จิตที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง หมายถึง จิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบอยู่ในตนเอง โดยไม่มี สิ่งใด เรื่องใด เป็นสิ่งเร้าเลย

    นอกจากนั้นยังหมายถึง

    จิตที่มีแต่ความสุขสงบหรือจิตที่มีความอิ่มเอิบแต่เพียงอย่างเดียว โดยจะว่างไปจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดอื่น ๆ หรือว่างไปจากการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดในมิติอื่น ๆ ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำกว่าอย่างสิ้นเชิง

    ถ้าจะตีความว่าความอิ่มเอิบ หรือความสุขสงบนี้ เป็นอาการหรืออารมณ์รู้สึกนึดคิดตามธรรมชาติเพียงอย่างเดียวของจิตวิญญาณที่ได้จากการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดแลัว ย่อมแสดงว่าจิตวิญญาณทุกรูปธรรมต่างล้วนมีคุณสมบัติทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดเฉพาะตัวเช่นว่านี้เหมือนกันหมด เป็นอย่างเดียวกันทั้งจักรวาล นั่นคือ

    มีความอิ่มเอิบอยู่กับความว่าง หรือ มีความสุขสงบเป็นคุณสมบัติธรรมชาติแห่งตน ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดสูงสุดในด้านบวก นั่นเอง

    ดั่งที่เคยกล่าวไว้ว่า.....

    สภาวะสุญญตา หมายถึง สภาวะที่เกิดขึ้นในขณะที่ "ลมสงบนิ่งมิได้พัดไหว" ทั้งที่มีลมอยู่ แต่ลมมิได้แสดงความมีอัตตาตัวตนของตนออกมาให้สัมผัสรับรู้ได้ เพราะในขณะนั้นลมเพียงแต่ดำรงคุณสมบัติของตนอยู่เฉย ๆ ว่าเป็น"อากาศ" ที่มีอยู่เท่านั้น

    แดนสุญญตา เป็น"สนามพลังงานที่ละเอียดอ่อนมาก" ซึ่งในสนามพลังงานดังกล่าวนี้ ไม่มีสรรพสิ่งอื่นใดทั้งที่เป็นวัตถุมวลหยาบในมิติทางกายภาพ และสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานดำรงอยู่ในนั้นเลย ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยความว่างนั่นเอง แต่จะเป็นสนามพลังงานที่ว่างเปล่าเสียทีเดียวมิได้ เพราะอย่างน้อยก็มีรูปธรรมจิตจักรวาลดวงใหญ่ ผู้เป็นจุดเริ่มต้นได้อุบัติขึ้นมาด้วยตนเองจากสนามพลังงานสากลที่ว่านี้ เจ้าจะสรุปว่ามันเป็นสนามพลังงานที่ว่างเปล่าไม่ได้แน่

    ถ้าหากสนามพลังงานอันละเอียดอ่อนที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ "ว่างเปล่า" มันย่อมจะต้องไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ ทั้งที่เป็นอนัตตาหรือมีอัตตาตัวตนดำรงอยู่อย่างแน่นอน นั่นคือ ถ้าหากว่า สนามพลังงานนี้มีแต่ความว่างเปล่าจริงคือไม่มีอะไรอยู่ในสนามพลังงานนี้เลย ความมีรูปธรรมทางพลังงานแรกสุด อันเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุลอย่างหนึ่งย่อมจะอุบัติขึ้นมาจาความว่างที่ว่างเปล่าจนไม่มีอะไรมิได้เป็นแน่แท้

    ความรู้ใหม่สำหรับเจ้าในขั้นตอนนี้ที่น่ารู้ก็คือ แท้แล้วสนามพลังงานที่มีอนุภาคของคลื่นความถี่สูง ๆ และละเอียดอ่อนซึ่งพระบิดาทรงอุบัติขึ้นมาและดำรงอยู่นั่น มันจะเป็นความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า มันเป็นอาณาเขตหรือบริเวณของสนามพลังงานที่ยังมีบางสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่แต่ก็เป็นความมีที่เหมือนไม่มี

    สนามพลังงานสากลที่ "เป็นความมีที่เหมือนไม่มี" นี่เอง ในบริเวณที่พระบิดาอุบัติขึ้นและดำรงอยู่นี้มันจะต้องมีสรรพสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าอนัตตาซึ่งอยู่ในมิติที่สุงกว่าดำรงอยู่อย่างแน่นอน พระบิดาได้พบความจริงว่ามันคือ "แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา" นั่นเอง

    ถ้าเช่นนั้นสรรพสิ่งที่เป็นยิ่งกว่า "อนัตตา" หรือ "แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา" ซึ่งเป็นความมีที่เหมือนไม่มีนี่เอง คือ สรรพสิ่วที่มารวมตัวกันจน สร้างรูปธรรมทางพลังงานของบิดาแห่งเจ้า ให้อุบัติขึ้นมาด้วยตนเอง

    หากจะสรุปกล่าวสั้น ๆ ก็อาจกล่าวได้ว่า รูปธรรมทางพลังงานของพระบิดาเจ้านี้ เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่อุบัติขึ้นมาจาก "แก่นแท้ของความว่าง" หรือ เป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาซึ่งลึกละเอียดเข้าไปอีกมิติหนึ่งและก็ยังเป็นความมีที่เหมือนไม่มีอยู่เช่นเดิม

    ด้วยเหตุนี้จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่า พระบิดาแห่งเจ้าเป็นรูปธรราทางพลังงานที่มีความสมดุลในตนเอง ซึ่งภายในรูปธรรมนั้นเต็มไปด้วยแก่นแท้ของความว่าง ภายในรูปธรรมทางพลังงานของพระบิดาจึงเสมือนมีแต่ความว่างเปล่า ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วยังมีแก่นแท้ของความว่างซึ่งอาจเรียกว่า แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา ดำรงอยู่และพร้อมจะแสดงพลังอำนาจออกมาให้เห็นได้เมื่อหากมีการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมเกิดขึ้น และพลังอำนาจที่เกิดขึ้นย่อมสูงส่งและลึกซึ้งและเล็กละเอียดยิ่งกว่าอำนาจใด ๆ ของสรรพสิ่งทั้งหลายในเอกภพของเจ้าด้วยซ้ำไป เพราะมันเป็นพลังอำนาจบริสุทธิ์อันเกิดจากแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาซึ่งยังคงบริสุทธิ์อยู่นั่นเอง

    จึงกล่าวได้ว่า พระบิดาแห่งเจ้าอุบัติขึ้นมาจากแก่นแท้ของความว่าง จึงมีคุณสมบัติเป็น "มหาสุญญตา" ดังกล่าวแล้วนั่นเอง

    จิตสุญญตา ก็คือ จิตที่มีอนุภาคของบางสิ่งบางอยู่มากมายแต่แม้มีก็เหมือนไม่มี มันเล็กยิ่งกว่าจะใช้คำว่า "อณู" หรือ ปรมาณูเสียอีกและเนื่องจาก ทุก ๆ แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าปรมาณูที่รวมตัวกันอยู่ภายในรูปธรรมทางพลังงานจิตจักรวาลดวงใหญ่ของพระบิดานี้


