82.นมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ

​

 

ลองนับเวลาตั้งแต่นั่งรถขึ้นเขาตอนประมาณห้าทุ่มถึงลงจากเขามาเกือบตีสี่ใช้เวลาห้าชั่วโมงกว่า....

โทรศัพท์หาเพื่อนๆ ที่เดินนำลิ่วขึ้นไปก่อน ปรากฏว่ายังลงมาไม่ถึง เพราะไม่ได้เดินลงมาทางลัด อืมม แสดงว่าทางลัดนี่ลัดจริงๆ เร็วกว่าทางปกติ เพราะตอนที่กำลังขึ้นไปเขตผ้าแดงได้ประมาณครึ่งทาง เพื่อนๆ ก็เดินสวนกลับลงมากันแล้ว ก็นั่งรอแถวๆ โต๊ะร้านอาหาร เพื่อนก็ทยอยกันมารวมพล สักพักบางคนก็ฟุบหลับกัน นั่งปรึกษากันว่าถ้าขับรถต่อไปคงไม่ไหว โชคดีเพื่อนในคณะมีพี่ชายอยู่ในตัวเมืองจันทบุรี จึงได้พากันไปนอนพักที่บ้าน จอดรถถึงบ้านประมาณตีห้าครึ่ง สวัสดีกันแล้ว คุยกับเจ้าของบ้านได้คำสองคำก็นอนเลย หมดสภาพกันเป็นแถว สรุปไม่มีใครได้อาบน้ำ...

 

ตื่นมาอีกทีแปดโมงกว่า เจ้าของบ้านกำลังจะออกไปทำงาน บอกว่าตามสบาย ข้าวปลาอาหารหุงให้แล้ว ก็เข้าคิวอาบน้ำ เสร็จแล้วกินข้าวเช้ากัน ล้างจานชามเสร็จ เริ่มเก็บสัมภาระในรถ แล้วนั่งพักชมสวนในบ้านก่อนออกเดินทางต่อไป

 

​

 

​

 

​

 

​

 

​

 

ปิดประตูบ้านเรียบร้อย... เดินทางกันต่อที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาสระบาป อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ในอุทยานแห่งชาติจะมีน้ำตกสวยน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี...

คณะของเราพากันไปที่น้ำตกพลิ้วเพราะอยู่ไม่ไกล หาที่จอดรถได้ ก็นั่งรถกอล์ฟขึ้นไปที่น้ำตกด้วยว่าตอนนี้ ขาของแต่ละคนเดินกันแทบไม่เป็นแล้วหล่ะ แต่สร้อยฟ้าฯ ยังเดินไหวนะเออ...

 

​

 

​

 

​

 

​

 

ก่อนถึงน้ำตกทางด้านซ้ายมือ จะพบกับพีระมิดพระนางเรือล่ม (สุนันทานุสาวรีย์) สถูปบรรจุพระอังคารของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี

ด้วยเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้สร้างเป็นรูปแบบพีระมิดเพื่อระลึกถึงความรักที่มีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ที่ทรงเคยเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งพระองค์เสด็จทิวงคตเนื่องจากอุปัทวเหตุเรือพระประเทียบล่ม ขณะเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังบางประอิน ณ บริเวณ ตำบลบางพูด จังหวัดปทุมธานี
มีพระราชดำริของรัชกาลที่ ๕ ถึงการสร้างสถูปรูปทรงพีระมิดตอนหนึ่งว่า “ทำเป็นรูปอื่นอาจไม่คงทนถาวร เพราะตั้งอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร อันไม่มีผู้ดูแล ฉะนั้น เมื่อปิรามิดของอียิปต์ยืนยงคงทนอยู่ได้ฉันใด ปิรามิดน้อยนี้ก็จะยืนยงคงทนอยู่เช่นกัน ณ ท่ามกลางป่าเขาและเสียงไหลรินของธารพลิ้ว”
แล้วทรงโปรดให้จารึกอักษรข้อความไว้ที่สถูปว่า

“ที่ระลึกถึงความรัก แห่ง สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีอรรคมเหสี ซึ่งเสด็จทิวงคตแล้ว ด้วยเธอได้มาถึงที่นี่ เมื่อจุลศักราช ๑๒๓๖ โดยความยินดีชอบใจ อนุสาวรีย์นี้ สร้างขึ้นโดยจุฬาลงกรณ์บรมราช ผู้เป็นพระสวามี อันมีความทุกข์ เพราะเธอเป็นอย่างยิ่ง ในจุลศักราช ๑๒๔๓”

 

​

 

​

 

ได้เข้าไปกราบสักการะที่สถูปและขอตัวอยู่ครู่หนึ่ง ให้ชาวคณะเดินล่วงหน้ากันไป นั่งระลึกนึกถึงพระองค์อยู่ครู่ใหญ่ พอยืนลุกขึ้นเทานั้นแหล่ะ เจ็บแปล๊บที่กล้ามเนื้อขาซ้ายขึ้นทันที เดินจะไม่ไหวแล้วสิ กะเผลกเลยหล่ะ ค่อยๆ เดินไปที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าและ จุลศิรจุมพฏเจดีย์ หรือ อลงกรณ์เจดีย์

 

​

 

ในอดีตนั้นน้ำตกพลิ้วแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จประพาสถึง ๑๒ ครั้ง และเคยเสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เป็นสถานที่ที่ทรงโปรดปรานและสำราญพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างเจดีย์ทำด้วยศิลาแลงเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา มีบันไดขึ้นทั้ง ๔ ด้าน โดยสร้างขึ้นที่บริเวณหน้าผาด้านหน้าน้ำตกพลิ้วเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๙ เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้วด้วยกัน โดยให้ผู้ที่ติดตามเสด็จร่วมสละทรัพย์สมทบทุนในการสร้าง และพระราชทานนามว่า " อลงกรณ์เจดีย์ "

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดน้ำตกพลิ้วเป็นอย่างยิ่งและได้เสด็จประพาสหลายคราว ทรงโปรดมากถึงกับมีพระราชดำรัสว่า "เราได้เห็นน้ำตกอย่างนี้มาสองสามแห่ง คือที่ปีนัง เกาะช้าง และสีพยา เห็นไม่มีที่ไหนจะงามกว่าที่นี่เลย ถ้าจะให้เรานั่งดูอยู่ยังค่ำก็แทบจะได้ด้วยเย็นสบายจริง "

ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "จุลศิรจุมพฏเจดีย์"

 

​