    สภาวะสุญญตา จึงมิต่างไปจากจากจุดที่ลมยังมิพัดไหวแต่มีอากาศอยู่ตรงจุดนั้นนั้เอง เจ้าจึงไม่อาจมองหาอัตตาตัวตนใด ๆ ได้ ซึ่งเจ้าจะเรียกสภาวะของจิตจักรวาลดวงใหญ่ว่าเป็นสภาวะแห่ง"ความว่าง" ที่มิใช่ความว่าวเปล่าเพราะไม่มีอะไรก็ได้เช่นกัน ซึ่งหมายความตรงกับคำว่า "สุญญตา " นั่นเอง

    ทุกสรรพสิ่งแม้แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ก็ถูกแบ่งภาคออกมาจากจุดศูนย์กลางของความมีที่เหมือนไม่มี หรือจุดศูนย์กลางแห่ง "สุญญตา" ภายในนิวเคลียสของจิตจักรวาลดวงใหญ่ จึงมีแก่นแท้เดิมคือสภาวะจิตเป็นสุญญตา ด้วยกันทั้งสิ้น

    ดังนั้น "ความมีที่เหมือนไม่มี" นี่เอง คือ ความสงบนิ่งมิเคลื่อนไหล เปรียบเหมือนการที่มองไม่เห็นลมซึ่งอยู่แวดล้อมรอบตัว ทั้ง ๆ ที่แท้แล้วมีลมแต่ลมนั้นยังอยู่ในสภาวะที่เป็นอากาศคือนิ่งสงบอยู่ใช่หรือไม่? นั้นหมายความว่าถ้าไม่มีลมพัดเกิดขึ้น ก็มิได้หมายความว่าไม่มีอากาศอยู่รายรอบตัวเจ้าถูกต้องหรือไม่

    สภาวะสุญญตา หมายถึง สภาวะที่ลมสงบนิ่งไม่ได้พัดไหว ก็คือ ความมีที่เหมือนไม่มี คือ ทั้ง ๆ ที่มีลมอยู่ แต่ลมนั้นมิได้แสดงความมีอัตตาตัวตนออกมาให้ได้สัมผัสรับรู้ได้ เพียงแค่ดำรงคุณสมบัติของตนอยู่เฉย ๆ ว่า เป็น "อากาศ" ที่มีอยู่เท่านั้น

    ดังนั้น ที่ใดมีอากาศอันเป็นคุณสมบัติลมอยู่ ก็คือ "แม้ที่นั่นจะมีลมก็เหมือนไม่มี" ก็เปรียบได้กับสภาวะจิตเดิมดังนี้คือ

    จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ในมนุษย์ล้วนมีคุณสมบัติเดิม คือ เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง โดยจะมีการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดอยู่ภายในรูปธรรมของตนอย่างต่อเนื่องและมั่นคงอยู่เพียงมิติเดียว คือ ความสุขสงบ และเป็นผู้อิ่มเอิบอยู่ในความว่างอย่างยิ่งยวด เต็มไปด้วยความสุขและความสงบในตนเอง โดยไม่มี สิ่งใด เรื่องใดมาเป็นสิ่งเร้าเลย หรือจิตที่มีแต่ความสุขสงบหรือจิตที่มีแต่ความอิ่มเอิบแต่เพียงอย่างเดียว โดยจะว่างไปจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดอื่น ๆ หรือว่างไปจากการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดในมิติอืน ๆ ที่เป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำกว่านี้อย่างสิ้นเชิง

    นี่แหละค่ะ ลักษณะจิตที่เป็นสุญญตาที่เป็นคุณสมบัติเดิมแท้ของทุกรูปธรรม ถ้าถึงพระนิพพานจะมีสภาวะเช่นใดนะค่ะ และแน่ใจว่าถ้าใครหลาย ๆ คนยังเข้าใจว่านิพพานแล้วไม่รู้สึกอะไรอีกเลย หากอ่านสิ่งที่นำมาลงนี้คิดว่าน่าจะสะกิดใจใครหลาย ๆคน ก็ได้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2019
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    ด้วยเหตุนี้มนุษย์ในภพชาติแรกจะมีคุณสมบัติเป็นธรรมชาติของตน 3 ประการ
    1.มีพื้นฐานทางอารมณ์รู้สึกสูงสุดด้านบวกเท่านั้น
    2.มีพื้นฐานการนึกคิดสูงสุดของจิตในด้านบวกเท่านั้น
    3.มีพื้นฐานอารมณ์ในสองประการนั้นอย่างมั่นคง

    สภาวะจิตที่เป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตนเอง ที่เรียกว่า "ธรรมจักร" นั้น จะต้องดำรงตนอยู่มั่นคงเช่นนี้เสมอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2019
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    จิตยิ้มเข้ามาดูกระทู้ของตนเองมีคนติดตามอ่าน หลังจากที่ลงโพสหลังสุดเพิ่มขึ้นเกือบ 4,000 ครั้งแล้ว หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้ติดตามจิตยิ้มไปที่หายไป ไปทำอะไรบ้าง!! เลยนำมาฝากค่ะ เกี่ยวข้องกันเผื่อใครสนใจต้องการรู้เพิ่มค่ะ และอาจเป็นคำตอบที่หลาย ๆ คนกำลังตามหาก็ได้ค่ะ......


    https://palungjit.org/threads/พุทธว...นเมื่อตัวเราไม่ใช่เรา-จิต-ก็ไม่ใช่เรา.672003/

    https://palungjit.org/threads/ภาพรวมของนิพพาน-คือ-อสังขตธาตุ-นั่นเอง.672229/


    https://palungjit.org/threads/ที่สุดของศาสนาพุทธคือความว่างเปล่า.673095/


    https://palungjit.org/threads/กลุ้มใจครับ-ปฏิบัติธรรมมาตั้งหลายสิบปี-อยากตาย-กลุ้มใจจริงๆๆๆ.672801/


    และนี่ค่ะ......หลาย ๆ ท่านที่ปฏิบัติและยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องจิตใจ และจิตวิญญาณ ค่ะ


    ลุงแมวคะ ลองพิจารณาเรื่องนี้ดูนะคะ

    จิตยิ้มเห็นด้วยกับคำที่ลุงแมวกล่าวไว้ทั้ง 3 ข้อเลยค่ะ...

    เพราะอะไร?.....

    โครงสร้างของมนุษย์ "คนสองมิติ" จะประกอบด้วย 3 ส่วน

    1.จิตวิญญาณ เป็นแก่นแท้เป็นรูปธรรมในทางมิติพลังงานที่ตาเปล่ามองไม่เห็น

    2.จิตหยาบ ผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมมิติ ระหว่างจิตวิญญาณที่อยู่ในมิติทางพลังงาน กับรูปธรรมสังขารมนุษย์


    จากกลไกธรรมชาติ มนุษย์จึงย่อมจะต้องรับรู้เอาไว้ด้วยว่า ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น หรือ กายสัมผัสของตน เมื่อได้รับสัมผัสสิ่งใดเข้าแล้วผู้ที่จะรับรู้และบอกให้ตนเองได้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร!! ก็คือ จิตหยาบ ตรงต่อมไพนีลทั้งสิ้น (จิตหยาบตรงต่อมไพนีล(ตามที่สาม) ทางพุทธศาสนา คือ วิญญาณ ค่ะ) เพราะจิตหยาบก็คือ ผู้รับรู้ และเป็นผู้รู้ ในฐานะตัวแทนของจิตวิญญาณผู้มีอำนาจเต็มร้อยเปอร์เซนต์

    ดังนั้น....

    - กลไกอวัยวะประสาทรับสัมผัสทั้งห้า มีไว้เพื่อทำหน้าที่ "รับสัมผัส" เท่านั้น

    - จิตหยาบของมนุษย์ มีไว้เพื่อทำหน้าที่ของผู้รู้ คือ "รับรู้" เท่านั้น

    จิตหยาบในมนุษย์แต่ละคน ซึ่งทำหน้าที่ร่วมกับกลไกอวัยวะประสาทรับสัมผัสทั้งห้าแล้วนั้น ยังมีหน้าที่รู้เพิ่ม ขี้น อีก 4 อย่าง นอกเหนือจากการเป็น "ผู้รับรู้" และ"ผู้รู้" แต่เดิมก็คือ (ก็คือ จิตใจ ที่ขันธ์ทั้งห้าทำงานร่วมกัน )

    1.รู้สึกได้
    2.รู้เกิดอารมณ์ได้
    3.รู้จำได้หมายรู้อารมณ์รู้สึก นั้น ๆ ของตนได้
    4.รู้นึกคิดเองได้


    เพื่อที่จะรับรู้แล้วเกิดการเรียนรู้ ใช้อายตนะให้เป็น ใช้อายตนะให้ถูกต้อง (มนุษย์จะสังเกตุได้ว่า ความไม่ถูกต้องในการใช้กลไกอวัยวะประสาทสัมผัส ที่เรียกว่า "อายตนะ" เป็นเพราะว่า มนุษย์ทั้งหลายมักตกเป็นทาสทางการรู้สึกนึกคิดของจิตตนเองแทบทั้งสิ้น)

    หรือขยายความออกมาก็คือ.....

    1.การนึกคิดได้เองเบื้องต้น (นิสัยในการแสดงในการแสดงอารมณ์รู้สึกกับการนึกคิดของจิต นิสัยส่วนตัวในการดำเนินชีวิตและนิสัยส่วนตัวในการทำงาน)

    2.การจำได้หมายรู้อารมณ์รู้สึกที่ไม่ถูกต้องของตนเองเอาไว้แก้ไข

    3.การจำได้หมายรู้เรื่องราวหรือเหตุการณ์ใด ๆ ที่ตนต้องเรียนรู้เอาไว้แก้ไข

    4.การจดจำรูปธรรมหรือสรรพสิ่งใด ๆ ที่อยู่ในบทเรียนหรือบททดสอบจิตสำนึกตนเอง



    และ.....

    มนุษย์ทุกคนต้องดูแลจิตหยาบของตนให้มันไหลไปทิศทางแห่ง ธรรมจักร ของตนเอง โดยเป็น ผู้รู้ ในหกประการ

    1.รู้แสดงออกทางอารมณ์รู้สึก (ให้มีอารมณ์รู้สึกด้านบวก)

    2.รู้แสดงออกทางการนึกคิดของจิตเอง (ให้นึกคิดของจิตไปทางด้านบวก)

    3.รู้แสดงออกทางการจดจำ (ให้จดจำหมายรู้ด้านบวก)

    4.รู้แสดงออกทางการคิดรู้ การเรียนรู้ และการตัดสินใจ
    (การคิดด้วยปัญญาญาณทางสมอง)


    5.รู้การแสดงออกทางพฤติกรรมภายนอกเป็นการกระทำต่าง ๆ
    (การแสดงออกด้านบวกของกายสังขาร)

    6.รู้การแสดงออกทางภาษากายต่าง ๆ
    (การกระทำด้านบวกทางอวัยวะร่างกาย)

    ถ้าตนสามารถเข้าถึงการเป็นผู้รู้ทั้ง 6 ประการนี้ เพื่อหมุนธรรมจักรในมิติแห่งจิตวิญญาณนั้นได้ จิตหยาบจะต้องเป็น

    - ฉลาดรับรู้
    - ฉลาดเรียนรู้
    - ฉลาดคิดรู้


    เป็นที่มาของการคิดดี พูดดี ทำดี นั่นเอง

    ถ้าจิตวิญญาณได้รับโอกาสให้เกิดมาเป็นมนุษย์ในทุกภพชาติและมนุษย์ของตน(โดยจิตหยาบ) ก็ทำตัวเหลวไหลไปทุกภพทุกชาติโดยไม่อาจเข้าถึงการเหวี่ยงหมุนธรรมจักรในตนเองได้เลยเช่นนี้แล้ว มันจะยังผลให้พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของตนเองต้องอ่อนด้อยลงไปเรื่อย ๆ

    พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ เป็นปัจจัยสำคัญของทุกรุปธรรมเหล่านี้มาก เพราะมันหมายถึง

    1.สติปัญญาความเฉลียวฉลาด
    2.ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่เดินทาง
    3.แรงเหวี่ยงหนีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของเอกภพ


    ผลจากการขาดในข้อ 3 นี่เอง คือ ที่มาของคำว่า "นิพพาน" ไม่ได้นะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2019
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    20190318_063517.jpg

    โลกร้อนเป็นเตาอบ เพราะสภาพท้องฟ้าเป็นเช่นนี้ค่ะ ภายใต้ท้องฟ้าที่ขาวขุ่น คล้ายเมฆหมอกที่ปิดทึบ หากสลายเมฆหมอกที่ปิดทึบขาวขุ่นนั้นได้ จะเป็นท้องฟ้าที่สวยงามสีฟ้าผ่องใส ยิ่งฟ้าสูงเท่าใด ความสวยงามของท้องฟ้ายิ่งงดงามผ่องใสยิ่งงามมากขึ้นค่ะ

    สภาพภูมิอากาศนี้เขาเรียกว่า ฟ้าเปลี่ยนสี.....

    มีสาเหตุสองประการค่ะ

    1.มิติทางกายภาพของโลก
    2.มิติพลังงาน คือ คลื่นพลังจิตของมนุษย์

    ส่งผลให้ท้องฟ้าเป็นอย่างที่เห็น ผลก็คือ โลกเป็นเตาอบ โลกร้อน และโลกกำลังย่ำแย่ เลยทำให้คนที่อยู่ในโลกก็ย่ำแย่ตามค่ะ

    โลกเราจะมีสภาพแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน!! น่าคิดเหมือนกันนะคะ
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    ข้อมูลที่ท่านเกษมนำมานี้ มีแหล่งข้อมูลที่มาจากหลายทาง และบังเอิญมาตรงกันมากอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ ถึงแม้รายละเอียดจะให้ได้ไม่เหมือนกัน แต่บทสรุปคล้ายกันมากค่ะ เดี๋ยวจิตยิ้มจะนำไปลงที่กระทู้ของตนเองค่ะ ว่าทำไม 45 วันที่โหรเก่งกาจบอกว่าไม่น่าเชื่อ!! แต่ใครที่ติดตามกระทู้ของตนเอง จะมีข้อมูลจากบุคคลสำหรับสำคัญที่ไม่มีตัวตนในโลกนี้กล่าวไว้ว่า ทำไมต้อง 45 วัน หากโลกเราจะต้องมีชะตากรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้จริง ๆ และการเลื่อนภัยพิบัติมีมาหลายสิบปีแล้วมากแล้ว มันจะต้องเกิดขึ้นจริง ๆ หรือ! มนุษย์โลกร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือโลกไม่ได้ตามคำเตือน ถ้าเป็นเช่นนั้นค่ะ

    ตอนแรกที่เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โลกที่เคยกวัดแกว่งมาก(เสียสมดุลมากจนอาจพลิกกลับขั้วได้) และตอนนี้กวัดแกว่งน้อยลงแล้ว ตนเองก็ยังมั่นใจและปลอบใจตนเองเลยค่ะ และหวังว่ามันคงจะไม่เกิด เพราะคำสื่อเตือนกล่าวไว้ว่า เป็นแค่คำเตือนว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโลกใบนี้ เบื้องบนเพียงแค่มาเตือนให้มนุษย์โลกต้องปฏิบัติกันเช่นไร? และเหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จะหนักหรือเบาขึ้น หรือจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับพลังงานที่โลกขาดความสมดุลไป แต่อย่างไรก็ปรับระดับพลังงานและยกระดับมิติพลังงานโลกได้เกิดขึ้นมาแล้ว และกำลังเป็นไป เพื่อรอการสิ้นสุดพาโลกเข้ายุคพลังงานใหม่ค่ะ

    ทีนี้จะเป็นเหตุผลว่า จริงหรือ!!! โลกจะตีลังกาพลิกกลับขั้ว มืด 45 วัน แต่...ครูบาบุญชุ่มไม่ได้กล่าวไว้นะคะว่า โลกพลิกตีลังกากลับ แต่บอกว่าจะมืด 45 วัน


    ที่นี้มาดูเหตุผล...ว่าเป็นไปได้หรือไม่!!!

    มนุษย์โลกคือจุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้!!

    เชื่อหรือไม่! ว่าอ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดของเหล่านักวิทยาศาสตร์ สมองของมนุษย์เรานั้นแท้จริงแล้วก็รับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้เช่นกัน

    โดยนี่เป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร “eNeuro” และอ้างว่าตัวเองสามารถหาหลักฐานที่ยืนยันว่ามนุษย์สามารถรับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้ จากอนุภาคแม่เหล็กที่กระจายอยู่ในสมอง


    https://www.catdumb.com/your-brain-can-sense-earths-magnetic-field-378/

    เหตุผลจากองค์ธรรมิกราช....

    ถ้ามนุษย์โลกไม่ช่วยกันผลิตสร้างพลังจิตด้านบวกในมิติของแก่นแท้ป้อนให้แก่โลก ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ก็จะไม่มีพลังอำนาจใด ๆ ในตัวเองพอที่จะสร้างความสมดุลภายในระบบของตนและระบบใหญ่คือจักรวาลอันเป็นสากลได้เลย

    ถ้ามีจำนวนมนุษย์โลก ผลิตสร้างพลังจิตด้านบวกที่ว่านี้น้อยลง ดาวเคราะห์โลกทั้งระบบก็จะเสียสมดุล และระบบใหญ่คือสากลจักรวาลก็จะเสียสมดุลตามไปด้วย

    เพราะพลังงานจิตที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าด้านบวกเท่านั้น ที่โลกต้องการ

    กลไกทางไฟฟ้าที่อยู่ภายในใจกลางโลก ลึกลงไปใต้ฝ่าเท้าของมนุษย์ทุกคนนั้น เป็นกลไกที่จะใช้ในการสั่นสะเทือนดาวเคราะห์โลกทั้งระบบ เพื่อสร้างพลังอำนาจเฉพาะตัวของดาวเคราะห์ ด้วย พลังไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีคุณสมบัติด้านบวก อันหมายถึง พลังจิตด้านบวก ที่มนุษย์โลกแต่ละคนมีหน้าที่ช่วยกันผลิตสร้างมันขึ้นมาเท่านั้น

    มนุษย์ต้องรู้ว่าการสั่นสะเทือนสูงสุดที่เกิดขึ้นภายในใจกลางโลกนั้น มันต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกวินาที ด้วยเหตุนี้นี้เองมนุษย์จึงมีหน้าที่ช่วยกันผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวกป้อนให้โลกของตนในทุกวินาทีหรือทุกขณะจิตด้วย โดยผลัดกันพักผ่อนคือหลับนอนตื่นขึ้นมาทำงานหรือตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิต บนพิกัดพื้นที่ ๆ แตกต่างกันนั่นเอง

    การหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก และการโคจรไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ ที่ปรากฎการณ์ หรือ "มายา" ในมิติทางกายภาพก็คือ "ผลลัพธ์" อันเกิดจากการสั่นสะเทือนในใจกลางโลกที่ว่านี้

    อำนาจแม่เหล็กโลก ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกที่ห่อหุ้มดาวเคราะห์ทั้งระบบไว้ และแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งสรรพสิ่ง ที่เป็นคุณสมบัติในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ซึ่งมนุษย์เรามองไม่เห็น ก็คือ "ผลลัพธ์" อันเกิดจากการสั่นสะเทือนในใจกลางโลกทั้งสิ้น

    ที่ผ่านมา....ท่านเชื่อในเหตุและผลที่จิตยิ้มนำมาลงหรือไม่ค่ะ แม้แต่เรื่อง สุญญตา ถ้ามีเหตุผลพอ ขอให้โปรดเชื่อเถิดค่ะข้อมูลนี้มาจากผู้รู้ได้ในทุกสรรพสิ่งจริง และได้แจ้งเตือนชาวมนุษย์โลกให้รู้

    และจากการวิจัย สมองของมนุษย์เรานั้นแท้จริงแล้วก็รับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้ จากอนุภาคแม่เหล็กที่กระจายอยู่ในสมอง ที่นำลงมาอ้างไว้นั้น นั่นคือ มนุษย์มีกระแสพลังงานจิตที่ป้อนข้อมูลให้กับโลกได้จริง จากพลังจิตสำนึกด้านบวกนี้ค่ะ

    โลกจะเป็นอย่างไร!! ขึ้นอยู่กับจิตใจมนุษย์เป็นสำคัญ หากมองในยุคคปัจจุบันนี้ คิดว่าโลกเราจะเป็นไปในแนวทางไหน คิดว่าหลาย ๆ คนคงมองกันออก

    เตรียมพร้อม!! ที่จะสร้างพลังจิตด้านบวกเพื่อมอบให้แก่โลก เพื่อช่วยกันลดทอนบรรเทาภัยพิบัติกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2019
  8. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
  9. Reflect

    Reflect เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,439
    อาการกำเริบหนักแล้ว อย่าลืมไปพบจิตแพทย์ และ กินยา ตามสั่งด้วย
     
  10. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
  11. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
  12. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ก็ไม่รู้ว่าแผ่นดินประเทศเวเนซุเอร่าจะกลายเป็นสนามประลองยุทธของประเทศสองขั้วมหาอำนาจทางอาวุธหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลุ้นๆ....สงคราม

    ถ้าเกิดสงคราม...จะเชียร์ฝ่ายไหน
     
  13. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ก็ไม่รู้ว่าแผ่นดินออสเตรเลีย..กับ..แผ่นดินอินโดนีเซีย...ใครจะจมทะเลก่อนกัน ลุ้นๆ....หายนะทางธรรมชาติ

    ภัยจากธรรมชาติยากจะคาดเดา..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2019
  14. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
     
  15. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ไม่รู้อันนี้จริงหรือเปล่า...แต่ที่รู้ข้าพเจ้าเองก็ทำอยู่ในปัจจุบัน(ไม่เคยรู้เลยว่านี่เป็นอาชีพ)
    FB_IMG_1553306538200.jpg
     
  16. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    ครองจิตอยู่ในอุเบกขา

    ด่านสุดท้ายของจิตก่อนที่จะเข้าถึงสภาวะแห่งสุญญตาได้ คือ ความเป็นอุเบกขาของจิตนี่เอง

    ปัญหาในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานหรือเกี่ยวข้องกับคน มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทำลายความสมดุลในจิตใจของเราอยู่เป็นประจำ

    ความสมดุลในจิตใจ หมายถึง สภาวะจิตที่นิ่งสงบเสมือนน้ำบริสุทธิ์ที่บรรจุอยู่ในแก้วใส ซึ่งวางนิ่ง ๆ อยู่บนโต๊ะโดยไม่มีลมเป่า และไม่มีใครเขย่าโต๊ะในอันที่จะเป็นเงื่อนไขให้น้ำกระเพื่อมแต่อย่างใด

    จิตมนุษย์ในสภาวะสมดุล จะบ่งบอกได้ด้วย ว่างไปจากอารมณ์รู้สีกด้านลบทั้งปวง

    "จิตไม่ว่าง" ก็ย่อมหมายถึง จิตที่กำลังสั่นสะเทือนทางความรู้สึก ที่เป็นความอยาก ความไม่อยาก หรือความไม่รู้ว่าอยากหรือไม่อยาก หนึ่งในสามสามอย่างนี้

    ความรู้สึกทั้งสามแบบ คือ "กิเลส"

    มนุษย์เรียก อารมณ์ แบบต่าง ๆ อันเกิดจากการขับเคลื่อนกิเลสสามแบบนั้นว่า "ตัณหา"

    พฤติกรรมที่เกิดจากกิเลสตัณหา ......

    คือ การแสดงออกหรือการกระทำพฤติกรรม ที่ตัวมนุษย์เองเป็นผู้กำหนดสั่งการมันผ่านอารมณ์รู้สึกแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ๆ เป็นสำคัญ

    ถ้าเป็นพฤติกรรมภายใน ความรู้สึกหรือความต้องการ ใน"กิเลส" จนนำไปสู่ อาการทางจิต ที่จะตอบสนองความรู้สึกหรือความต้องการอันเป็นกิเลสดังกล่าวนั้นให้เป็นรูปธรรมขึ้น ที่เรียกว่า "ตัณหา" นั่นเอง

    หากจะกล่าวว่า "ตัณหา" ก็คืออาการที่เป็นเงา หรือ มายาของ"กิเลส" ก็ย่อมได้ เพราะตัณหาล้วนเกิดจากการขับเคลื่อนกิเลสออกมาแสดงอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นนั่นเอง

    ขั้นตอนการเกิดพฤติกรรมด้วยกิเลสตัณหาของมนุษย์.....

    ขั้นตอนที่ 1: จิตรับรู้สิ่งเร้าจากภายยนอกหรือภายใน

    ขั้นตอนที่ 2: จิตจะสั่นสะเทือนเพื่อการรับรู้ แล้วสร้างความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อสิ่งเร้านั้นขึ้น โดยจิตจะสามารถสร้างความรู้สึกส่วนตัวขึ้นได้ด้วย วิธีการปรุงแต่ง ตัวตนหรือมายาของสิ่งเร้านั้นอีกทอดหนึ่ง เช่น สวยไม่สวย ดีไม่ดี เหมาะไม่เหมาะ จากนั้นจิตจะนำเอาสิ่งที่ปรุงแต่งได้นั้นมาตัดสินหรือมาสรุปด้วยความอยาก ไม่อยาก หรือ ความสับสนในตนเองว่าอยากหรือไม่อยาก

    ขั้นตอนที่ 3: จิตจะนำเอาเอากิเลสอันเกิดจากความอยากหนึ่งในสามแบบที่เลือกแล้ว ขับเคลื่อนมันออกมาเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในจิตใจ เกิดเป็นการสั่นสะเทือนทางอารมณ์ ในกลุ่มของความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลง

    ขั้นตอนที่ 4: ทันทีที่จิตมนุษย์เกิดสภาวะของ ตัณหา แบบใดแบบหนึ่งในกลุ่มของ ความโลภ ความโกรธ และความลุ่มหลงงมงายขึ้นแล้ว จิตก็จะนำเอารหัสข้อมูลที่เรียกว่า กิเลสนี้ เพื่อทำให้มันเป็นรูปธรรมด้วยพฤติกรรมภายนอกกันต่อไป

    พฤติกรรมที่เกิดจากจิตสำนึก ......

    หรืออาจจะกล่าวว่า พฤติกรรมที่เกิดจากจิตรู้สำนึก

    ถ้าหากกล่าวว่า จิตสำนึก เมื่อใด ก็ให้หมายถึง จิตรู้สำนึก นั่นเอง

    มนุษย์ส่วนใหญ่พฤติกรรมส่วนใหญ่ล้วนถูกขับเคลื่อนของอารมณ์หยาบ ๆ รายวันซึ่งเป็นกิเลสตัณหา มนุษย์จำนวนมากในสังคมต่างก็ล้วนขับเคลื่อนพฤติกรรมใด ๆ ในชีวิตประจำวันด้วยเงื่อนไขที่ว่านี้ทั้งสิ้น

    เหตุเพราะมนุษย์ไม่อาจยกระดับจิตหยาบของตนให้สูงขึ้น ถึงระดับที่มีขีดความสามารถสูงพอที่จะขับเคลื่อนพฤติกรรมใด ๆ ด้วย "จิตสำนึก" ที่แท้จริงของตนได้

    มนุษย์ต้องรู้ว่า การแสดงออกหรือการกระทำพฤติกรรมใด ๆ นั้น การขับเคลื่อนนั้นมิใช่จะได้จาก อารมณ์รู้สึก ที่เป็นกิเลสตัณหาอย่างเดียว นั่นเป็นเพียงกระบวนการเกิดพฤติกรรมของจิตที่สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ในระดับต่ำหรือระดับหยาบ ๆ เท่านั้น

    ถ้ามนุษย์ใจเย็นกว่านั้นอีกนิด โดยปล่อยให้จิตมันมีเวลาที่จะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกสักหน่อย ด้วยการใช้สติเข้ากำกับระงับอารมณ์รู้สึกหยาบ ๆ นั้น มิให้มันแสดงตัวออกมาขัดจังหวะให้เสียการเอาไว้ก่อน มนุษย์ก็ย่อมจะเข้าถึงความองอาจในการแสดงพฤติกรรมที่ดี ๆ ได้ทันที

    ขั้นตอนกระบวนการเกิดพฤติกรรมด้วยจิตสำนึก....

    ขั้นตอนที่ 1:

    จิตกระทบสัมผัสกับสิ่งเร้า

    ขั้นตอนที่ 2:

    จิตรับรู้สิ่งเร้านั้นโดยไม่มีการรับเอาหรือไม่มีการปรุงแต่งเป็นอารมณ์รู้สึกใด ๆ เกิดขึ้น ถ้าเกิดจิตสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกใด ๆ ขึ้นมาแล้ว จิตก็จะ วางเฉย หรือ ไม่ใส่ใจในอารมณ์รู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่นานนักมันก็จะสงบระงับไปเอง เพราะตัวเราไม่ใส่ใจใยดีที่จะคล้อยตามมันนั่นเอง

    ขั้นตอนที่ 3:

    จิตที่รับรู้สิ่งเร้านั้น จะถ่ายทอดแต่ข้อมูลเป็นคุณสมบัติของสิ่งเร้านั้น สู่การนึกคิดของจิต ด้วยการกำหนดจิตเพื่อ กำหนดนึกหรือกำหนดคิด ในประเด็นที่เราต้องการนึก ต้องการคิดเท่านั้น

    1.ควรนึกคิดเรื่องใดก่อนหลัง
    2.เรื่องใดสิ่งใดควรคิดหรือไม่ควรนำมาขบคิด
    3.เรื่องที่เรานึกออกคิดได้นั้นถูกต้อง เหมาะสม ดีงามหรือไม่


    มนุษย์ต้องระลึกไว้เสมอว่า...

    กระบวนการนึกคิดที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพก็คือ

    เราต้องเป็นผู้กำหนดให้จิตมันคิด มิใช่ปล่อยให้จิตของเราเป็นผู้กำหนด ด้วยการนึกเองคิดเอง

    ถ้าตัวเราปล่อยให้จิตเป็นผู้กำหนดนึกเองคิดเองเมื่อใด จิตก็จะใช้อารมณ์หยาบ ๆ รายวันที่เป็นกิเลสตัณหาเป็นตัวการในการขับเคลื่อนการนึกคิดของมันเองทันที คือ

    ถ้าเป็นอารมณ์ด้านบวก ก็จะคิดบวกหรือคิดในสิ่งที่ดี ๆ เสมอ

    ถ้าเป็นอารมณ์ด้านลบ ก็จะคิดลบหรือคิดไปในทางที่ไม่ดีเสมอ

    เราจะเห็นว่ามนุษย์คนเดียวกันบางเวลาก็ดูเหมือนร้าย บางเวลาก็ดูเหมือนเป็นคนดี เพราะยอมตกเป็นทาสอารมณ์ของตนเอง มากกว่าที่จะใช้สติปัญญาเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของตน มนุษย์จะละวางอารมณ์หยาบ ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นให้จงได้ ด้วยการฝีกเป็นผู้รู้สติ มีสติ ใช้สติ

    ขั้นตอนที่ 4:

    นำสิ่งที่จิตนึกคิดออกได้นั้น เข้าสู่กระบวนการใช้สติปัญญาของสมอง

    การคิดแบบจิตมนุษย์ คิดแต่เรื่องหยาบ ๆ เรื่องตัวตน

    ถ้าคิดถึงเรื่องคุณสมบัติของสรรพสิ่ง คิดถึงเรื่องสัจธรรม หรือคิดถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นปัญญาญาณ

    ขั้นตอนที่ 5:

    มนุษย์จะนำผลึกทางการคิดเข้าสู่กระบวนการตัดสินใจขั้นสุดท้าย

    หลักการสำคัญก็คือ ในขั้นตอนของการเกิดอารมณ์รู้สึกนั้น มันจะต้องมีแต่ "ความว่าง"

    ความว่าง ในที่นี้หมายถึง ว่างไปจากอารมณ์รู้สึก ที่เป็นกิเลสตัณหาทั้งปวง นี่เอง

    การทำให้มันว่าง มีอยู่ 2 ช่องทาง....

    1. ระงับยับยั้งมันไว้ด้วย "สติ" ต้องฝึกฝนตนเองให้มันครองสติได้เสมอในยามตื่น (มหาสติ)

    2.ไม่ใส่ใจมายาตัวตนรูปลักษณ์ จะกระทำพฤติกรรมด้วยจิตที่รู้สำนึก คือ


    - ไม่ใช้อารมณ์รู้สึกหรือกิเลสตัณหาเป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรมนั้น

    - ไม่ใช้ความอยากไม่อยากเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการคิดและการกระทำนั้น โดยจะทำเพราะรู้ดีว่าตนสมควรทำ มิใช่ทำเพราะอยากทำ หรือไม่ทำเพราะไม่อยากทำ แต่ที่ทำก็เพราะรู้ดีว่ามันไม่สมควรกระทำต่างหาก

    - เป็นผู้กำหนดจิตเพื่อการกำหนดคิด สู่การตัดสินใจ กระทำด้วยปัญญา ไม่ปล่อยให้จิตนึกเองคิดเอง และทำเองอย่างสะเปะสะปะ หรือเป็นไปตามอำเภอใจ

    - เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้อื่น คือ มีความถูกต้อง เหมาะสมและดีงามเสมอ และก่อประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น มิได้เกิดจากการเสแสร้งแกล้งทำหรือฝืนใจทำ


    พฤติกรรมที่เกิดจากจิตสำนึก หรือ จิตที่รู้สำนึก จะต้องใช้อารมณ์รู้สึกด้านบวก คือ ความรัก ความเมตตา ความปีติเบิกบาน และ ความสงบ จะต้องใช้อารมณ์ด้านบวกเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนเท่านั้น

    ระดับคลื่นความถี่ทางอารมณ์ของมนุษย์ แบ่งเป็น 3 ระดับ

    1.คลื่นต่ำ (ด้าน -) คือ กิเลส-ตัณหา

    อารมณ์เหล่านี้เป็นความถี่ต่ำ จนถึงต่ำสุด เราจะสังเกตุได้จากขณะที่เราเกิดอารมณ์เหล่านี้ขึ้น เราจะรับรู้ได้ทางกายภาพว่าชีพจรและหัวใจจะสั่นไหวค่อนข้างรุนแรงไม่ปกติ

    เปรียบเหมือนเส้นลวดที่ถูกขึงให้ตึง แล้วดึงมันให้ต่ำลงแล้วปล่อย เส้นลวดจะแสดงอาการสั่นไหวขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด

    2.ย่านคลื่นความถี่ระดับกลาง (คลื่น+)

    เป็นคลื่นความรัก คือ ปิติเบิกบาน เมตตา กรุณา มุฑิตา
    คลื่นคอสมิค (Cosmic) คือ อุเบกขา

    เป็นย่านความถี่ในการสั่นสะเทือนของจิตที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง หมายความว่า ถ้าเราจะสามารถเข้าถึงการสั่นสะเทือนของจิตในย่านความถี่นี้ได้ เราจะต้อง ละวางกิเลสตัณหา ที่เป็นการสั่นสะเทือนในระดับต้นให้ได้เสียก่อนเป็นอันดับแรก

    การละวางทำได้อย่างไร?

    เราสามารถละวางกิเลสตัณหาที่เป็นอารมณ์หยาบ ๆ ในชีวิตประจำวันได้ด้วยการ ดับที่เหตุการเกิดกิเลสตัณหา นั่นเอง

    เหตุแห่งการเกิดกิเลสตัณหา หรือ ที่มาของอารมณ์หยาบ ๆ ในกลุ่มโลภ โกรธ หลงของมนุษย์มีเพียงสาเหตุเดียว คือ การยึดติดอัตตา

    มนุษย์จะต้องรู้ว่า ถ้าสามารถข้ามผ่านย่านความถี่ต่ำอันเป็นคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนด้านลบของจิต ที่เรียกว่า กิเลสตัณหาไปได้เมื่อใด อารมณ์รู้สึกที่เป็นด้านบวก คือ ความปีติเบิกบานใจ

    ความปีติเบิกบานใจ จะเกิดขึ้นในยามที่จิตมนุษย์ว่างไปจากอารมณ์รู้สึกที่เป็นขยะทั้งปวง หรือยามที่จิตเป็นอิสระจากการครอบงำด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหา นี่คือ สภาวะจิตในระดับปกติ ของมนุษย์อย่างแท้จริง

    ในชีวิตประจำวันที่มนุษย์บางคนที่ไม่อยู่ในสภาวะจิตปกติ หรือมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะทำจิตตนเองไม่ค่อยว่างไปจากการ นึกคิด และการรู้สึกในสิ่งที่เป็นขยะ จึงยังผลให้เข้าถึงความปีติเบิกบานไม่ได้ แม้ว่าจะข้ามผ่านกิเลสตัณหาด้วยการดับมันลงได้บ้างแล้วก็ตาม หรือ มีความวิตก ความกังวล ความห่วงใย ความอยาก ความไม่อยาก ความเศร้าหมิง ท้อแท้หดหู่สิ้นหวัง และอื่น ๆ อันเป็นเหตุความไม่สงบของจิตครอบงำอยู่นั่นเอง

    ถ้าจะเข้าถึงระดับความมีปีติเบิกบานได้ จะต้องกระทำที่จิตตน 2 อย่าง คือ

    1.ดับกิเลสตัณหาที่เป็นอารมณ์หยาบ ๆ ในขณะนั้นให้สิ้น

    2.ทำจิตให้สงบหรือว่างไปจากทุกข์ทั้งปวง


    หากทำสองอย่างนี้ได้ประสบผลสำเร็จแล้ว การยกระดับจิตสู่การสั่นสะเทือนด้านบวกเป็นคลื่นความถี่สูงขึ้น ย่อมกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที

    เพราะอุปสรรคตรงขั้นตอนนี้ ไม่เหลือแล้ว!

    ถ้าผู้ใดสามารถรักษาสภาวะจิตที่เป็นปีติเบิกบานเอาไว้ได้ การสั่นสะเทือนตนเองเป็นความเมตตา กรุณา หรือ มุฑิตาต่อผู้อื่นนั้น จะเหมือนเกิดได้เองอัตโนมัติ เพียงแค่ได้สัมผัสรู้ดูเห็นความทุกข์ยากของผู้อื่นเท่านั้น

    ถ้ามนุษย์คนใด หมั่นฝึกฝนตนเองด้วยการบำเพ็ญ เมตตา กรุณา และมุฑิตา ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างสม่ำเสมอ จนจิตเกิดความชำนาญ จนหลายเป็น เคยชิน ในที่สุดมนุษย์ผู้นั้นก็จะมีนิสัยในการแสดงออกทางอารมณ์ด้านบวกเป็นคุณสมบัติธรรมชาติเฉพาะตนอันแสนวิเศษสุด คือ ความเป็นอุเบกขาแห่งจิต นั่นเอง

    ความเป็นอุเบกขาแห่งจิต มี 3 นัย คือ

    1.ความเป็นอุเบกขาแห่งจิต หมายถึง การที่ตัวเราสามารถเข้าถึงการสั่นสะเทือนทางอารมณ์สูงสุดด้านบวกได้ด้วยตนเอง โดยไม่มีสิ่งเร้าใด ๆ เป็นเงื่อนไขช่วยเหลือ เพราะความมีปีติ ก็คือความสงบอย่างหนึ่ง

    2.ความเป็นอุเบกขาแห่งจิต หมายถึง การที่ตัวเราสามารถเผชิญหน้ากับเงื่อนไขด้านลบใด ๆ ก็ได้ โดยไม่หวั่นไหวไปตามเงื่อนไขด้านลบนั้น เพราะความไม่มีทุกข์ก็คือความสงบอย่างหนึ่ง

    3.ความเป็นอุเบกขาแห่งจิต หมายถึง การที่ตัวเราสามารถเผชิญหน้ากับเงื่อนไขด้านบวกใด ๆ ก็ได้ โดยไม่สั่นไหวจิตใจไปตาม ความรักทั้งปวงที่มีอยู่แล้วในดวงจิตก็คือความสงบอย่างหนึ่ง

    ความอุเบกขา ของจิต จะเป็นคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนด้านบวกของจิต ในระดับที่เป็นอุเบกขา ที่ว่านี้ จะเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดในย่านคลื่นอารมณ์รู้สึกระดับกลาง ที่สั่นสะเทือนสูงสุดจนเกือบจะเป็นเส้นตรงเลยทีเดียว

    คำว่า "เกือบจะเป็นเส้นตรง" หมายถึง มายาของคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนนี้ จะสั่นสะะทือนสูงมากจนดูเหมือนแทบจะไม่สั่นสะเทือนเลย

    นักวิทยาศาสตร์ เรียกคลื่นความถี่ชนิดนี้ว่า "คลื่นคอสมิค" หรือ คลื่นพลังงานจักรวาล ซึ่งมนุษย์เข้าใจผิดคิดว่า คลื่นคอสมิค เป็นคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนสูงสุดในจักรวาล แต่แท้ที่จริงแล้วมันยังมีมิติที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก

    มันคือ คลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนของจิต ในระดับ สุญญตา นั่นเอง

    คลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนสูงสุดของจิตที่เป็นสุญญตา จะมีค่าเป็น 3 เท่า ของคลื่นคอสมิคเลยทีเดียว

    การที่มนุษย์ฝึกทักษะสั่นสะเทือนอารมณ์รู้สึกด้านบวกให้ชำนาญ มันสามารถยกระดับสภาวะจิตไปสู่ความเป็นอุเบกขา และความเป็นสุญญตาได้ง่ายและรวดเร็วนั่นเอง

    ด่านสุดท้ายของจิตที่จะเข้าถึงสภาวะแห่งสุญญตาได้ ก็คือ ความเป็นอุเบกขาของจิต นี่เอง

    ถ้าในชีวิตประจำวัน จิตของเราครองอุเบกขาได้อย่างเป็นธรรมชาติแท้จริงตลอดไปแล้ว

    เราก็จะไม่สร้างเงื่อนไขด้านลบ ด้วยการทำผิดคิดชั่วต่อผู้อื่น

    เราก็จะไม่สร้างกรรมใหม่ ให้เกี่ยวกรรมสัมพันธ์ไว้กับผู้อื่น

    เราก็จะสามารถใช้สติปัญญาและความรักเพื่อการให้สอบผ่านบททดสอบจิตสำนึกและบทเรียนกรรมของเราร่วมกับมนุษย์ผู้อื่นได้อย่างสง่างาม

    เราก็สามารถใช้ประจุไฟฟ้าบวก ที่จิตผลิตสร้างมันขึ้นมาใหม่อย่างมากมาย ทำให้ประจุลบในกระแสเลือดที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายมีความเป็นกลางทางไฟฟ้า เพื่อปรับสมดุลของร่างกาย จิต และจิตวิญญาณของเราได้อย่างองอาจ


    หากเราหมั่นปฏิบัติบำเพ็ญเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอแล้ว ความเป็นสุญญตาของจิตที่จะนำตัวตนที่แท้จริงหรือแก่นแท้ของเราสู่การหลุดพ้นในสภาวะของจิตวิญญาณนั้น จะประสบผลสำเร็จได้ในชาตินี้หรือชาติใดชาติหนึ่งอย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2019
  18. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,428
    ค่าพลัง:
    +3,208
    โลกยุคใหม่จะมีเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์บ้าง..

    ว้าวส์! มาตามสัญญาค่ะ

    Thailand.png
    5555 ชอบรูปนี้ดูแล้วขำ...ร้อนมาก ๆ อยู่ในร่มยังร้อนแสบผิวเลย

    มีผู้กล่าวไว้ว่า....โลกยุคใหม่จะเกิดขึ้นในปี 2020

    โลกยุคใหม่ หรือ โลกยุคพลังงานใหม่

    คือ โลกกำลังเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงาน โดยมนุษย์ทุกคนมีเหตุ เพราะค่าพลังงานสั่นสะเทือนจากจิตสำนึกของในยุคพลังงานเก่าระดับพลังงานยังต่ำมาก

    และในยุคพลังงานใหม่ อำนาจแม่เหล็กกับโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกระบบใหม่ จะมีความเหมาะสมสูงสุดทั้งมนุษย์และโลก ในอันที่จะร่วมงานกันด้วยจิตสำนึกด้านบวก ในระดับความสมดุลสูงสุดได้ด้วยสติและปัญญาและจิตสำนึกมนุษย์จะถูกยกระดับให้สูงขึ้นกว่ายุคพลังงานเก่า จนอุปสรรคทางกายภาพแต่เดิมที่เคยมีจะหมดสิ้นไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

    นอกจากคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกที่เหมาะสมที่สุด จะช่วยค้ำจุนจิตสำนึกในระบบโลก ให้มีสติปัญญาสูงส่งจนเข้าถึงปัญญาญาณด้วยกิจกรรมทางจิตวิญญาณได้โดยง่าย และยังช่วยให้ ดีเอ็นเอ ตอบรับคำสั่งการสร้างใหม่ในกระบวนการของเซลล์ ด้วยรหัสบุรพกรรมแม่เหล็กที่เร้นอยู่ในแต่ละเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้เป็นอย่างดี โดยจะช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนยาวมากขึ้น รูปธรรมสวยงามยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ

    จะนำข้อมูลความรู้ใหม่ที่จักรวาลได้เปิดเผยไว้ให้สำหรับผู้ที่จะก้าวข้ามไปยุคพลังงานใหม่ เกี่ยวกับพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีความสำคัญและสัมพันธ์เกี่ยวกับชีวิตและจิตวิญญาณอย่างไรค่ะ และที่สำคัญรหัสพันธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอที่เกี่ยวข้องกับคลื่นพลังงานแม่เหล็ก กับระบบเซลล์ในร่างกาย และยังเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมที่มีผลต่อจิตวิญญาณด้วยค่ะ

    ท่ามกลางความเลวร้ายน่าสะพรึงกลัวใด ๆ ของขวัญชิ้นสำคัญ โดยส่งมากับคลื่นแม่เหล็กให้แก่มวลมนุษย์ทุกคนอีกด้วย

    ของขวัญชิ้นแรก คือ การช่วยขจัดวิบากกรรมด้านลบ ที่ตกค้างอยู่จากภพชาติอดีตของแต่ละคน ให้แตกสลายไปจนหมดสิ้น หรือสำหรับบางรายจะเหลือน้อยลงกว่าที่มีอยู่เดิม เพื่อช่วยลดวัฏจักรการเกิดเป็นมนุษย์ในการชดใช้กรรมทั้งชาตินี้และชาติหน้าให้สั้นลง ผลที่มนุษย์จะได้รับคือ แต่ละคนจะสามารถดำรงอยู่บนโลกยุคพลังงานใหม่นี้ ด้วยอายุขัยที่ยาวนานกว่าเดิม

    (คิดนานนนนนค่ะ...การที่พูดเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่หลายคนต้องค้านในใจอย่างมากค่ะ สำหรับใครบางคนค่ะ ในส่วนของวิบากกรรมที่ถูกกำจัดด้วยอำนาจของแม่เหล็ก จักรวาลได้แนะนำแนวทางการปฏิบัติด้วยกิจกรรมทางจิตวิญญาณในมิติพลังงาน เพื่อให้มนุษย์รู้จักช่วยเหลือตนเอง เพื่อกำจัดคุณสมบัติของวิบากกรรม และกรรมปัจจุบันทางด้านลบให้เป็นกลางและเป็นโมฆะเสียให้ได้ในยุคการเปลี่ยนแปลงนี้)

    ของขวัญชิ้นที่สอง มนุษย์ทุกคนบนดาวเคราะห์โลกจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของดาวเคราะห์โลก จะต้องรับผิดชอบด้านพลังงานเพื่อการหมุนรอบตัวเองของโลก ในอัตราความสมดุลและค้ำจุนคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกให้อยู่ในระดับที่สมดุล ซึ่งแต่เดิมได้มีการช่วยเหลือจากรูปธรรมชั้นสูงในจักรวาลเข้ามาคอยช่วยเหลือ ต่อไปนี้ต้องรับผิดชอบกันเองแล้ว

    หากแม้ว่า...สถานการณ์เลวร้ายทั้งหมดนั้น ถูกถ่ายทอดมาให้มนุษย์ด้วยความรัก เพื่อให้ทุกคนมีสติ ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท มีความหนักแน่น ไม่หวั่นไหวเมื่อเผชิญในทุกสถานการณ์ ด้วยการฝึกฝนตนเองให้รู้จักปลดปล่อยพลังงานความรักออกมาให้แก่เพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ บ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2019
  20. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    IMG20190421174608.jpg
    ไปต่อไม่รอแล้วนะ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...